ข่าว
"ซีเอ็นเอ็นโก" ยก"ผัดซีอิ๊ว" สุดยอด"อาหาร"ของไทย

เว็บไซต์ซีเอ็เอ็นโก (cnngo.com) ได้ทำการคัดเลือกเมืองต่างๆในเอเชียที่มีความโดดเด่นด้านอาหาร ได้แก่ ปีนัง (มาเลเซีย), ไทเป, กรุงเทพฯ, ฟูกุโอกะ (ญี่ปุ่น), ฮานอย (เวียดนาม), สิงคโปร์, โซล (เกาหลีใต้), ซีอาน (จีน), มะนิลา (ฟิลิปปินส์) และพนมเปญ โดยทำการเลือกเมนูอาหารที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะอาหารประเภท "สตรีท ฟู้ด" หรืออาหารรถเข็นข้างทาง ที่มีความโดดเด่น และได้รับความนิยมในบรรดาประชาชนท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ

ซีเอ็นเอ็นโกกล่าวว่า กรุงเทพฯ ถือเป็นสวรรค์ของอาหารประเภทนี้โดยแท้จริง ประชาชนทั่วไปสามารถรับประทานอาหารโดยที่ไม่จำเป็นต้องก้าวเท้าเข้าไปในร้านอาหาร และว่าวัฒนธรรมการรับประทานอาหารถือเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของชาวไทย

วัฒนธรรมการรับประทานอาหารข้างทาง ถูกสร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานอยู่บนพฤติกรรมการรับประทานอาหารของคนไทยที่สามารถทานได้ตลอดทั้งวัน และเมนูอาหารดังกล่าวก็มีมากมายจนนับไม่ถ้วน ตั้งแต่ผลไม้ ของคาว ของหวาน ทั้งนี้ ซีเอ็นเอ็นโก ได้จัดอันดับอาหารข้างทางที่ได้รับความนิยมที่สุด ได้แก่


1. ผัดซีอิ๊ว
2. ส้มตำ
3. หมูปิ้ง
4. ก๋วยเตี๋ยวเรือ
5. ข้าวผัดปู
6. หมูแดดเดียว
7. ขนมจีน
8. ชาเย็น
9. ข้าวเหนียวมะม่วง
10. ขนมครก
“นพดล” โว “แม้ว”ไม่โดนจับ บินรอบโลกประเทศไหนก็ได้

“นพดล” โต้ประชาธิปัตย์ ยัน “ทักษิณ” ไม่ได้ถูกกักตัว และตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่อิตาลี โวหลังเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล ทั่วโลกยิ่งต้อนรับ อ้างสะท้อนคนไทยยังให้การสนับสนุนอดีตนายกฯ อย่างล้นหลาม ...

วันที่ 23 มี.ค. นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ประเทศอิตาลี เข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไปทำธุระที่ประเทศมอนเตเนโกร และก็เลยแวะไปพักผ่อนที่ประเทศอิตาลี ซึ่งอยู่ใกล้กัน ยืนยันว่า ไม่มีการถูกจับหรือถูกกักตัวอะไรทั้งสิ้น ข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ปูดออกมา เป็นการจับแพะชนแกะเหมือนเคย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้อยู่ในบัญชีดำของอินเตอร์โพล ตามที่บางฝ่ายพยายามกล่าวหา ก่อนหน้านี้สมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ก็มีความพยายามกดดันประเทศต่างๆ ไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศ ทั้งยังส่ง นายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ เที่ยวไล่ล่าจับตัว แต่ก็ไม่สำเร็จ วันนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชนะการเลือกตั้ง ก็ยิ่งไปไหนมาไหนได้สะดวก ทุกประเทศทั่วโลกต้อนรับเป็นอย่างดี ท่าทีเปลี่ยนไปมาก เมื่อเห็นผลการเลือกตั้งที่สะท้อนว่า คนไทยยังให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างล้นหลาม.


“บิ๊กบัง”ไม่ด้านพอ รับเงินของทักษิณ

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ยัน ไม่หน้าด้านพอรับเงิน "ทักษิณ" เพียงเห็นว่าแนวทางนี้เหมาะสมกับช่วงเวลา พอดีฝ่ายรัฐขานรับ โต้ "สนั่น" ถาม 2 ครั้งความหมายไม่ตรงกัน หากถามใครอยู่เบื้องหลังปฏิวัติ ตนตอบมาตั้ง 6 ปีก่อนแล้ว

วันที่ 23 มี.ค. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานกรรมาธิการปรองดอง (กมธ.) กล่าวกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ถึงกรณีมีหลายฝ่ายมีความคลางแคลงใจ ตกลงขณะนี้อยู่การเมืองข้างไหนกันแน่ เพราะความเป็นจริงแล้วเมื่อปี 2549 ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นผู้นำทำการปฏิรูปฯ ยึดอำนาจทางการ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และกำลังเลยเถิดไปถึงขั้นมีไปรับผลประโยชน์หรือไม่ ว่า ยืนยันว่าไม่มีการไปรับผลประโยชน์ใดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแน่นอน

"ผมคงไม่หน้าด้านพอที่จะทำอย่างนั้น ไม่เคยมีการไปรับเงินรับทอง หรือเดินทางไปต่างประเทศที่ไหนเว้นแต่ที่ใกล้ๆ แถวนี้ ทั้งยืนยันอีกด้วยว่า ไม่เคยได้พูดคุยหรือไปหารืออะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งสิ้น ที่เคยคุยกันก็เปิดเผยให้สื่อมวลชนได้รับทราบไปทั้งหมดแล้ว นั่นมันตั้งแต่ช่วงหลังการยึดอำนาจ เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549" พล.อ.สนธิ กล่าว

พล.อ.สนธิ กล่าวอีกว่า วันนี้ผมมีหน้าที่มาปรองดอง มันเป็นคนละเรื่องกับตอนที่เป็นผู้นำ ทำการยึดอำนาจ ในขณะนั้นมีความคิดว่าจะทำอย่างไร ที่สามารถสร้างความสงบเรียบร้อยให้กับคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งขณะนั้นกำลังจะมีการฆ่ากัน แต่ตอนนี้เราต้องมาเสนอแนวทางปรองดอง ซึ่งฝั่งรัฐบาลก็ออกมาขานรับว่าเห็นด้วย ก็เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะประเด็นรับเงินทอง ผลประโยชน์

อย่างไรก็ตาม ประธาน กมธ.ปรองดอง กล่าวถึงเรื่องที่ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสตร์ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนาตั้งคำถามฝากมาที่ตนว่าต้องเปิดเผยว่า ใครบ้างที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ 2549 นั้น ขอยืนยันว่า พล.ต.สนั่น ตั้งคำถามในครั้งแรกและครั้งที่สอง แตกต่างไม่เหมือนกันเป็นคนละเรื่อง หากป็นคำถามที่ 2 ตนก็ตอบไปนานมากตั้งแต่ 6 ปีก่อนแล้ว ว่า ไม่มีใครอยู่เบื้องหลัง ตนเป็นคนคิดและดำเนินการเพียงคนเดียว.


"ผู้จัดการ" ปรับองค์กรใหม่ ทยอยปิดสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือ

เว็บไซต์ http://breakingnews.nationchannel.com รายงานว่าจากกระแสข่าวว่าบริษัทในเครือผู้จัดการจะปิดตัวสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ต่างๆ ลงนั้น จากการตรวจสอบพบว่ากลุ่มสิ่งพิมพ์ในเครือผู้จัดการนั้นจะทยอยปิดตัวลง โดยจะเริ่มจาก ผู้จัดการรายสัปดาห์ ที่จะปิดตัวลงในวันที่ 1 เม.ย. ที่จะถึงนี้ ขณะที่ ผู้จัดการรายเดือน จะปิดตัวลงเป็นอันดับต่อไป ตามด้วย นิตยสาร POSITIONIG เช่นเดียวกับนิตยสาร MARS ที่จะเน้นมาขายในรูปแบบอีบุ๊ค และให้ดาวน์โหลดทางอินเตอร์เน็ตเพื่อเป็นการลดต้นทุนกระดาษลง ขณะที่หนังสือพิมพ์รายวันนั้นจะคงอยู่ไว้ก่อน แต่ก็จะปิดตัวลงภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมถึงสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ก็จะปิดตัวลงเหลือเพียง NEWS 1 เท่านั้น ขณะที่ช่องซุปเปอร์บันเทิงนั้นสามารถเลี้ยงตัวเองได้กับยูบีซี

รายงานข่าวแจ้งว่า กรณีการปิดตัวและปรับองค์กรครั้งนี้ ผู้บริหารของเครือผู้จัดการตั้งใจจะลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลงให้มากที่สุดและจะเบนเข็มมุ่งเข้าสู่การทำสื่อในระบบออนไลน์ และ นิวมีเดีย เนื่องจากที่ผ่านมานั้นส่วนที่ทำเงินให้มากที่สุดคือสื่ออินเตอร์เน็ต ส่วนกรณีช่องโทรทัศน์ NEWS 1 นั้นยังคงเลี้ยงตัวเองได้ และจำเป็นต้องเก็บไว้เพื่อเป็นฐานทางการเมือง

โดยส่วนงานที่ถูกยุบก็จะต้องถูกปลดออกบางส่วนและเกลี่ยไปอยู่ตามกองต่างๆ เนื่องจากขณะนี้ทั้งเครือมีพนักงานอยู่ 1,200 คน ซึ่งมองว่าค่อนข้างใหญ่ ขณะที่พนักงานบางส่วนถูกมองว่าทำงานไม่เต็มที่ จึงจะมีการใช้โอกาสนี้รีดไขมันขององค์กรลง นอกจากนี้พนักงานที่อยู่ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบบสื่อออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้บริหารในเครือให้ความหวังกับพนักงานว่า การปรับลดค่าใช้จ่ายและปรับองค์กร น่าจะส่งผลให้สถานะทางการเงินของบริษัทที่มีปัญหามีสภาพดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่ปี