ข่าว
หนีตายกลางดึก นาทีไฟไหม้ ตึกระฟ้า มารีนา ทอร์ชที่ดูไบ

เมื่อ 4 ส.ค.60 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้รุนแรง ที่ตึกสูงระฟ้า ‘ มารีนา ทอร์ช’ (The Marina Torch) ซึ่งเป็นตึกที่พักอาศัยสูง 79 ชั้น อีกครั้ง ในนครดูไบ นครใหญ่สุดของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เมื่อช่วงกลางดึกเข้าสู่เช้าวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา จนนับเป็นเหตุเพลิงไหม้ที่ตึกสูงแห่งนี้เป็นหนที่สองในระยะเวลาห่างกันเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น ขณะที่เหตุเพลิงไหม้ทำให้ผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในตึกสูงแห่งนี้แตกตื่นตกใจ อพยพวิ่งหนีออกจากตึก นอกจากนั้นยังมีผู้คนได้บันทึกคลิปวิดีโอขณะไฟลุกลามไหม้ตึก มารีนา ทอร์ช และนำมาเผยแพร่บนโลกโซเชียลมากมาย

ข่าวแจ้งว่า เหตุไฟไหม้ที่ตึก มารีนา ทอร์ช เกิดขึ้นเมื่อตอนเวลา 03.40 น. ของวันที่ 4 ส.ค. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนกำลังนอนหลับสนิท โดยพระเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนเปลวไฟลุกโชนแดงฉาน บริเวณด้านข้างของตึกข้างหนึ่ง เดชะบุญ ทีมกู้ภัยและทีมดับเพลิงใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ก็สามารถควบคุมเพลิงให้สงบลงได้ และอพยพผู้คนออกจากตึกได้อย่างปลอดภัย ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่มีรถยนต์ที่จอดอยู่ได้รับความเสียหายหลายคัน

ทั้งนี้ ตึกสูงระฟ้า มารีนา ทอร์ช ที่นครดูไบ เคยเป็นเจ้าของสถิติตึกสูงที่สุดในโลก เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ หลังจากเมื่อปี 2558 เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ตึกดูไบ มารีนา ทอร์ชมาแล้ว จนต้องมีการอพยพผู้คนหลายร้อยคน ขณะที่เพลิงไหม้ได้ลุกลามอย่างรวดเร็ว และตามรายงานของสำนักงานที่ปรึกษาด้านวิศวกรรม ชี้ว่า สาเหตุที่ไฟลุกลามเร็ว เป็นเพราะแผ่นตกแต่งด้านนอกอาคาร แต่เหตุที่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุเพลิงไหม้นั้น เนื่องจากการออกแบบตึกที่ดี ทำให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถเข้าไปควบคุมเพลิงได้โดยสะดวก และมีช่องทางให้ผู้พักอาศัยสามารถหนีผ่านช่องทางปลอดควัน คือควันไฟเข้ามาไม่ได้.

นศ.สาวไทยกับเพื่อน ขับรถตกเหวที่สหรัฐฯ

นศ.สาวไทยกับเพื่อนชาย ประสบอุบัติเหตุรถตกเหวที่สหรัฐฯ ยังไม่ทราบชะตากรรม เฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินตรวจสอบเห็นแค่ท้ายรถโผล่เหนือน้ำ เข้าไปใกล้ไม่ได้ เพราะเป็นหน้าผาสูง อีกทั้งน้ำสูงไหลแรงเป็นอุปสรรคเอาเรือออกค้นหา...

จากกรณีญาติและเพื่อนของน.ส.ทิวาดี แสงสุริยฤทธิ์ นักศึกษาไทย อายุ 24 ปี ได้โพสต์ทางเฟซบุ๊ก ขอความช่วยเหลือว่า น.ส.ทิวาดีและเพื่อนชายชื่อกอล์ฟ นายภคพล ชัยรัตนทรงพร อายุ 27 ปี ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ตกเหวลึกข้างทางด่วนหรือฟรีเวย์ สาย 180 ขณะเช่ารถขับมุ่งหน้าเพื่อไปเที่ยวตั้งแคมป์กางเต็นท์ที่อุทยานแห่งชาติคิงส์ แคนยอน รัฐแคลิฟอร์เนีย และยังหาตัวไม่พบทั้งสองคนโดยยังไม่รู้ชะตากรรม จึงขอความช่วยเหลือทางสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ในสหรัฐฯ ช่วยตามหาด้วย

ขณะเดียวกัน นายชาตรี อรรจนานันท์ อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศได้ทราบเรื่อง จึงสั่งการให้นายธาตรี เชาวชะตา ผอ.กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์ของคนไทยในต่างประเทศ ประสานงานไปยังสถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ให้ช่วยประสานติดตามเรื่องนี้

ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อบ่ายวันที่ 31 ก.ค. ทางกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้รายงานมาที่กองคุ้มครองฯ เกี่ยวกับรายละเอียดเรื่องนี้ว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.60 เวลา 01:30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) ทางสถานกงสุลใหญ่ (สกญ.) ณ นครลอสแอนเจลิส ได้รับแจ้งจากเอเจนซี่จัดส่งนักเรียนไปเรียนต่อต่างประเทศ (U-ED) ว่า มี นศ.ไทย 2 คน จากมหาวิทยาลัยเซาท์ฟลอริดา (University of South Florida) มาเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ คิง แคนยอน (Kings Canyon National Park) รัฐแคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่วันพุธที่ 26 ก.ค.60 และได้หายตัวไปหลังจากเช็กอินที่โรงแรมรีดลีย์ อินน์ (Reedley Inn) เมืองรีดลีย์แล้ว ทางโรงแรมฯ ได้ช่วยประสานเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ติดตามตัว แต่ไม่พบและได้ใช้เฮลิคอปเตอร์บินตรวจพื้นที่ พบรถยนต์ตกอยู่ในเหว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรถเช่าของนักศึกษาคนดังกล่าว และทางสถานกงสุลใหญ่ ได้ประสานกับกรมตำรวจเมืองรีดลีย์แล้ว เพื่อแจ้งเรื่องนักศึกษาหายตัว และสถานกงสุลใหญ่ให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ตำรวจ ซึ่งได้ติดตามเรื่องการตรวจสอบรถยนต์หรือบุคคลในที่เกิดเหตุว่า เป็นรถของนักศึกษาไทยดังกล่าวหรือไม่

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นคาดว่า พื้นที่ที่รถประสบอุบัติเหตุอยู่ลึกยากต่อการเข้าถึงและอยู่ระหว่างประเมินเพื่อเข้าตรวจสอบ ซึ่งสถานกงสุลใหญ่ จะติดตามความคืบหน้าต่อไป ขณะเดียวกัน เอเจนซี่ U-ED เป็นผู้ช่วยประสานกับครอบครัวของนักศึกษาไทยดังกล่าวในไทย และทราบว่าครอบครัวอยู่ระหว่างเตรียมตัวเดินทางไปสหรัฐฯ ส่วนความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับรถต้องสงสัยเป็นรถคันที่ น.ส.ทิวาดีเช่า พบตกจากฟรีเวย์ 180 จมอยู่ในน้ำ 80% เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นไม่มีอำนาจดำเนินการ และการส่งคนลงไปด้วยวิธีเดินเท้าทำไม่ได้ เนื่องจากสภาพภูมิประเทศตรงที่เกิดเหตุยากแก่การเข้าถึงมาก การช่วยเหลือเป็นอำนาจของตำรวจกองลาดตระเวนทางหลวงแคลิฟอร์เนีย (California Highway Patrol) พิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร อาจจะลงไปกู้รถเอง หรือประสานทีมกู้ภัยของหน่วยอื่นๆ ช่วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่งเฮลิคอปเตอร์ขึ้นบินตรวจสอบ เห็นแค่ท้ายรถที่โผล่เหนือน้ำ จึงเก็บเลขทะเบียนรถเอาไปตรวจสอบ แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ามีคนอยู่ในรถหรือไม่

นายธานี แสงรัตน์ กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส ได้สอบถามตำรวจหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้รับแจ้งความคืบหน้าจากตำรวจกองลาดตระเวนทางหลวงแคลิฟอร์เนียว่า เนื่องจากที่เกิดเหตุเข้าถึงยากเพราะเป็นหน้าผาสูงชันมาก (500 ฟุต) และรถจมน้ำ เฮลิคอปเตอร์เข้าไปใกล้มากไม่ได้ และไม่มีที่ลงจอดที่ปลอดภัย มีทางเดียวที่จะเข้าถึงรถคือใช้เรือ แต่ก็พบปัญหาอีกอย่างคือระดับน้ำสูง ไหลเร็วและแรงมาก มีน้ำละลายจากหิมะบนภูเขาลงมาสมทบ ทำให้นำเรือออกไม่ได้ มีอันตรายมาก ปฏิบัติการค้นหาและช่วยเหลือจึงยังระบุกำหนดเวลาแน่ชัดไม่ได้ และอาจใช้เวลาเป็นเดือน และต้องดูสถานการณ์เป็นระยะๆ.


แฉ “เนติวิทย์” จงใจจัดฉากสร้างขัดแย้ง ทั้งที่แยกแถวให้ไม่ต้องถวายบังคมแล้ว

(3 ส.ค.) จากกรณีที่ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานสภานิสิตจุฬาฯ นักเคลื่อนไหวการเมืองชื่อดัง ได้เดินออกจากงานถวายสัตย์ปฏิญญาณตนของนิสิตใหม่ประจำปี 2560 ที่พระบรมราชานุสาวรีย์สองรัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พร้อมกับเพื่อนอีกหลายคน โดยอ้างว่าตกลงกับรองอธิการบดีแล้วว่าถ้าฝนตกจะให้เด็กแค่โค้งคำนับแล้วจบ แต่กลับกลายเป็นว่าให้ถวายบังคมเหมือนเดิม ตนทนไม่ได้จึงร่วมกับเพื่อนหลายคนเดินออกมา นอกจากนี้ ยังมีอาจารย์มาล็อกคอ กระชากดึงเพื่อน และด่าทออีกด้วย

ล่าสุด ทางเว็บไซต์ www.chula.ac.th/th/archive/63023 ได้เผยแพร่คำชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว ว่า ตามที่มีภาพและข่าวเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ถึงพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนเป็นนิสิตจุฬาฯซึ่งจัดขึ้นในเย็นวันนี้ และกรณีที่รองประธานสภานิสิตจุฬาฯ ถูกอาจารย์นำตัวออกจากพิธีนั้น รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ รองอธิการบดีด้านกิจการนิสิต จุฬาฯ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะมีหลายฝ่ายในสังคม ซึ่งอาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันคอยจับจ้องมองดูอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นทางมหาวิทยาลัยทราบมาว่ามีกลุ่มที่ไม่ประสงค์ดีต่อ นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ประธานสภานิสิตและกลุ่มเพื่อน ซึ่งกำลังเฝ้ามองดูและอาจนำประเด็นตรงนี้ไปขยายเป็นความรุนแรงได้ ซึ่งที่ผ่านมา เคยมีคนพยายามคุกคามมาตามหานายเนติวิทย์ถึงมหาวิทยาลัย ตนเองในฐานะผู้กำกับดูแลด้านกิจการนิสิตก็ต้องพานายเนติวิทย์ไปแจ้งความที่โรงพัก และวันนี้ก็ได้มอบหมายผู้ช่วยอธิการบดีสองคนไปดูแลความปลอดภัยและสวัสดิภาพของนิสิตกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

ในขณะเดียวกัน ทางฝ่ายกิจการนิสิต จุฬาฯ ก็เข้าใจและเคารพในความเห็นต่างและได้พยายามจัดพื้นที่ให้กับผู้ที่ประสงค์จะแสดงความเคารพด้วยการคำนับโดยมีข้อตกลงกันอย่างชัดเจนว่าจะอยู่ในแถวที่แยกออกไป และจะมาแสดงความเคารพเมื่อกระบวนการถวายบังคมเสร็จสิ้นลงแล้ว แต่กลุ่มของสภานิสิตไม่ได้เคารพข้อตกลงนั้นและพยายามจะจัดฉากให้ปรากฏภาพที่ขัดแย้งตรงข้ามกันระหว่างการถวายบังคมซึ่งไม่ได้ใช้วิธีหมอบกราบและการคำนับ

รศ.ดร.บัญชา กล่าวว่า ในส่วนของการแสดงออกของอาจารย์คนดังกล่าวที่มีภาพปรากฏออกสื่อไป น่าจะสืบเนื่องมาจากการที่นายเนติวิทย์และนิสิตกลุ่มนี้ไม่เคารพในข้อตกลงที่มีร่วมกัน จึงโกรธถึงขีดสุดว่าพูดกันแล้วไม่รู้เรื่อง และตั้งใจไม่ทำตาม

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.บัญชา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ตอนนี้ อาจารย์คนดังกล่าวเกิดภาวะเครียดอย่างรุนแรงจนต้องเข้ารักษาตัวในห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาล และจะดูอาการต่อในห้อง CCU คืนนี้ แพทย์วินิจฉัยเบื้องต้นว่า มีอาการ hyperventilation คือ หายใจไม่ได้ กล้ามเนื้อเกร็ง ชีพจรสูง ซึ่งตนเดาว่าน่าจะเป็นเพราะอาจารย์คนดังกล่าวรู้สึกขัดแย้งอย่างสูง เพราะเป็นคนรักนิสิตและทำกิจกรรมคลุกคลีกับนิสิตมาตลอด

“ผมต้องขอโทษนิสิตคนนั้นแทนอาจารย์ด้วยที่อาจจะทำอะไรเกินไป ทางจุฬาฯพยายามเปิดพื้นที่ให้กับทุกคน แต่ผมว่ามันต้องให้ความยุติธรรมและให้การเคารพข้อตกลงซึ่งมีต่อกันและกัน สำคัญที่สุดคือต้องจริงใจต่อกันด้วย” รองอธิการบดีด้านกิจการนิสิตจุฬาฯ กล่าวทิ้งท้าย


ครูเอารองเท้ายีหัวเด็ก สั่งกราบ ล่าสุด สั่งสืบข้อเท็จจริงด่วน!

เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 60 ในโซเชียลมีเดียมีการแชร์คลิปจากสมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง ซึ่งพบว่า สถานที่เกิดเหตุคือโรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี โดยพบว่า เด็กนักเรียนชายคนหนึ่ง โดนครูเข้ามาต่อว่า จากนั้นครูได้นำรองเท้าวางบนหัวและให้นั่งลง ต่อมา ครูให้เด็กนักเรียนกราบรองเท้าบนพื้น ต่อหน้าเพื่อนๆ ที่ยืนอยู่จำนวนมาก ซึ่งคลิปดังกล่าวนี้กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างยิ่ง ในประเด็นที่ว่าครูทำเกินกว่าเหตุไปหรือไม่

นายอดุลย์ กองทอง ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 29 เปิดเผยกับทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า เมื่อทราบเรื่องตนจึงได้สอบถามไปยัง นายสาคร ทะเยี่ยม รองผู้อำนวยการโรงเรียนทุ่งเทิงยิ่งวัฒนา ถึงคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านทางโทรศัพท์ เบื้องต้น ทราบว่าเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าวันนี้ แต่ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนว่า เพราะเหตุใดครูถึงเอารองเท้าไปวางบนหัวเด็ก เนื่องจากยังไม่ได้เจอกับคุณครูคนดังกล่าว

ทั้งนี้ ตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงเรียบร้อยแล้ว และให้แจ้งกลับมาที่ตนโดยเร็วที่สุด คาดว่าวันพรุ่งนี้น่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติม

“ตอนนี้ยังไม่มีผู้ปกครองร้องเรียนเข้ามาครับ แต่ถึงแม้ว่าไม่ได้ร้องเรียน เราก็ดำเนินการตามคลิปที่เกิดขึ้น โดยสืบข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้ ถ้ามีมูลว่ากระทำความผิดทางวินัย ก็จะดำเนินการทางวินัยต่อไป จะไม่มีการปกปิดช่วยเหลืออะไร ผิดก็ว่าไปตามผิดครับ” ผอ.สพม.เขต 29 ระบุ


อัยการสั่งไม่ฟ้อง 'แพท' เป็นอิสระ

เมื่อวันที่ 4 ส.ค.นายอาคม คงสวัสดิ์ ทนายความของ "แพท ณปภา ตันตระกูล" ดาราและนักแสดงชื่อดัง กล่าวถึงกรณีที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษ 3 มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีสมคบฟอกเงินยาเสพติดจากการได้รับโอนเงินจากนายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง สามี เมื่อวานนี้ ว่า ในชั้นของอัยการเราได้ร้องขอความเป็นธรรม และมอบหลักฐานเอกสารการเงินที่ได้มาจากสถาบันการเงิน ส่งมอบให้อัยการครบถ้วน ถือว่าได้ทำเต็มที่แล้วเกี่ยวกับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริง

ขณะที่ขั้นตอนจากนี้ยังต้องรอผลการพิจารณาของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่อัยการส่งสำนวนให้พิจารณาอีกครั้ง ว่าจะเห็นแย้งหรือไม่ ซึ่งขั้นตอนนี้ถือเป็นดุลยพินิจในการทำความเห็นทางกฎหมายว่าจะเห็นเหมือนหรือต่างกับอัยการ โดยทนายความและนางสาวณปภา ไม่ต้องยื่นอะไรเพิ่มเติม และไม่ต้องร้องขอความเป็นธรรมอะไรอีก เพราะในชั้นนี้ถือว่าพยานหลักฐานที่ต้องการชี้แจงส่งให้ในชั้นอัยการครบถ้วนแล้ว แต่หากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจะเห็นแย้งก็ต้องให้อัยการสูงสุดชี้ขาดตามกฎหมายเป็นขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นดุลยพินิจต่อความเห็นทางกฎหมายเช่นกัน จึงต้องรอติดตามผลต่อไปว่าจะสรุปอย่างไร

ส่วนที่ศาลอาญา กำหนดนัดให้รายงานตัววันจันทร์ที่ 7 ส.ค.นี้ ตามเงื่อนไขของการประกันตัวชั้นฝากขัง ซึ่งขณะนี้ครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายแล้ว โดยนางสาวณปภา จะเดินทางเข้ารายงานตามนัดของศาล ซึ่งหลังจากรายงานตัวถือว่าทำครบขั้นตอน และเมื่อครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้ายแล้ว อัยการสั่งไม่ฟ้องคดีนางสาวณปภา ก็ถือว่าพ้นจากอำนาจการควบคุมตัว ก็เป็นอิสระแล้ว.

ทำได้ลงคอ ! คาร์แคร์ล้างมา 4 ปี เสี่ยโอด พนง.นำรถหรู Z4 ไปขาย

เมื่อวันที่ 2 ก.ค. เฟซบุ๊ก ทิพย์พาพร กรีนกะทีออฟ ได้โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับการนำรถเก๋งหรู ทะเบียน 4 กน 1414 BMW Z4 หายไป หลังนำรถไปล้างร้านตรงข้ามหมู่บ้านพนาสน คลอง 4 คนดูแลร้านล้างรถ นำรถไปขาย โดยที่ทางเจ้าของรถไม่รู้ และให้รถกับคนซื้อไป โดยที่เจ้าของรถไม่รู้เรื่อง ถ้าเห็นรถทะเบียนนี้ช่วยโทรหาเราด้วย อยากรถคืน 089-448XXXX ทิพพาพร ไปแจ้งความไว้กับ สน.คูคต แล้ว ร้อยเวรรับเรื่อง แต่ยังตามรถกลับมาไม่ได้เลย

สอบถามนายพงษธร (ไม่เปิดเผยนามสกุล) หุ้นส่วนค่ายมวยแห่งหนึ่ง เจ้าของรถเก๋งหรูดังกล่าว ซึ่งหนุ่มใหญ่ได้อธิบายว่า นำรถเก๋งหรู บีเอ็มดับเบิลยู รุ่น Z4 ไปล้างที่คาร์แคร์ในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นร้านประจำ จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจที่ใช้บริการกันมาตั้งแต่ร้านเปิดเป็นเวลา 4 ปี อยู่ห่างจากบ้านเพียง 80 เมตร โดยได้นำไปล้างเมื่อวันที่ 20 ก.ค. โดยวันเกิดเหตุได้ขับรถไปล้างปกติ แล้วออกมาทำธุระ เพราะเมื่อล้างรถเสร็จ ทางร้านจะโทรมาแจ้งให้ไปรับรถหรือขับมาส่งที่ร้าน แต่คราวนี้มีพนักงานหญิงของร้านโทรมาแจ้งว่า ขอนำรถไปถ่ายรูปโปรโมตร้าน โดยจะขัดเคลือบเงาต่างๆ ให้ ซึ่งเจ้าของรถก็ตกลง กระทั่งผ่านมา 3 - 4 วัน เจ้าของรถเก๋งหรูได้นำรถตู้ไปล้างเพิ่มอีก 1 คัน และสังเกตว่าไม่เห็นรถเก๋งหรูของตนเองจอดอยู่ในร้าน ทางร้านได้อธิบายว่าได้นำรถไปอบที่ร้านอื่น และพนักงานของร้านได้อธิบายเพิ่มเติมว่าจะมีการนำรถไปโชว์ในวันที่ 29 - 30 ก.ค. ซึ่งเมื่อถึงวันดังกล่าว ทางตนเองทราบว่าไม่มีงานแสดงโชว์รถจริงๆ และทางร้านได้ติดต่อจะรีบนำรถไปคืนให้อีกวันที่ 31 ก.ค. และก็เลื่อนมาเป็นวันที่ 1 ส.ค. และในวันเดียวกันนั้น เวลา 21.00 น. พนักงานของร้านดังกล่าวได้มาบอกกล่าวที่บ้านว่าได้ขายรถเก๋งหรูไปแล้วในวันที่ 28 ก.ค. โดยมีการวางเงินมัดจำ 350,000 บาท ราคาขายทั้งหมด คือ 2,150,000 บาท โดยนัดรับเงินที่เหลือทั้งหมดในวันที่ 8 ส.ค. นี้ โดยพนักงานคนดังกล่าวได้ปลอมแปลงเอกสารทำธุรกรรมแทนเจ้าของรถทุกอย่าง

อย่างไรก็ตาม ทางร้านคาร์แคร์ ได้ติดต่อจะนำรถมาคืนให้ในวันที่ 2 ก.ค. จนเวลาล่วงเลยมาวันที่ 4 รถก็ยังไม่ได้นำมาคืน ทางเจ้าของรถจึงเข้าแจ้งความที่ สภ.คูคต จ.ปทุมธานี เพราะเห็นผิดสังเกต และหลังจากที่ได้แจ้งความไป ทางร้านคาร์แคร์ได้ปิดร้านไป ขณะที่ก็ยังไม่ได้ออกมารับผิดชอบใดๆ