ข่าว
“เสก” ยิ้มรับกระทืบทอมจริง ฉุนโพสต์ด่าแม่สมควรโดน

“เสก โลโซ” ยิ้มอ่อน เปิดบ้านแถลงข่าว บอกตนเป็นคนจริง ยอมรับกระทืบ “ทอมบี” จริง ลั่นสมควรโดนกระทืบ ตามตัวมานานแล้ว ฉุนโพสต์ด่าแม่และตั้งเพจแอนตี้ มั่นใจแฟนคลับแฮปปี้ และไม่กระทบภาพลักษณ์สินค้าเครื่องดื่มชูกำลังของตนเอง พูดติดตลกเครื่องดื่มของตนนอกจากจะมี บี 6 บี 12 แล้ว ก็ยังมี บีกรามหักอีกด้วย

หลังจากที่ “กานต์ วิภากร” อดีตภรรยา “เสก โลโซ” เสกสรร ศุขพิมาย นักร้องร็อกเกอร์ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า “บี ชนกชล บุญเพ็ง” สาวมาดทอมลูกน้องคนสนิท ถูก เสก โลโซ ทำร้ายร่างกายจนกรามหัก ต่อหน้าต่อตา “น้องกวาง” ลูกสาวของทั้งคู่

ล่าสุด เสก โลโซ ก็ได้เปิดบ้านแถลงข่าวถึงเรื่องดังกล่าว โดยมีแม่ของเสกนั่งดูการแถลงข่าวด้วย วันนี้เจ้าตัวมีสีน้ำยิ้มแย้ม บอกว่า ตนเป็นคนจริง ยอมรับว่ากระทืบทอมคนดังกล่าวจนกรามหักจริง เพราะตามตัวมานานแล้ว ไม่พอใจที่ทอมคนนี้ตั้งเพจแอนตี้ เสก โลโซ และวันที่ 18 เมษายน นี้ จะเดินทางไปถามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีที่เคยแจ้งความเกี่ยวกับเพจแอนตี้ ไม่กลัวการขึ้นศาล เพราะช่วงนี้ห่างมานาน อยากจะไปขึ้นศาลบ้าง

ส่วนเรื่องการกระทำดังกล่าวอยู่ต่อหน้า “น้องกวาง” ลูกสาวของเสกนั้น เจ้าตัวบอกว่า ไม่มีปัญหา เพราะลูกสาวบอกว่าเทกแคร์พ่อนะ และเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อด้วย

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการทำร้ายร่างกายผู้หญิง กลัวหรือไม่ว่าจะถูกสังคมเข้าใจผิด เจ้าตัวตอบว่า ไม่กลัวว่าสังคมจะเข้าใจผิด เพราะว่าทอมคนนี้เป็นคนไม่ดี เคยติดคุกมาก่อน มั่นใจเยาวชนเข้าใจ เผยแฟนคลับแฮปปี้กับสิ่งที่ตนเองทำ มั่นใจไม่มีผลต่อธุรกิจเครื่องดื่มที่ตนเองทำ ต้องเคลียร์เรื่องเก่า ๆ ให้หมดไป ไม่ว่าจะเป็นเพจแอนตี้ เรื่องเมีย คนจะได้เข้าใจ ไม่อยากให้มาติดภาพเดิม ๆ ลั่นทอมแบบนี้ต้องจัดการ ตำรวจไม่ตามคดีแบบนี้หรอก ผมจัดการกระทืบเอง คนเลว ๆ ต้องโดน นอกจากนั้นแล้ว เจ้าตัวยังพูดติดตลกเรื่องเครื่องดื่มของตนเองว่า นอกจากจะมี บี 6 บี 12 แล้ว ก็ยังมี บีกรามหักอีกด้วย

ส่วนเรื่องที่กานต์แฉว่ามีเจ้าหนี้มาทวงเงินเสก 6 แสน ที่หน้าบ้าน เจ้าตัวบอกว่าผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน ผมรวย และเรื่องปัญหาค่าเลี้ยงดู 2 ล้าน ที่ไม่จ่ายนั้น เจ้าตัวบอกว่าจ่ายเรียบร้อยแล้ว ไม่เชื่อให้คุยกับเจ้าหน้าที่บัญชีได้เลย ยืนยันว่า ตนเองไม่ใช่มาเฟีย แต่เป็นนักรัก

“บิ๊กตู่”แก้ต่างปัดชอบดูละคร ยันไม่ได้สั่งเอาซีรีย์เกาหลีฉาย

เมื่อวันที่ 15 เมษายน เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ที่มีการปรับรูปแบบใหม่ โดยมี พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดย พ.อ.หญิง ทักษดา ถามว่า นายกฯเคยแนะนำให้ดูละครเกาหลีไปแล้ว ในคราว นายกมีละครไทย หรืออะไรที่อยากจะฝากถึงประชาชนในช่วงนี้บ้างหรือไม่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวๆ แก้ก่อน ไม่ใช่ผมชอบดูละคร ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอก ผมก็เปิดทีวี ข้างหน้าเป็นเพื่อน แล้วผมก็คิด ผมก็เขียน ผมก็อ่านหนังสือไป พอได้ยินเสียงแว่วๆ อะไร เอ๊ะมันน่าจะดี เงยหน้ามาดูหน่อย วันนั้นพอดีเปิดดู เจอเป็นเกาหลีเข้ามาพอดี ผมก็ดูเขาหน่อย เอ๊ะ ก็ดูดี สิ่งที่ผมบอกไม่ใช่ให้ไปเช่า เขาเรียกอะไร ไปซื้อเขามาฉายในประเทศไทย ไม่ใช่ ผมให้คิดแบบเขา แล้วทำไมเขาคิดได้แบบนั้น ทำไมเขาผูกเรื่องได้แบบนั้น แล้วมาคิดของเรา

“ผมได้ข่าวมีคนไปซื้อมาแล้วนะ จะมาฉายในประเทศไทย คือไม่ต้องเอาใจผมขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวคนไทยก็เลยเข้าใจกันผิดไปอีก แต่ไม่เป็นไร เพื่อนเรา เกาหลีเพื่อนเรา เพื่อนรักเราตั้งแต่อดีต ตั้งแต่สงครามเกาหลี วันนี้ก็ยังเป็นเพื่อนรักกันอยู่ ท่านประธานาธิบดีเกาหลีกับผมก็เจอกันบ่อยครั้งในการประชุมนะ หลายอย่างก็จะมีความร่วมมือระหว่างกัน วันนี้เศรษฐกิจเราก็เดินทางไปนะ การลงทุน เกาหลี ญี่ปุ่น ใครล่ะ หลายประเทศ รัสเซีย อินเดีย เดี๋ยวผมก็ต้องเดินหมด ทุกประเทศ เพราะเราอิสระไง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ถ้าท่านจะซื้อมาก็ซื้อมาเถอะ แต่อยากให้ของเราปรับปรุงเรื่องการแต่งกายปรับปรุงในเรื่องที่มันเป็นเรื่อง ของการทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องของครอบครัวโน้น ครอบครัวนี้ เรื่องมรดก แล้วก็เรื่องโป๊ๆ เปลือยๆ มีทุกเรื่องเลย บางเรื่องก็เยอะที่สุดเลย แล้วเสร็จแล้วก็ไปสู่โน่น เรื่องของการจัดนิทรรศการ จัดงานรถยนต์ มันทำให้สังคมเสื่อมโทรม เด็กก็เลยไม่รู้ว่าอะไรถูก ผิด

“สมัยก่อนบอกแล้วว่าผู้หญิงนี่ไม่ใช่แต่งตัวให้ผู้ชายดูง่ายๆ เขาต้องแต่งให้สวย แต่งให้มิดชิด วันนี้เปิดให้ผู้ชายดู จะได้ชอบเรา มันไม่ใช่หรอก เป็นความชอบผิวเผินมากกว่า เพราะฉะนั้นว่าจะหล่อไม่หล่อ หล่อได้ก็ดี ไม่หล่อแต่ก็มีความดีทดแทน พอสู้กันได้ แต่ก่อนเขาเรียกอะไรนะ คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง วันนี้อย่าไปเชื่อคารมนะ เชื่อความดีดีกว่านะ โลกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเยอะ ทุกวันจันทร์ วันอังคาร พี่น้องประชาชนมีเวลาว่างประมาณ 1 ชั่วโมงนะ แหมผมก็เกรงใจ นึกว่าเป็นวันศุกร์นะ ก็เป็นจันทร์ – อังคาร เดี๋ยว 2 ทุ่มก็เจอของผมอีกไง วันศุกร์ เดี๋ยวเล่นงานผมอีก

“ก็แนะนำแล้วกันนะครับให้พี่น้องประชาชนนี่มาชมละครโทรทัศน์ สัญชาติไทยเลยนะ เป็นซีรี่ย์นะ แหมใช้คำหนักไปหรือเปล่าไม่รู้ สัญชาติไทย คนไทยทำนะ เป็นซีรี่ชุดที่เรียกว่า เรื่องเจ้าเวหา ผมก็เห็นโฆษณาแป๊บๆ นะ เดี๋ยวจะลองดูเหมือนกัน หาเวลาว่างๆ นะ แบ่งเป็น 3 ตอนนะ รู้ซะด้วยนี่ คือเขาสรุปมาให้ผมดูว่ามีอะไรบ้างให้ผมมาพูดโฆษณาให้เขาหน่อย แบ่งเป็น 3 ตอนนะ เจ้าเวหา นี่ คือฝั่งน้ำ จรดฝั่งฟ้า เป็นทหารเรือ ดูน่าดูนะ เป็นทหารเรือ ไม่มีทหารบกเลยในนั้น มีพิชิตแดนใจ แล้วก็ผู้ครองฟ้า อันนี้ดูทาง TRUE For You ช่อง 24 ก็เป็นเรื่องหนึ่งนะครับสร้างสรรค์สังคม ปลูกฝังอุดมการณ์ การรักชาติแล้วก็ดีต่อทุกสาขาอาชีพนะ ขอบคุณผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับ นักแสดง ทีมงานที่สร้างผลงานทีมีคุณภาพ สู่สายตาคนไทย อยากให้สร้างเยอะๆ นะ ความรักชาติ ความเสียสละ ความอดทน ซื่อสัตย์เหล่านี้ต้องสร้างในใจคนไทยให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กนะ เด็กเล็กที่ยังบริสุทธิอยู่ทั้งหมดนี่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


‘ประยุทธ์’จวกอย่าทำทุเรศนัก การ์ตูน’ปฏิวัติหัวใจกับนายโอชา’

วันที่ 12 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังประชุมคณะรัฐมนตรีที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณีการแชร์ภาพตนเอง ซึ่งเป็นภาพตัดต่อ และการทำการ์ตูน โดย พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่า ตนเองไม่ใช่ของเล่น การนำภาพตนไปตัดต่อเต้นสงกรานต์ถือว่าผิด

ส่วนกรณีการทำหนังสือ “ทุเรศ ใครเปิดมาอีกผมจะฟ้องทั้งหมด ใครเอารูปผมไปเต้นอะไรแบบนั้น มันผิดกฎหมาย อย่าเอาไปเล่นผมไม่ใช่ของเล่น แล้วอย่าทำให้มันทุเรศมากนักก็แล้วกัน ระวังตัวเอาไว้นะ เพราะฝ่ายกฎหมายผมเขาดูหมดแล้วนะ เพราะมันเข้าข่ายผิดกฎหมายถ้าจะมาเขียนหนังสือการ์ตูน “ปฏิวัติ หัวใจกับ นายโอชา” อะไรแบบนี้ ไอ้พวกส่งต่อก็จะโดนด้วย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


'ถาวร' หนุน 'วิษณุ' เพิ่มอำนาจประชาชน

'ถาวร' หนุน 'วิษณุ' ยึดหลักการเพิ่มอำนาจให้ประชาชน ลดอำนาจรัฐบาล พร้อมรอถกท่าที รธน. 18เม.ย.-หนุนส.ว.

เมื่อวันที่ 15 เม.ย.2559 นายถาวร เสนเนียม ในฐานะอดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุ หากร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ไม่ผ่านประชามติ อาจจะนำรัฐธรรมนูญปี 40 และ 50 และร่างฉบับ นายบวรศักดิ์อุวรรณโณอดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่างฯและร่างฉบับของนายมีชัย มาปรับใช้ในสัดส่วน 2 ใน 3 ของร่างใหม่ว่า ส่วนตัวเห็นว่ารัฐธรรมนูญทั้ง 4 ฉบับมีข้อดีอยู่แล้ว เช่น รัฐธรรมนูญ 40 และ 50 มีดีเรื่องสิทธิชุมชน การกระจายอำนาจให้ส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการตนเอง อำนาจขององค์กรอิสระที่ตรวจสอบถ่วงดุลการทำงานของรัฐบาลได้ดี และเรียนฟรี 12 ปี ที่สำคัญคือระบบเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว (วันแมนวันโหวต) จึงอยากฝากนายวิษณุใช้จุดเด่น ปิดจุดบกพร่อง เพราะไทยมีกฎหมายที่ดีมาก แต่การบังคับใช้ของผู้เกี่ยวข้องหย่อนยาน ขอให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งขอให้เน้นยึดนิติรัฐ นิติธรรม โดยยึดหลักการเพิ่มอำนาจให้ประชาชน ลดอำนาจรัฐบาลตามหลักสากล

อดีตแกนนำ กปปส.กล่าวอีกว่า ในส่วนรัฐธรรมนูญของนายมีชัย ตนเห็นด้วยกรณีที่มา ส.ว.สรรหา ที่ควรให้หลากหลาย เพราะตนไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง ส.ว.เนื่องจากที่ผ่านมา ส.ว.ที่มาฐานมาจาก ฝ่ายการเมือง จึงเกิดความบกพร่องในการทำงานจนได้รับฉายา สภาทาสมาแล้วในบางยุคสมัย เห็นว่า ที่มาของ ส.ว.ควรจะมีกระบวนการสรรหาที่หลากหลายจากกลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคม ที่แท้จริง มากกว่าการแต่งตั้ง ในส่วนท่าทีของแกนนำ กปปส. อาจจะมีการคุยกันถึงรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 เม.ย.2559 เพราะนัดคุยกันเรื่องการต่อสู้คดีความในการชุมนุมทางการเมืองที่ผ่านมา ในข้อหาต่างๆ น่าจะมีการหารือเรื่องรัฐธรรมนูญด้วย หลังจากนั้นคงมีท่าทีชัดเจนขึ้น.


“วัฒนา” ขอเป็น “เม็ดกรวด” นำคนไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 15 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาเรียกร้องถึงความเป็นธรรม กรณีถูก คสช.เข้าควบคุมตัวไปปรับทัศนคติ ซึ่งล่าสุดเมื่อวันที่ 14 เมษายน ทหารได้เดินทางไปที่บ้านของตนอีกครั้ง ตนยืนยันว่าจะเข้าพบในวันที่ 18 เมษายนอย่างแน่นอน ขอให้ยกกำลังกลับไป นอกจากนี้ นายวัฒนายังระบุว่า ตนไม่เคยคิดท้าทายอำนาจ คสช. ในขณะเดียวกันก็ไม่เคยผิดข้อตกลงที่ทำไว้แต่อย่างใด ขออย่าบิดเบือนเพื่อใช้อำนาจตามอำเภอใจ อีกทั้งการนำตนไปปรับทัศนคติก็ไม่ได้ทำให้ตนเปลี่ยนความคิด พร้อมกับปิดท้ายว่า พร้อมเป็นเพียงเม็ดกรวดเล็กๆ ในสะพานที่จะนำคนไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง จึงขอความกรุณาทบทวนคำสั่ง แล้วร่วมมือทำให้ประเทศไทยน่าอยู่สำหรับคนทุกสีจะดีกว่าหรือไม่ ดังข้อความต่อไปนี้

หลังจากที่ผมได้โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงว่า การแสดงความเห็นของผมที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นความผิดตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/2558 แต่วานนี้ (14 เมษายน) ทหารก็ยังยกกำลังมาที่บ้านเพื่อจะควบคุมตัวผมไปปรับทัศนคติ โดยทีมโฆษก คสช.เปิดเผยสาเหตุการเชิญตัวว่า ผมให้ความเห็นในเชิงไม่สร้างสรรค์ ผิดข้อตกลงที่ให้ไว้ และมีเจตนาท้าทายอำนาจของ คสช. ขณะนี้กองกำลังยังปักหลักปิดหน้าบ้านจนลูกเมียผมเข้าบ้านไม่ได้ ต้องย้ายไปหาที่นอนใหม่ ยกกำลังกลับไปเถิดครับ วันจันทร์ที่ 18 เมษายน เวลา 11.00 น. ผมเสร็จธุระแล้วจะมาพบท่านแน่นอน อย่าใช้วิธีสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย ไม่ใช่วิธีของชายชาติทหารครับ

เมื่อคราวที่ คสช.ยึดอำนาจการปกครอง ผมและนักการเมืองอื่นประมาณ 200 คน ถูกเรียกไปรายงานตัวและถูกนำตัวควบคุมตัวเป็นเวลา 3-7 วัน ก่อนที่จะปล่อยตัวเจ้าหน้าที่ได้เอาเอกสารมาให้ผมลงนามมีเงื่อนไขว่า (1) จะไม่เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่ได้รับอนุมัติจากหัวหน้า คสช. (2) จะละเว้นการเคลื่อนไหวหรือประชุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ และ (3) หากฝ่าฝืนหรือดำเนินการช่วยเหลือสนับสนุนกิจกรรมทางการเมือง ยินยอมถูกดำเนินคดีและระงับธุรกรรมทางการเงิน ดังนั้น การแสดงความเห็นของผมที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเหมือนกับที่หัวหน้าพรรคการเมืองและผู้บริหารของทั้งสองพรรค จึงไม่ได้เป็นการทำผิดข้อตกลงที่ให้ไว้ อีกทั้งการผิดข้อตกลงก็ไม่ได้ให้อำนาจ คสช.นำกำลังมาควบคุมตัวผมไปไหนทั้งสิ้นนะครับ

ท่านมีอำนาจที่จะดำเนินคดีหรือระงับธุรกรรมทางการเงินตามข้อตกลงเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นตามข้อตกลงที่ผมโพสต์มาให้ดูเป็นหลักฐานด้วยแล้ว ขอความกรุณาอย่าบิดเบือนเพื่อใช้อำนาจตามอำเภอใจเลยครับ

ผมเป็นเพียงนักการเมืองเล็กๆ คนหนึ่งที่ต้องการเห็นบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า ผมเชื่อว่าการเปิดเสรีภาพทางความคิดจะนำไปสู่การพัฒนาอย่างสร้างสรรค์ ส่วนหลักนิติธรรมและประชาธิปไตยที่แท้จริงจะทำให้คนไทยทุกสีทุกกลุ่มสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แม้จะคิดเห็นไม่ตรงกันก็ตาม ผมต่อสู้เพื่อหลักการที่ถูกต้อง ไม่ได้ทำเพื่อสีหรือกลุ่มการเมืองใด การแสดงความคิดเห็นของผมเป็นไปโดยสุจริตเพื่อส่วนรวม ผมไม่เคยโกรธกับการที่ท่านยกกำลังมาควบคุมตัวผม และได้อโหสิกรรมให้แล้วทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าแม้เราจะมีความคิดที่ต่างกันแต่มีเป้าหมายตรงกันคือเพื่อประเทศชาติ แต่การที่ท่านยกกำลังมาควบคุมตัวผมทำให้ครอบครัวผมเดือดร้อน ลูกผมต้องออกมาต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยผม การนำตัวผมไปปรับทัศนคติไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนความคิด ผมไม่เคยคิดท้าทายอำนาจของ คสช. ทั้งไม่ได้ทำผิดกฎหมายหรือข้อตกลงใดๆ เพียงแต่อาจคิดเห็นไม่เหมือนท่าน ผมพร้อมที่เป็นเพียงเม็ดกรวดเล็กๆ ในสะพานที่จะนำคนไทยก้าวข้ามความขัดแย้ง จึงขอความเป็นธรรมช่วยกรุณาทบทวนคำสั่ง มาร่วมมือกันทำประเทศไทยให้น่าอยู่สำหรับคนไทยทุกสีทุกกลุ่มดีกว่ามั้ยครับ

กว่า 6 หมื่นคน ถนนข้าวเหนียว ร่วมเล่นสงกรานต์ปลอดเหล้า

เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา ณ เวทีกลางถนนข้าวเหนียว นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีนครขอน ได้นำประชาชน นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศในถนนข้าวเหนียว เพื่อเข้าร่วมเล่นกิจกรรมคลื่นมนุษย์ไร้แอลกอฮอล์ที่มากที่สุดในประเทศไทย ซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมก่อนมีการบันทึกสถิติโลกจริงในคืน วันที่ 15 เม.ย. 2559 เวลา 19.00 น. โดยมีคณะผู้บริหารเทศบาลนครขอนแก่น สมาชิกสภาเทศบาลนครขอนแก่น ผู้อำนวยการสำนัก/กอง หัวหน้าส่วนการงาน และศิลปิน Scrubb และประชาชน นักท่องเที่ยวที่เดินทางทยอยเข้ามาเล่นน้ำตั้งแต่ช่วงเย็นเข้าร่วมทำกิจกรรมด้วย

บรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ที่งานสุดยอดสงกรานต์อีสานถนนข้าวเหนียวจังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่ช่วงเย็นที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวจำนวนมากต่างเดินทางมาร่วมเล่นสงกรานต์ โดยมีการแสดงบนเวทีทั้ง 13 เวที โดยแต่ละเวทีต่างนำขวดบรรจุน้ำพร้อมเจาะฝาขวด แจกให้กับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวภายในงาน ขณะที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ได้นำปืนฉีดน้ำมาเล่นเพราะเป็นการเล่นน้ำที่ประหยัด ตามการรณรงค์เล่นน้ำของเทศบาลนครขอนแก่น ซิ๊ดแทนสาดช่วยชาติประหยัดน้ำ

จนเวลา 19.00 น. นายธีระศักดิ์ ฑีฆายุพันธุ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลนครขอนแก่น ได้ขึ้นบนเวทีพร้อมกับศิลปินวงสคลับ ก่อนที่จะเริ่มคลื่นมนุษย์บนถนนข้าวเหนียว โดยเล่นไปกลับจากเวทีกลางที่อยู่บริเวณศาลเจ้าหลักเมือง ไปยังสุดถนนศรีจันทร์ตัดถนนข้าวเหนียวรวมระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร รวม 3 รอบ โดยในคืนนี้มีนักท่องเที่ยวมาร่วมเล่นคลื่นมนุษย์กว่า 61,362 คน

โดยเทศบาลนครขอนแก่น ได้เชิญชวนประชาชน และนักท่องเที่ยวทุกท่าน ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการท้าบันทึกสถิติคลื่นมนุษย์ไร้แอลกอฮอล์ที่มากที่ สุดในประเทศไทย ในคืนวันที่ 15 เม.ย. 2559 เวลา 19.00 น.ส่วนการบันทึกสถิติลง GUINESS WORLD RECORDS ซึ่งในปี 2556 ได้มีการบันทึกการเล่นคลื่นมนุษย์ไร้แอลกอฮอล์ที่ถนนข้าวเหนียว มีการบันทึกสถิติโลก กินเนสบุ๊ค เวิล์ด เลคคอร์ด โดยในครั้งนั้นมีนักท่องเที่ยวร่วมบันทึกจำนวน 50,208 คน