ข่าว
สื่อตปท.ตีข่าววาทะ รมต.ไทย "อยากรักจีน"

สำนักข่าว"Asian news network"รายงานข่าวโดยอ้างที่มาจาก หนังสือพิมพ์ภาษาอังฤษของไทย "The Nation" ว่า กรณีพลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รัฐมนตรีต่างประเทศไทย ที่แสดงทัศนะกล่าวชื่นชมจีนอย่างหลงใหลได้ปลื้มต่อสาธารณชน ระหว่างการพบกับนายหวัง อี้ รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศจีน ได้ถูกวิจารณ์หลายด้านจากผู้เชี่ยวชาญด้านการทูตว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม และอาจเป็นโทษต่อผลประโยชน์ในเชิงภูมิภาคการเมืองของประเทศ

รายงานระบุว่า ในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ พลเอกธนะศักดิ์ ได้กล่าวชื่นชมจีนอย่างออกหน้า ระบุว่า หากผมเป็นผู้หญิง ผมอยากจะรักกับท่านรัฐมนตรีหวัง อี้ โดยเหล่าคณะผู้ติดตามต่างพูดปกป้องว่า คำพูดดังกล่าวเป็นการแค่การแสดงความนับถือต่อรัฐมนตรีจีนเท่านั้น

ขณะที่นายวิโรจน์ อาลี อาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศบอกว่า การแสดงความรู้สึกปลื้มดังกล่าวอาจทำให้ชาติเพื่อนบ้านอาเซียนที่มีปัญหาด้านกรณีพิพาททางทะเลกับจีนไม่พอใจไทยและคำพูดนี้ถือว่าไม่เหมาะสมทั้งในแง่สถานที่และช่วงเวลาและชื่อเสียงของไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่นิยมถ่วงดุลอำนาจของชาติมหาอำนาจจะถูกบ่อนทำลายจากการแสดงทัศนะปลื้มจีนอย่างออกหน้าออกตาเช่นนี้

คำพูดดังกล่าวถือว่าเป็นการชัดเจนว่าไทยได้เลือกข้างจีนและนี่จะเป็นการเปิดทางให้เกิดความขัดแย้งกับสหรัฐและชาติเพื่อนบ้านรายอื่นๆและจริงๆ แล้ว คำพูดนี้ควรจะพูดตอนการหารือแบบตัวต่อตัวมากกว่าการแสดงออกต่อสาธารณะเช่นนี้ และที่ผ่านมาจีนเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเป็นพิเศษกับไทย และไทยควรจะถามตัวเองว่าเพราะเหตุใดหลายประเทศ เช่น เมียนมาที่เคยใกล้ชิดกับจีนถึงพากันตีตัวออกห่างจีน

ขณะที่นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการอาวุโส กล่าวว่า ทัศนะดังกล่าวออกดูจะน่ารักและเป็นไทยมาก และว่า การพูดดังกล่าวเป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงและไม่คาดฝันมาก่อน และเมื่อถูกถามว่า คำพูดนี้จะทำให้ไทยได้เปรียบหรือเสียเปรียบทางการทูตหรือไม่ นายชาญวิทย์บอกว่า สิ่งนี้เป็นเรื่องที่คนไทยต้องตัดสินกันเอาเอง

ด้านนายอัษฎา ชัยนาม อดีตผู้แทนไทยประจำสหประชาชาติกล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องสนุกที่รัฐมนตรีไทยจะกล่าวเช่นนี้ต่อสาธารณะ เพราะมันเป็นการแสดงออกทางการทูตของคนอ่อนหัด ซึ่งเขาเข้าใจว่าพลเอกธนะศักดิ์ อยากจะเป็นมิตรกับจีน แต่พลเอกธนะศักดิ์อาจลืมไปว่า ตนกำลังทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยอยู่ และน่าวิตกสำหรับอาชีพทางการเมืองของพลเอกธนะศักดิ์ในอนาคต เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศจีนเองก็อาจจะหัวเราะเยาะที่เห็นว่าพลเอกธนะศักดิ์ไม่ได้รู้เรื่องหลักปฎิบัติทางการทูตเลยซึ่งคนที่ดำรงตำแหน่งนี้ก็ควรจะมีทักษะด้านการทูตด้วย

ทั้งนี้สำหรับพันเอกวีรชน สุคนธปฎิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่าเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะวิจารณ์ได้ เรื่องนี้สื่อต้องไปคิดกันเอาเอง

บิ๊กตู่ ลั่น! ไม่กลัวถอดยศแม้ว ยังไงทักษิณ ก็กลับไทยไม่ได้

นายกฯระบุ ไม่ได้กลัวถอดยศ ทักษิณได้หรือไม่ ยังไงก็กลับไทย ไม่ได้ ขออย่าให้ความสำคัญปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย เตือนคนไทยใช้สติ อย่าใช้ความรู้สึกหรือหัวใจในการแก้ไขปัญหา

7 ส.ค. - พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. กล่าวถึงการดำเนินการถอดยศพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร ว่า คณะกรรมการกำลังดำเนินการอยู่ ตนได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมติดตามเรื่องดังกล่าว ซึ่งการถอดถอนไม่ว่าจะเป็นวันนี้หรือวันไหน ก็จะต้องดำเนินการถอดถอน ทำให้เดินทางกลับประเทศไทยไม่ได้อยู่แล้ว ขอสื่อมวลชนอย่าให้ความสำคัญเพราะจะทำให้มีปัญหาในการบริหารราชการแผ่นดิน ยืนยันว่าการถอดยศเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่ใช่เพราะความกลัว ซึ่งหากถ้ากลัวคงไม่มายืนอยู่ตรงนี้ ขออย่าให้ความสำคัญกับเรื่องที่จบไปแล้ว ให้กระบวนการตามกฎหมายตัดสิน คนไทยอย่าใช้ความรู้สึกในการตัดสิน แต่ต้องใช้สติในการคิด เชื่อ หรือตัดสินใจในทุกๆเรื่อง เช่น รัฐธรรมนูญ ที่กระทบต่ออนาคตของประเทศ อย่าตัดสินด้วยหัวใจ แต่ตัดสินด้วยสมองสติปัญญาเพื่อให้ประเทศเดินหน้า


หลังการบินไทยพลาดเป้า ขายทิ้ง"ออฟฟิศ"ทั่วโลก!

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย เปิดเผยว่า แผนบริหารจัดการสินทรัพย์ได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยในเบื้องต้นอาจจำเป็นต้องขายทิ้ง สำนักงาน บ้านพักพนักงาน และสำนักงานขายที่ไม่ได้ใช้งานประมาณ 30 แห่ง ทั้งตั้งอยู่ในต่างประเทศ 19 แห่ง และในไทยอีก 11 แห่ง อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้ขายทรัพย์สินเพื่อให้บริษัทมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ต้องการลดต้นทุนค่าบริหารจัดการทรัพย์สินมากกว่า เบื้องต้นจะขายก่อน 3-4 แห่ง เช่น สำนักงานที่ซิดนีย์ ออสเตรเลียและบ้านพนักงานในกรุงลอนดอน แต่จะขายหรือไม่ รอผลการพิจารณาของบอร์ดในเดือน ก.ย.58 นี้

สำหรับผลการดำเนินงานตามแผนฟื้นฟูระยะเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาขาดทุนของบริษัทว่า การบินไทยได้ดำเนินการมาแล้ว 6 เดือนนับตั้งแต่เดือน ม.ค.2558 ที่ผ่านลดค่าใช้จ่ายได้เพียง 6% ซึ่งต่ำกว่าเป้าที่วางไว้ที่ 20% ภายใน 18 เดือน

ส่วนการหารายได้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยในไตรมาสแรกของปี 2558 มีรายได้ 51,649 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 49,981 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 1,668 ล้านบาท ดังนั้นมั่นใจว่าภายใน 18 เดือน แผนการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้จะเป็นไปตามเป้า และตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2559 การบินไทยจะต้องเริ่มต้นมีกำไรอย่างต่อเนื่องทุกๆ เดือน

“ผ่านมา 6 เดือน ลดค่าใช้จ่ายได้แค่ 6% เท่านั้น ผมยังไม่พอใจ อยากให้ลงได้เร็วกว่านี้ ส่วนแผนเพิ่มรายได้ก็พอใจเพียง 50% เท่านั้น เรายังต้องทำงานให้เข้มข้นมากขึ้น แม้ว่ารายได้ไตรมาสแรกของปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม อัตราการบรรทุกผู้โดยสารเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนมากถึง 8% เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียเพิ่มขึ้นมาก” นายจรัมพรกล่าว

นายจรัมพรกล่าวว่า ส่วนแผนการเพิ่มรายได้ช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ การบินไทยจะนำระบบการบริหารจัดการกำหนดราคาตั๋วโดยสาร และระบบบริหารจัดการตารางบินแบบใหม่มาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน ซึ่งจะทำให้การกำหนดราคาตั๋วโดยสารจะมีความยืดหยุ่นมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาตามความต้องการของตลาด เพื่อให้สามารถแข่งขันกับสายการบินต้นทุนต่ำได้

“หากนำทั้ง 2 ระบบมาใช้จะทำให้การบินไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 5-6% หรือประมาณปีละ 8,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันจะต้องเร่งขยายตลาดลูกค้าให้มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจ พร้อมทั้งปรับระบบการจองตั๋วผ่านคอลเซ็นเตอร์ให้สะดวกรวดเร็วขึ้น และส่งเสริมการขายตั๋วผ่านเอเยนต์มากขึ้น โดยเสนอให้สิทธิพิเศษด้านราคาเพื่อเป็นแรงจูงใจ รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการขายระบบออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบันมีที่นั่งว่างมากถึง 30% จึงต้องเพิ่มการขายทุกช่องทาง” นายจรัมพรกล่าว.


"ตู่ นันทิดา" พาลูกสาว เข้าเยี่ยม "เอ๋ ชนม์สวัสดิ์"

วันที่ 6 ส.ค.58 เวลา 11.00 น. กรณีที่บรรยากาศหน้าเรือนจำในวันนี้บุคคลใกล้ชิดชนม์สวัสดิ์ยังคงเดินทางเข้าเยี่ยมชนม์สวัสดิ์อย่างต่อเนื่องขณะที่ผบ.เรือนจำเผยเจ้าตัวเริ่มปรับตัวใช้ชีวิตได้ในเรือนจำ

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่หน้าเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการพบว่าตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมายังคงมีบุคคลใกล้ชิดรวมถึงนักการเมืองท้องถิ่นนายกอบต.ต่างๆที่รู้จักคุ้นเคยกับนายชนม์สวัสดิ์อัศวเหม อดีตนายกอบจ.สมุทรปราการยังคงทยอยเดินทางเข้าเยี่ยมอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เปิดให้เข้าเยี่ยมได้ตั้งแต่เวลา 07.00 น โดยให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละ3 ท่านและไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเก็บภาพบรรยากาศภายในแต่อย่างใด

ขณะที่ นายไพศาล ผู้บัญชาการเรือนจำระบุว่าขณะนี้ไม่มีอะไรหน้าเป็นห่วง พบว่าเจ้าตัวเริ่มปรับสภาพการใช้ชีวิตภายในได้แล้วส่วนสุขภาพทั้งร่างกายและ จิตใจพบว่าปกติ ในเรื่องอาหารการกินนั้น ทางครอบครัวได้ฝากเงินเข้าบัญชีภายในเรือนจำ เพื่อให้นายชนม์สวัสดิ์ได้ใช้จ่ายเลือกซื้ออาหารจากทางร้านค้าสวัสดิการของทางเรือนจำ ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รับประทานอาหารที่ทางเรือนจำจัดเตรียมให้แต่อย่างใด

ส่วนที่มีกระแสข่าวไปในเชิงลบต่างๆ นานานั้น ตนเองยืนยันว่าไม่ได้เลือกปฎิบัติ หรือมีสิทธิ์พิเศษต่างไปจากผู้ต้องขังคนอื่น นายชนมส์สวัสดิ์ได้ผ่านขบวนการทุกขั้นตอนของกฎระเบียบเรือนจำที่วางไว้เหมือนกันกับผู้ต้องขังท่านอื่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเข้าเยี่ยมหรือการใช้ชีวิตภายในเรือนจำยืนยันว่าไม่มีอภิสิทธิ์เหนืออื่นใดที่กำหนดไว้ ซึ่งหลังจากนี้ ประมาณ 1 สัปดาห์จะมีเจ้าหน้าที่คณะกรรมการเรือนจำเข้าไปประเมินความเหมาะสมว่าจะต้องให้ไปอยู่ที่แดนไหนอย่างใดอีกครั้ง

ส่วนที่มีคดีเรื่องสนับสนุนเงินวัดจำนวน800ล้านบาทมีวัดแห่งหนึ่งในเขตอ.เมืองสมุทรปราการได้เล่าให้ฟังว่าสำหรับเรื่องที่ อบจ.ให้เงินสนับสนุนนั้น โดยทาง อบจ.ได้มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาโดยให้ทางวัดได้แจ้งความประสงค์ว่าต้องการ ให้อบจ.สนับสนุนในด้านใดบ้างและให้ทางวัดทำเรื่องขึ้นไปขอสนับสนุนโดยจ่าย ให้วัดมาเป็นเช็คโดยทางวัดได้มีกรรมการในการดำเนินการส่วนทาง อบจ.จะมีส่วนได้ส่วนเสียกับทางวัดหรือไม่นั้นทางวัดคิดว่าไม่มีใครกล้าที่จะ หากินกับวัด

ส่วนเรื่องคดีความนั้น ผู้สื่อข่าวได้ถามสอบไปยัง สตง.จ.สมุทรปราการ ได้เปิดเผยว่าทาง สตง.ได้มีหน้าที่ในการตรวจสอบหรือสอบสวนข้อเท็จจริงและได้รวบรวมพยานหลักฐาน ส่งให้ส่วนกลางในการดำเนินการและขณะนี้เรื่องได้อยู่ในระหว่างการดำเนินการ ของทาง ป.ป.ช. อยู่ที่ป.ป.ช.จะเป็นผู้พิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนของอำนาจหน้าที่จึง ไม่สามารถให้ข้อมูลได้

และจากการสอบถามแหล่งข่าวใน อบจ.ท่านหนึ่งได้เล่าขั้นตอนและหลักเกณฑ์ในการสนับสนุนเงินวัดว่า ทางอบจ.ได้มีคณะกรรมการพิจารณาว่า ทางวัดได้มีหนังสือขอสนับสนุนมานั้นได้ให้ทางวัดเป็นผู้กำหนดว่าจะต้องการให้ทาง อบจ. สนับสนุนสิงใดให้ทำเป็นแผนขึ้นมา และจะมีการตั้งกรรมในการพิจารณาสนับสนุนหากไม่ผิดหลักเกณฑ์ทางอบจ. ก็จะทำเรื่องรายงานถึงทางจังหวัดเพื่อให้ทำหนังสือเป็นข้อสั่งการทางอบจ. ถึงจะดำเนินการสนับสนุนได้โดยจ่ายให้เป็นเช็ค กับทางวัดและเป็นผู้ดำเนินการเองโดยทั้งหมดต้องใช้ระยะเวลากอบการดำเนินการประมาณ 3 ปี

ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นางนันทิดา แก้วบัวสาย อดีตภรรยา นายชนม์สวัสดิ์ พร้อมบุตรสาว รวมถึงนักการเมืองท้องถิ่นและชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เดินทางมาเยี่ยมและให้กำลังใจนายชนม์สวัสดิ์ โดยเจ้าหน้าที่ได้จัดคิวให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละไม่เกิน 3 คน โดยพูดคุยผ่านโทรศัพท์และเครื่องกีดขวางโดยไม่มีอภิสิทธิ์แต่อย่างใด


ตำรวจ.ภ.4 หนี้บาน! 600 นาย ถูกฟ้องล้มละลาย มี พ.ต.อ.ด้วย

ผบช.ภ.4 เร่งช่วยเหลือตำรวจในสังกัดกว่า 600 นาย ที่ถูกธนาคารเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เผยมี พ.ต.อ.อยู่ด้วย หากคดีถึงที่สุดแล้วจะต้องถูกปลดออกจากราชการ จึงต้องเร่งเจรจาขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือไม่ก็หาเงินไปโปะเท่านั้น...

จากปัญหาหนี้สิน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัด บช.ภ.4 ที่นำมาซึ่งความเครียดและการฆ่าตัวตายในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้หากถูกฟ้องล้มละลายจนคดีถึงที่สุดแล้ว ยังต้องถูกปลดออกจากราชการตามระเบียบด้วย

ทั้งนี้ มีเจ้าหน้าที่ในส่วนของ บก.ภ.อุดรธานี ถูกปลดจากกรณีนี้ไปแล้ว 4 นาย จ่อคิวถูกปลดอีกประมาณ 100 นาย และอีก 600 นายกำลังถูกฟ้องล้มละลาย จน ผบช.ภ.4 ต้องเรียกประชุมเพื่อแก้ปัญหา โดยเชิญตัวแทนของธนาคารเจ้าหนี้ และผู้ฟ้องคดีมาร่วมในการแก้ปัญหา

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 7 ส.ค.58 ที่สำนักงานผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จ.ขอนแก่น พล.ต.ท.บุญเลิศ ใจประดิษฐ ผบช.ภ.4 ได้กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาหนี้สินตำรวจในสังกัด 12 จังหวัด หลังมีตำรวจในสังกัด 5 นาย สังกัด ภ.จว.อุดรธานี ถูกฟ้องร้องล้มละลายและโดนคำสั่งให้ออกจากราชการ ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 กว่า 2,500 รายขาดส่งหนี้และมีอีก 600 นายในจำนวนนี้มีข้าราชการตำรวจระดับ พ.ต.อ.รวมอยู่ด้วย กำลังถูกฟ้องร้องในคดีล้มละลาย

ผบช.ภ.4 กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีตำรวจในสังกัดตำรวจภูธรภาค 4 เป็นหนี้กับธนาคารออมสินอยู่ 13,000 ราย มีวงเงินหนี้อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท เป็นกลุ่มตำรวจที่มีปัญหาเริ่มขาดส่งหนี้จำนวน 2,500 ราย มีวงเงินหนี้กว่า 2,000 ล้านบาท และมีตำรวจกำลังถูกฟ้องร้องล้มละลายอีกกว่า 600 ราย โดยตำรวจที่เป็นหนี้ส่วนมากจะเป็นตำรวจยศชั้นประทวน

จากปัญหาดังกล่าว จริงๆ แล้วตำรวจภูธรภาค 4 มีโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจ ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมกราคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งโครงการนี้ทางตำรวจได้เชิญตัวแทนจากธนาคารออมสิน ในฐานะเจ้าหนี้มาร่วมพูดคุย หาทางออก เพื่อช่วยกันในการแก้ไขปัญหาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นหนี้สิน

เบื้องต้น ได้ช่วยกันแก้ปัญหาตำรวจที่เป็นหนี้ไปได้แล้ว 1,100 ราย วงเงิน 900 ล้านบาท และอยู่ระหว่างการเจรจา 1,200 ราย วงเงิน 1,000 ล้านบาท แต่มีกลุ่มตำรวจอีกกว่า 600 รายเป็นหนี้ และกำลังถูกฟ้องในคดีล้มละลาย ซึ่งตำรวจกลุ่มนี้จำเป็นต้องเอาเงินไปปิดหนี้เท่านั้นถึงจะล้างหนี้ทั้งหมดได้ ตอนนี้ได้สั่งการให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรในสังกัดทั้ง 12 จังหวัด เข้าเจรจากับธนาคารเจ้าหนี้ เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ ให้กับตำรวจที่มีปัญหาทั้ง 600 นาย ซึ่งเป็นหนทางที่จะช่วยเหลือได้ในขณะ

หมอชนบทกัดไม่ปล่อย จี้ สอบวินัย’ ปลัดณรงค์′

วันที่ 7 สิงหาคม นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมแพ จ.ขอนแก่น ในฐานะ ประธานชมรมแพทย์ชนบท และ นพ.อารักษ์ วงศ์วรชาติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิชล จ.นครศรีธรรมราช และกรรมการชมรมแพทย์ชนบท เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เพื่อทวงถามกรณีคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดสธ. ที่รัฐมนตรีว่าการสธ.แต่งตั้งขึ้นตามข้อร้องเรียนชมรมแพทย์ชนบทถึงการปฏิบัติราชการส่อผิดวินัย โดย นพ.เกรียงศักดิ์ ยื่นหนังสือเพื่อทวงถามให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เหตุเพราะผลสอบเบื้องต้นมีมูล โดยมี นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขานุการรัฐมนตรี สธ. รับหนังสือแทน

นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2558 ชมรมฯได้ยื่นข้อมูลและหลักฐานต่อ นพ.รัชตะ เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง นพ.ณรงค์ กรณีปฏิบัติราชการส่อผิดวินัย ซึ่งนพ.รัชตะ ได้ตั้งคณะกรรมการฯขึ้นเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม

ผลการสอบเบื้องต้นพบว่ามีมูลข้อเท็จจริงตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม แต่ปรากฏว่าเมื่อผลสอบมีมูล กลับไม่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ทั้งๆที่ผลสอบชัดเจนว่ามีความผิดหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นกรณี นพ.ณรงค์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสุขภาพจิต ได้มีการเบิกค่ารถและยังขอใช้รถราชการ ซึ่งเป็นการกระทำซ้ำซ้อน ไม่เหมาะสม

ล่าสุด ทราบว่ามีความพยายามในการข่มขู่พยาน และมีการทำลายหลักฐานบางส่วนแสดงว่ามีมูลความจริง ดังนั้น รัฐมนตรีฯต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เพราะหากไม่ดำเนินการรัฐมนตรีจะเข้าข่ายละเว้น ซึ่งมีความผิดทั้งด้านวินัยและอาญา

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆอีก ทั้งกรณี นพ.ณรงค์ กล่าวถึงการบริหารจัดการของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) เกี่ยวกับการบริหารทางการเงิน แต่ปรากฏว่าเมื่อไปสืบข้อมูลและหลักฐานที่พบจะทราบว่า มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลข โดยพบว่ามีการจัดสรรเงินเพิ่มให้แก่โรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่เป็นผู้ใกล้ชิดปลัด สธ. ทั้งโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาจำนวนเงินถึง 45 ล้านบาท โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าฯ อีกกว่า 60 ล้านบาท

ทั้งยังมีเรื่องการจัดทิปอีกเกือบ 20 คนเดินทางไปปีนัง แม้จะมีการสอบถามก็ให้คำตอบว่าเดินทางไปแค่ จ.ยะลา ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงมีการเดินทางไปท่องเที่ยวปีนังด้วย ที่สำคัญยังพบการเดินทางไปต่างประเทศ ที่ออกนอกเส้นทางไปฮ่องกง เพื่อขอตำแหน่ง ตรงนี้แม้คณะกรรมการฯไม่รับตรวจสอบ แต่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบอีกทางแล้ว

“หลังจากยื่นหนังสือให้รัฐมนตรีฯ เพื่อทวงถามความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว ทางชมรมฯ ยังเดินทางไปยื่นเอกสาร หลักฐานเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช. อีก ซึ่งการเดินหน้าดังกล่าว ไม่ได้ต้องการสร้างความแตกแยกให้สาธารณสุข แต่เป็นเรื่องของความโปร่งใสที่ต้องดำเนินการเพื่อความถูกต้อง” นพ.เกรียงศักดิ์ กล่าวและว่า สิ่งสำคัญรัฐมนตรีฯ ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เพราะคือสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นลำดับขั้นตอนที่ต้องทำ ส่วนระยะเวลาในการสอบสวนนั้นไม่ได้จำกัด เพราะหากเกษียณไปแล้ว และมีผลว่าผิดวินัยร้ายแรงจริงก็สามารถเอาผิดย้อนหลังได้ สำหรับการยื่นเรื่องให้ตรวจสอบ นพ.ณรงค์ นั้น นอกจากร้องรัฐมนตรีฯ และป.ป.ช. แล้ว ในสัปดาห์หน้าจะเริ่มส่งหนังสือไปยังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ต่อไป

นพ.อารักษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้อยากให้แยกคนละส่วนระหว่างการสร้างความปรองดองในกระทรวงฯ กับเรื่องการตรวจสอบนพ.ณรงค์ เพราะเรื่องนี้เป็นธรรมาภิบาล และนพ.ณรงค์ ชูเรื่องดังกล่าวมาตลอด ที่สำคัญไม่เพียงแต่ นพ.ณรงค์เท่านั้น กรณีการสืบข้อเท็จจริงครั้งนี้ ยังมี นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองปลัด สธ.ที่พ่วงเรื่องการใช้รถราชการเช่นกัน ติดตรงว่า ขณะนี้ปลัด สธ. มาดำรงตำแหน่งเต็มตัวแล้ว จะกล้าตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริง นพ.วชิระ ด้วยหรือไม่ เพราะคนที่จะตั้งสอบได้ ต้องอาศัยอำนาจปลัด สธ. ใช้อำนาจรัฐมนตรีฯไม่ได้ เพราะไม่ได้ขึ้นตรง ดังนั้น ทางชมรมฯจะติดตามอีก 2-3 สัปดาห์นับจากนี้ว่าปลัด สธ.จะทำอย่างไรต่อไป