4 กันยายน 2567 หลังจากที่กลายเป็นไวรัลทั่วโลกสำหรับ 'ยูซุฟ ดิเคช' (Yusuf Dikec)นักแม่นปืนหนุ่มใหญ่วัย 51 ปีของทีมชาติตุรกี ลงทำการแข่งขันโดยไม่ใช้อุปกรณ์พิเศษเหมือนกับนักกีฬายิงปืนคนอื่น พร้อมมาดเท่ด้วยการเอามือล้วงกระเป๋า ก่อนจะสามารถคว้าเหรียญเงิน ในการแข่งขันปืนอัดลม 10 เมตรประเภททีมผสมไปครองได้สำเร็จ
ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'เออร์ดินช์ บิลกิลี' โค้ชของ 'ยูซุฟ ดิเคค' ได้เปิดเผยกับทางสำนักข่าวเอเอฟพีว่า 'ยูซุฟ ดิเคช'นั้นได้ยื่นขอจดเครื่องหมายการค้า'ท่ายิงปืน'เอามือล้วงกระเป๋าของเขาในการแข่งขันโอลิมปิก 2024 เพื่อสงวนสิทธิ์ไม่ให้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หลังจากที่บุคคลจำนวนมากจากทั่วโลกพยายามจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าท่ายืนนี้ โดยไม่ได้รับคำอนุญาตจากทาง'ยูซุฟ ดิเคช'
โดยทางสำนักข่าวตุรกี รายงานอีกว่า ท่ายิงปืนของ'ยูซุฟ ดิเคค'ถูกนำมาใช้ในของที่ระลึกที่วางจำหน่ายมากมาย ทั้งแก้วน้ำ เสื้อยืด โดยทาง'ยูซุฟ ดิเคช'กล่าวถึงท่ายืนยิงปืนที่กลายเป็นไวรัลเพียงว่า "ผมทำเพียงเพื่อให้ร่างกายของผมมั่นคงขึ้นและทรงตัวได้ดีขึ้นเท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านี้"
วันที่ 4 ก.ย.67 ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า คณะกรรมการบริหารพรรค พปชร.ในฝั่งของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค จำนวน 6 คน ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า นายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร นายอรรถกร ศิริลัทยากร สส.ฉะเชิงเทรา นางบุญยิ่ง นิติกาญจนา สส.ราชบุรี นายบุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ และนายสัมพันธ์ มะยูโซ๊ะ สส.นราธิวาส ได้ยื่นใบลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารพรรคแล้ว ก่อนจะมีการประชุมใหญ่สามัญ พรรคพลังประชารัฐ ในวันที่ 6 ก.ย. โดยในวันประชุมดังกล่าวมีวาระแต่งตั้งกรรมการบริหารพรรคเพิ่มเติม ซึ่งมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ จะเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่จะเปลี่ยนในส่วนของเลขาธิการพรรค ซึ่งมีชื่อนายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค มาเป็นเลขาธิการพรรคแทน ร.อ.ธรรมนัส
ทั้งนี้ ปัจจุบันกรรมการบริหารพรรคมีทั้งหมด 19 คน เป็นฝั่ง พล.อ.ประวิตร 13 คน และฝั่ง ร.อ.ธรรมนัส 6 คน
วันที่ 4 กันยายน 2567 ความคืบหน้าเกิดเหตุระทึกกลางกรุง กรณีชายมีลักษณะอาการคลั่งขาดสติ ขับรถ 6 ล้อ วนรอบย่านถนนพระราม 4 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามเข้าไปสกัดกั้นด้วยการขึ้นไปบนรถบรรทุกคันดังกล่าวและทุบกระจกรถ เพื่อหยุดยั้ง แต่คนขับได้ใช้อาวุธมีดฟัน ทำให้ตำรวจต้องล่าถอย ก่อนที่ตำรวจะระดมยิงยางรถ เพื่อสกัดกั้น แต่ชายคนดังกล่าวก็ยังพยายามขับหนี จนเฉี่ยวชนกับรถยนต์ของประชาชนที่จอดติดไฟแดงได้รับความเสียหายหลายคัน โดยมุ่งหน้าหลบหนีไปทางบางพลี
ต่อมา ตำรวจล็อคตัวได้แล้ว เหตุชายคลั่งขับรถบรรทุกพยายามหลบหนี จนท.ตร.จากย่านพระราม 4 ตั้งแต่ 14.00 น. (4 ก.ย.67) ตร.ไล่ล่า สกัดได้ที่บางพลี สมุทรปราการ คนขับกระโดดลงคลองพยายามหลบหนี และทำร้ายตัวเอง ตอนนี้ ตร.คุมตัวได้แล้ว นำส่ง รพ.ใกล้เคียง
ล่าสุดมีรายงานว่า ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้เสียชีวิตแล้ว ที่รพ.กล้วยน้ำไท นอกจากนี้ยังพบหญิงอีกราย อาการสาหัสรักษาตัวอยู่ที่ รพ.
วันที่ 4 กันยายน 2567 ผศ.ดร.ทีปกร จิร์ฐิติกุลชัย อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขียนบทความ “จากแจกเงินดิจิทัล สู่การลงทุนเพื่ออนาคต” เผยแพร่ มีเนื้อหาดังนี้
เหตุผลหลักที่นักเศรษฐศาสตร์ลงรายชื่อเพื่อคัดค้านนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท มีดังนี้
1.เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัว ไม่จำเป็นต้องกระตุ้นด้วยการแจกเงิน เนื่องจากโดยภาพรวมกำลังขยายตัว ไม่ได้กำลังติดลบเหมือนสมัยโควิด
2.ควรเน้นการลงทุนระยะยาว: ควรนำงบประมาณไปใช้ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล จะเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว
3.งบประมาณจำกัด: เงินงบประมาณมีจำนวนจำกัด ควรใช้จ่ายอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ
4.ผลกระทบจากการแจกเงินน้อย: การแจกเงิน 560,000 ล้านบาท อาจไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากนัก เนื่องจากตัวทวีคูณทางการคลังต่ำ หมายความว่าเงินที่แจกไปจะไม่หมุนเวียนในระบบมากนัก
5.ภาระหนี้สาธารณะ: การแจกเงินจำนวนมากจะเพิ่มภาระหนี้สาธารณะ และอาจทำให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นในอนาคต
6.ขาดพื้นที่ว่างทางการคลัง: ควรมีเงินสำรองไว้เผื่อรับมือกับวิกฤตในอนาคต และรองรับสังคมสูงวัย
7.เทคโนโลยี blockchain ไม่เหมาะสม: เทคโนโลยี blockchain ยังไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้ในการทำธุรกรรมทางการเงินในปัจจุบัน เนื่องจากมีความเร็วในการประมวลผลที่ช้า
ขณะนี้แถลงการณ์ดังกล่าวมีอายุเกือบจะครบ 1 ปีแล้ว หมายความว่า ประเทศไทยเสียเวลาไปกับความพยายามทำนโยบายที่ไม่สมเหตุผลในทางเศรษฐศาสตร์ เป็นต้นทุนค่าเสียโอกาสของประเทศที่ผู้บริหารระดับสูงสุด และ หน่วยงานเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง สามารถใช้เวลาและทรัพยากรมนุษย์ไปทำงานอันสามารถเป็นประโยชน์กับประเทศในระยะยาว
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ระหว่างวันที่ 3-5 กันยายน 2567 มีการอภิปรายโครงการนี้ ซึ่งทุกท่านน่าจะเห็นตรงกันว่า จนป่านนี้แล้ว เราแล้วยังไม่เห็นรูปธรรมชัดเจนว่า จะทำอย่างไรกันแน่สำหรับทั้งโครงการ นอกจากนี้ มีหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องยืนยันว่า หากมีการเปลี่ยนชื่อโครงการก็สามารถใช้งบประมาณได้ เนื่องจากยังอยู่ในวัตถุประสงค์กระตุ้นเศรษฐกิจ และระบุมีโอกาสจะดำเนินการแจกให้ “กลุ่มเปราะบาง” ภายในเดือนกันยายนนี้
อย่างไรก็ตาม ตามหลักวิชาการเรื่องความคุ้มครองทางสังคมของวิชาเศรษฐศาสตร์สาธารณะ เป็นที่ทราบกันดีว่า ความพยายามที่จะให้สวัสดิการกำหนดเป้าหมายคนจน (poverty targeting) จะมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นแน่นอน ทั้งคนจนไม่ได้รับสิทธิ์ หรือ คนรวยได้รับสิทธิ์ อีกทั้ง ต้นทุนสูงและอาจจะไม่คุ้มกับความพยายามทำ poverty targetingดังนั้น จึงขอเสนอให้พิจารณาว่า เพื่อให้ดำเนินการได้รวดเร็วและโปร่งใส ให้แจกเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กอายุ 0-5 ขวบ และผู้สูงอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งมีจำนวนรวมกัน 8.5 ล้านคน จะใช้งบประมาณ 85,000 ล้านบาท โดยครัวเรือนร่ำรวยก็ให้สามารถมีสิทธิ์ได้ประโยชน์จากสวัสดิการถ้วนหน้าสำหรับกลุ่มอายุนี้ด้วย เพราะได้เป็นกำลังสำคัญร่วมจ่ายภาษี
งบปี 2568 ที่เตรียมไว้รองรับโครงการ 187,700 ล้านบาท ก็จะเหลือเงินประมาณ 100,000 ล้านบาท เอามาลงทุนพัฒนาทักษะแรงงาน ยกระดับ SMEs และ ใช้ลงทุนวิจัยพัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ น่าจะเป็นประโยชน์ในระยาวมากกว่า เหมือนเอาเงินที่มีอยู่อย่างจำกัดไปซื้อเบ็ดมาแจกให้หาปลาต่อไป แทนที่ไปซื้อปลามาแจกให้บริโภคครั้งเดียว
ก่อนหน้าการแข่งขันที่ฝรั่งเศสจะเริ่มขึ้น นักกีฬาไทยได้เหรียญไปทั้งสิ้น 87 เหรียญ แบ่งเป็น 24 เหรียญทอง 29 เหรียญเงิน แล 34 เหรียญทองแดง มาในครั้งนี้ไปแล้ว 4 เหรียญทอง 4 เหรียญเงิน กับ 6 เหรียญทองแดง รวม 101 เหรียญรางวัล โดยเหรียญที่ 100 ได้จาก “มงคล บุญสุน” นักกีฬาแบดมินตัน ชายเดี่ยว (SL3) คว้าเหรียญทองแดงได้สำเร็จ
ทัพไทย ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 16 ของตารางเหรียญ และเป็นอันดับที่ 4 ของทวีปเอเชีย โดย 4 เหรียญทอง มาจาก วีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T53 พงศกร แปยอ, บอคเซีย บุคคล BC2 "เจมส์" วรวุฒิ แสงอำภา, วีลแชร์เรซซิงชาย 100 เมตร คลาส T34, "บีม" ชัยวัฒน์ รัตนะ, ฟันดาบ เซเบอร์ คลาส B หญิง สายสุนีย์ จ๊ะนะ
4 เหรียญเงิน จาก เทเบิลเทนนิส คู่ผสม คลาส XD7 ยุทธจักร กลิ่นบานชื่น-วิจิตรา ใจอ่อน, เทเบิลเทนนิส ชายคู่ คลาส MD14 รุ่งโรจน์ ไทยนิยม-พิสิษฐ์ หวังผลพัฒนศิริ, วีลแชร์เรซซิ่ง 400 เมตรชาย คลาส T54 อธิวัฒน์ แพงเหนือ, แบดมินตันหญิงเดี่ยว คลาส WH1 "ปุ๊" สุจิรัตน์ ปุกคำ
6 เหรียญทองแดง จาก เทควันโด 47 กก.หญิง คลาส K44 ขวัญสุดา พวงกิจจา, เทเบิลเทนนิส หญิงคู่ คลาส WD5 ดารารัตน์ อาสายุทธ์-ชิลชิตพยัค บุตรวรรณสิริณา, เทเบิลเทนนิส ชายคู่ คลาส MD8 วันชัย ชัยวุฒิ-ยุทธจักร กลิ่นบานชื่น, แบดมินตัน หญิงคู่ WH1-WH2 สุจิรัตน์ ปุกคำ-อำนวย เวชวิฐาน, บอคเซีย บุคคล BC2 วัชรพล วงษา, แบดมินตัน ชายเดี่ยว SL3 "วี" มงคล บุญสุน
สำหรับเกณฑ์เงินรางวัลนักกีฬาจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ เหรียญทอง 7.2 ล้านบาท, เหรียญเงิน 4.8 ล้านบาท และเหรียญทองแดง 3 ล้านบาท
ทั้งนี้ แฟนกีฬาชาวไทย ที่อยากให้กำลังใจนักกีฬาผ่านทางช่องทางออนไลน์ สามารถติดแฮทแทช #TEAMPARATHAI
4 กันยายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า 'คิม จองอึน' สั่งประหารชีวิตเจ้าหน้าที่ 30 ราย ในข้อหาไม่สามารถป้องกันเหตุน้ำท่วมและดินถล่มครั้งใหญ่ โดยเครือข่ายสื่อโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของเกาหลีเหนือในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมกว่า 20-30 คน ถูกตั้งข้อหาการทุจริตและละเลยการปฏิบัติหน้าที่ จึงลงโทษขั้นเด็ดขาดด้วยการประหารชีวิต
ต่อมาสำนักข่าวกลางเกาหลีเหนือ (KCNA) รายงานว่า 'คิม จองอึน' ลงโทษเจ้าหน้าที่ขั้นเด็ดขาดหลังจากเกิดอุทกภัยร้ายแรงในจังหวัดชากัง ทางเหนือของประเทศติดกับพรมแดนจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 4,000 ราย และทำให้ประชาชนกว่า 15,000 คนไร้ที่อยู่อาศัย
เบื้องต้นไม่ได้เปิดเผยรายชื่อของเจ้าหน้าที่ที่ถูกประหารชีวิตจากหน่วยงาน แต่ระบุว่า 'คัง บงฮุน' เลขาธิการคณะกรรมการพรรคจังหวัดชากัง ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2019 เป็นหนึ่งในผู้นำที่ถูก'ผู้นำคิม'ไล่ออกในการประชุมฉุกเฉินระหว่างภัยพิบัติน้ำท่วม
4 กันยายน 2567 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สถานีโทรทัศน์ดังของจีนอย่าง 'CCTV' ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลจีนได้เปิดโปงวงการอุตสาหกรรมอาหารเกี่ยวกับผู้ประกอบการฟาร์มซูเปอร์ฟู้ดอย่าง'เก๋ากี้' หรือที่เรียกอีกชื่อว่า'โกจิเบอร์รี่' ที่ใช้วิธีรมยาและพ่นสารเคมีอันตรายเพื่อรักษาความสวยงามของผลผลิต
ทีมข่าวของสถานีโทรทัศน์ดังได้เข้าไปสัมภาษณ์กับคนงานในไร่และผู้จำหน่ายที่อยู่ในพื้นที่ 14 เมืองในเขตจิงหยวน มณฑลกานซู่ รวมถึงฟาร์มเก๋ากี้อีกหลายแห่งในเมืองโกลมุด มณฑลชิงไห่ โดยคนงานจากฟาร์มทั้งหมดพูดเหมือนกันว่า ทางฟาร์มจะนำ'เก๋ากี้'ไปแช่ไว้ในสารเมตาไบซัลไฟต์ จากนั้นก็จะพ่นด้วยกรดกำมะถัน เพื่อให้ผลผลิตคงสภาพสดใหม่และมีสีแดงสวย เก็บไว้ได้นาน ไม่มีแมลงรบกวน แต่ก็จะมีสารพิษตกค้างที่สูงมาก
โดยจะเห็นว่าคนงานฟาร์มนำผล'เก๋ากี้'ไปแช่สารเคมีอันตรายในถังขนาดใหญ่ สารเมตาไบซัลไฟต์นี้บางครั้งก็สามารถใช้เป็นสารกันบูดในอาหารบางประเภท แต่ห้ามใช้กับผลผลิตจากท้องถิ่นอย่างผล'เก๋ากี้' นอกจากนี้ ยังมีภาพของกระบวนการรมสารเคมีกับผล'เก๋ากี้'จำนวนมากที่ถูกนำมาตากแห้งไว้ในพื้นที่ของฟาร์ม
ผู้ค้าและคนงานในฟาร์ม'เก๋ากี้'หลายคนรู้ดีว่าการรับประทาน'เก๋ากี้'ที่ปนเปื้อนสารเคมีต้องห้ามเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ก็บอกด้วยว่าวิธีการใช้สารเคมีเพื่อรักษาสภาพผลผลิตเช่นนี้คือสิ่งที่ทำกันโดยทั่วไป
โดยบอกอีกว่า 'เก๋ากี้' ที่รมกำมะถันจะขายได้ 17-18 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทย 80-85 บาท ต่อ 600 กรัม แต่ถ้าไม่รมกำมะถันจะขายได้จินละ 9-10 หยวน หรือคิดเป็นเงินไทน 43-48 บาท เท่านั้น ทีมข่าวจึงนำ'เก๋ากี้'ไปตรวจสอบก็พบว่า ผลผลิตทั้งหมดมีสารเคมีปนเปื้อนในปริมาณที่ไม่ปลอดภัยต่อการรับประทาน
หลังจากที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปเพียงวันเดียวสำนักงานกรรมการควบคุมความปลอดภัยอาหารของจิงหยวนก็ประกาศว่าจะเปิดการสอบสวนทั้งกลุ่มผู้ผลิตและผู้ค้า'เก๋ากี้'ในพื้นที่ และจะมีบทลงโทษอย่างหนัก หากพบผู้ประกอบการที่ละเมิดระเบียบและกฎหมาย
© 2011 - 2026 Thai LA Newspaper 1100 North Main St, Los Angeles, CA 90012