ข่าว
เจ้าของรถ'เอสยูวี'เกาหลีใต้เต้น! กม.ฉุกเฉินให้รัฐยึดใช้ในสงคราม

เจ้าของรถยนต์ "เอสยูวี" ชาวเกาหลีใต้หวั่นวิตก หากเกิดศึกสงคราม รัฐบาลหรือกองทัพสามารถเรียกเอายานพาหนะไปใช้เพื่อการศึกได้ และถ้าฝ่าฝืนจะถูกปรับ 20 ล้านวอน หรือจำคุก 7 ปี...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อ 5 เม.ย. ว่า เจ้าของรถยนต์ตระกูล "เอสยูวี" ชาวเกาหลีใต้ พากันวิตกกังวลและร้อนรนใจเป็นอย่างยิ่ง หากบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงคราม เนื่องจากกฎหมายจัดการทรัพยากรฉุกเฉิน ระบุไว้ว่ายานพาหนะอเนกประสงค์รุ่นดังกล่าว จะตกเป็นสมบัติของชาติ ซึ่งรัฐบาลหรือกองทัพสามารถเรียกใช้เพื่อการศึกได้โดยทันที

ทั้งนี้ ระบบคอมพิวเตอร์จะทำการสุ่มเลือกรถยนต์ ซึ่งรถเอสยูวีและโมเดลรุ่นใหม่ๆ มีโอกาสถูกเลือกมากที่สุด ส่วนพื้นที่ที่เข้าข่ายโดนสุ่มสูงนั้น คือจังหวัดคยองกิและคังวอน เนื่องจากอยู่ใกล้พรมแดนเกาหลีเหนือ และหากเจ้าของรถเอสยูวี อิดออดไม่ยอมปฏิบัติตามจะต้องถูกปรับเป็นเงินมากถึง 20 ล้านวอน หรือจำคุกเป็นเวลา 7 ปี

โดยหนึ่งในเจ้าของรถยนต์เอสยูวี เผยกับสำนักข่าวโคเรียนไทมส์ ว่า "คนขายรถไม่เคยบอกเรื่องนี้กับผมเลย ว่ารัฐบาลสามารถเรียกใช้รถยนต์โดยจำกัดเฉพาะรุ่นได้ ผมคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเท่าใดนัก ซึ่งหากสงครามปะทุ ผมอยากขับรถพาครอบครัวหนีไปให้ไกลมากกว่า".

ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ ยกคำร้อง กรณีนายกฯ ปล่อยเงินกู้ให้คู่สมรส

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายปานเทพ กล้ารงราญ เป็นประธานการประชุมกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ โดยมีรายงานข่าวว่า ในที่ประชุมวันนี้มีวาระพิจารณาหลายเรื่อง

แต่เป็นที่จับตากรณีที่เจ้าหน้าที่ป.ป.ช.สรุปเรื่องเพื่อรายงานต่อที่ประชุมกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้แสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน จากการปล่อยกู้จำนวน 30 ล้านบาท ให้แก่บริษัท แอ็ค อินเด็กซ์ จำกัด ซึ่งมีนายอนุสรณ์ อมรฉัตร คู่สมรส ถือหุ้นอยู่

โดยในช่วงแรก มีการวิเคราะห์กันว่า แนวทางการพิจารณาของที่ประชุมป.ป.ช.มีความเป็นไปได้ 3 แนวทาง คือ สั่งให้สอบสวนเพิ่มเติม หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอให้ยกคำร้อง ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องดังกล่าวต่อไป

ทั้งนี้ พอถึงเวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ ยกคำร้องคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถูกร้องว่าปล่อยเงินกู้ 30 ล้านบาท ให้กับบริษัทของคู่สมรส โดยระบุว่า ไม่เข้าข่ายการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และพบว่ามีหลักฐานการชำระดอกเบี้ยเงินกู้จริง

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังทราบผลการพิจารณาของป.ป.ช. ว่า รู้สึกโล่งใจที่ผลการตัดสินออกมาเช่นนี้ แต่ยังมีความกังวลอยู่บ้าง เพราะยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจาก ป.ป.ช. ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาต่อ แต่คำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไร ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายตรวจสอบ ซึ่งจะขอปรึกษาฝ่ายกฎหมาย และนำเอาสำนวนมาพิจารณาถึงเหตุผลที่ ป.ป.ช. ยังรับคดีไว้ต่อ

พร้อมกันนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวยืนยันด้วยว่า ได้ยื่นเอกสารตามข้อเท็จจริง มั่นใจว่า ผลการพิจารณาที่ออกมานั้น จะไม่กระทบกับการทำงานอย่างแน่นอน

วันเดียวกัน นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกและกรรมการ ป.ป.ช. แถลงว่า จากกรณีที่มีการกล่าวหาร้องเรียนและส่งเรื่องมาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และจากการยื่นคำร้องของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย ซึ่งรวม 2 สำนวนแล้วเป็นการกล่าวหากรณีโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 แห่ง และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติไปก่อนหน้านี้ให้รวมทั้ง 2 กรณีเข้าด้วยกัน และนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่

ดังนั้น ในวันดียวกันนี้ คณะกรรมการป.ป.ช. มีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลบริหารสั่งงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงษ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. และพล.ต.ท.สุพร พันธุ์เสือ ผู้บัญชาการสำนักงานส่งกำลังบำรุง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมอบให้นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน

นายกล้านรงค์กล่าวอีกว่า เมื่อตั้งนายวิชา เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนแล้ว จะมีแนวทางพิจารณาไต่สวนอย่างไรก็ต้องให้นายวิชา เป็นผู้ให้รายละเอียด อีกทั้งมีการตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาตรวจสอบด้วยเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิหลายคน เช่น เลขาธิการ ป.ป.ช. โดยให้พิจารณาจากคำร้อง 2 เรื่อง คือคำร้องจากดีเอสไอ กรณีกล่าวหานายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ กรณีเรื่องฮั้วประมูล ส่วนกรณีคำร้องของนายชูวิทย์ ที่ยื่นร้องให้ติดตามการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามสัญญาก่อสร้าง ดังนั้น จึงนำ 2 เรื่องดังกล่าวมารวมกันและให้คณะอนุกรรมการพิจารณาไต่สวน


สิงห์ทุ่มเงิน 30 ล้านบาท ให้JSLถ่ายทอดชีวิตคนไทย

เบียร์สิงห์ ทุ่ม 30 ล้าน ให้บริษัทในเครือ JSL บุกอเมริกา จากรายการดัง 5 รายการ ได้แก่ รายการเจาะใจ คนค้นฅน, จันทร์พันดาว, Chris Delivery, Prawn Around The World รวมทั้งหมดเกือบ 50 ชีวิต บินมาถ่ายทำวิธีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในอเมริกา

ในวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมารายการ "เจาะใจ" ได้บินมาสำรวจและทำการถ่ายทำล่วงหน้า พิธีกรทั้ง 3 ท่านมีความสนใจที่จะค้นหามุมมองที่ต่างๆ กันออกไป "ดู๋" สัญญา คุณากร สนใจผู้ประสบความสำเร็จในอเมริกา หนึ่งในผู้ที่ได้รับการสัมภาษณ์คือ "จรโค้ว" แห่งร้านอาหาร Banana Bay วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล สนใจในเรื่องของพัฒนาการ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่มาอยู่ที่นี่ ส่วน "โหน่ง" วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ ก็มองหาคนไทยในมิติอื่นๆ ส่วนทีมอื่นๆ ได้ไปบินตามมาสมทบในวันที่ 31 มีนาคม 2556 เพื่อมาทำรายการตามความสนใจของตัวเอง

รายการคนค้นฅน ได้ให้ความสนใจกับ สุรเชษฐ จริงจิตร ศิลปินวาดรูป และแกะสลักน้ำแข็งชื่อดังของเมืองไทยที่มาปักหลักปักฐานอยู่ที่ แอล.เอ. ตั้งแต่ปี 2004 และอีกหนึ่งคนคือ พัชรีวรรณ ชัยสมบูรณ์ แห่งสุสาน Hollywood Forever โดยทีมงานทั้งหมดจะเริ่มทยอยกันกลับประเทศไทยราววันที่ 13 เมษายน 2556

การที่เครือ JSL ได้มาถ่ายทำความเป็นอยู่ของคนแอล.เอ. จะทำให้คนไทยในประเทศไทยเข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของคนที่นี่ได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะเขามักจะมองว่าคนที่มาอยู่ที่นี่ค่อนข้างมีฐานะ มีการศึกษา มีความคิดความอ่านที่ดี จบมหาวิทยาลัย มีบ้านมีรถขับ แต่ไม่ค่อยจะนึกถึงอีกมุมหนึ่งที่บางคนมาทำงาน รายได้ไม่มากมายนัก และเงินที่ได้ก็ต้องส่งไปที่บ้านอีก การสะท้อนภาพลักษณะนี้ออกไป จะทำให้เกิดการตื่นตัวเพื่อให้คนไทยในต่างประเทศได้รับการดูแลที่ดีขึ้น

สิ่งที่ JSL สนใจมากที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือ งานไทยนิวเยียร์ สงกรานต์ เฟสติวัล ที่ทางชุมชนไทยจัดเป็นประจำทุกปี ซึ่งในปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้ว โดยทีมงานในเครือส่วนใหญ่จะเข้าร่วมงานในครั้งนี้ราวๆ เกือบ 40 คน โดยสปอนเซอร์ใหญ่ เบียร์สิงห์ นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี ประธานและซีอีโอของบริษัทบุญรอด เทรดดิ้งฯ นายรังสฤษดิ์ ลักษิตานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ก็จะมาร่วมในงานนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีนางลาวัลย์ กันชาติ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเจเอสแอล นายจำนรรค์ ศิริตัน ผู้ร่วมก่อตั้ง และนายปริพันธ์ หนุนภักดี รองประธานกรรมการผู้จัดการ รวมถึงพิธีกรรายการในเครือ อาทิเช่น Chis Delivery ประกอบด้วย น.ส.พุทธชาติ พงศ์สุชาติ, นายสมพล ปิยะพงศ์สิริ และนายคริสโตฟอร์ ไรท์, รายการพราว ประกอบด้วย นายอกนิษฐ์ วิเชียรเจริญ, นางจริยดี สเป็นเซอร์, รายการจันทร์พันดาว ประกอบด้วย นายศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ และน.ส.เอมิกา กลิ่นประทุม, รายการคนค้นฅน ประกอบด้วย นายภาคภูมิ ประทุมเจริญ, น.ส.ณัฐยา ศิริมโนรม ฯลฯ หลังจากทำการตัดต่อรายการเรียบร้อยแล้ว คงจะได้เห็นทางรายการโทรทัศน์ได้ราวเดือนพฤษภาคม

จับร.อ.เก๊เปิดโรงงานนรก กักขังทารุณคนงานต่างด้าว

(5 เม.ย.) พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ ที่ปรึกษา (สบ10) สั่งการให้ พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืช ผบก.ปคม. พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รองผบก.ปคม. พ.ต.ท.อัศวิน หวังสู้ศึก รองผกก.1 บก.ปคม. ประสานงานกับ พ.ต.ท.วิฑูรย์ นุชบุษบา สวป.สน.บางขุนเทียน นำหมายค้นศาลอาญาธนบุรี เลขที่ 93/2556 ลงวันที่ 5 เม.ย. เข้าตรวจค้นโรงงาน ที่.พี.เอ็น.อุตสาหกรรม เลขที่ 26/729 ซอยเอกชัย69/3 แขวงและเขตบางบอน หลังได้รับแจ้งจากพลเมืองดีสถานที่ดังกล่าวเป็นโรงงานนรกกักขังหน่วงเหนี่ยวและทำร้ายร่างกายคนงานต่างด้าว พบเป็นอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น 2 คูหา ทำประตูเหล็กสีฟ้าปิดมิดชิด มีป้ายติดด้านหน้าระบุชื่อ ร.อ.ธิติพัฒน์ และมีเครื่องหมายทหารติดทั่วบริเวณหน้าอาคาร ตรวจสอบภายในบริเวณชั้น 1 เป็นโรงงานปั๊มซีลตู้ปลา พบคนงานหญิงสาวชาวลาว 2 คน อายุ 15 ปี และ17 ปี หญิงสาวชาวพม่า อายุ 18 ปี อีก 1 คน กำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น เจ้าหน้าที่จึงสั่งให้หยุดทำงาน และขึ้นไปจับกุมนายธิติพัฒน์ หรือ ผู้กองเปิ้ล หรือ สารวัตรเปิ้ล นิธิเสถียร อายุ 41 ปี บนชั้นลอยที่เปิดเป็นออฟฟิศของโรงงาน

จากการตรวจค้นในห้องพบอาวุธปืนขนาด 11 มม.พร้อมกระสุน 7 นัด แม็กกาซีนปืน 3 อัน ปืนสั้นบีบีกันส์ 1 กระบอก เสื้อนายทหารติดยศร้อยเอก 3 ตัว และติดยศพันโทอีก 1 ตัว กุญแจมือ 2 อัน บัตรนายทหารปลอมระบุชื่อ ร.อ.ธิติพัฒน์ นิธิเสถียร หัวหน้าหน่วยรบพิเศษ จปร.ชุดที่2 จำนวน 3 ใบ เครื่องช๊อตไฟฟ้า 1 อัน ซองปืน2 อัน โซ่ 1 เส้น พร้อมรถยนต์เบนซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน อพส 643 กรุงเทพมหานคร รถยนต์วอลโว่ สีทอง ทะเบียน 3อ8321 กรุงเทพมหานคร รถจยย.ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ สีดำ ทะเบียน ณฉ 1920 กรุงเทพมหานคร ทั้ง 3 คันติดตราสัญลักษณ์ทบ.ไว้จำนวนมาก จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

บริเวณชั้นที่ 2 พบว่าเป็นห้องพัก 2 ห้อง และห้องครัว บริเวณชั้น 3 ใช้เป็นห้องพักคนงานทั้ง 3 ห้อง และเป็นที่ผลิตผ้าก๊อตพันแผล ส่วนบริเวณชั้น 4 เป็นห้องพักคนงานอีก 2 ห้อง และห้องผลิตและเก็บผ้าก๊อตอีก 1 ห้อง นอกจากนี้บริเวณผนังในห้องเก็บของยังพบรอยกระสุนปืนอีกหลายนัด และมีโซ่ที่ใช้สำหรับล่ามคนงานผูกติดอยู่กับจักรเย็บผ้าอีกด้วย

พ.ต.ท.อัศวิน เผยว่า สืบเนื่องจากทางปคม.ได้รับการประสานงานจากรายการโทรทัศน์ ว่ามีหญิงสาวหนีออกมาจากโรงงานดังกล่าว โดยเล่าให้ฟังว่าถูกเจ้าของบังคับให้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ถ้าใครไม่ทำงานและทำอะไรผิดก็จะถูกเฆี่ยนตีอย่างทารุน และถูกใส่กุญแจมือ เอาโซ่ล่ามติดไว้กับจักรเย็บผ้า และยังบังคับให้คนงานชายชาวพม่าข่มขืนคนงานหญิงชาวลาว เพื่อไม่ให้คิดหลบหนีอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีเพื่อนที่ถูกกักอยู่ด้านในอีก3คน เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าสังเกตการณ์มาระยะหนึ่ง กระทั่งขออำนาจศาลออกหมายค้นเพื่อเข้าตรวจสอบ และจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ดังกล่าว นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาพบว่า เมื่อกลางปี2555 นายธิติพัฒน์ ได้ก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงแขนตัวเองภายในบ้าน เนื่องจากภรรยาหนีออกไปจากบ้านหลายวัน ทำให้เกิดความเครียด แต่ก็ไม่ได้เป็นคดีความแต่อย่างใด

สอบสวนนายธิติพัฒน์ ให้การอ้างว่า เรียนจบแค่ม.3 ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนายทหาร แต่ที่บ้านเป็นคนเชื้อสายจีนต้องการให้ออกจากโรงเรียนมาค้าขาย ทำธุรกิจต่อจากครอบครัว จึงได้ไปซื้อเครื่องแบบทหาร และทำบัตรทหารปลอมมาเก็บไว้ ไม่ได้มีเจตนาเอาไปใช้แอบอ้าง ปืนก็ซื้อต่อจากเพื่อนมายังไม่ได้โอน ส่วนรอยกระสุนที่พบบนกำแพงห้องชั้น 4นั้น เกิดจากการซ้อมยิงปืน เนื่องจากไม่กล้ายิงขึ้นฟ้า เพราะกลัวจะเกิดอันตรายตกใส่ศีรษะคนอื่น และจะยิงในเวลากลางวันขณะที่คนละแวกบ้านไปทำงานกันหมด

"คนงานที่ถูกทำร้ายนั่นเป็นเพราะชอบขโมยเงินของภรรยาเป็นประจำ และทำงานผิดพลาดจนทำให้ธุรกิจเสียหาย ส่วนที่ต้องล่ามโซ่ข้อเท้าก็เพราะเกรงว่าคนงานจะคิดสั้นกระโดดตึกตาย อีกทั้งผมมักจะขู่ด้วยการซ้อมยิงปืนใส่กำแพงให้เห็นเป็นประจำเพื่อให้เกิดความกลัว ค่าแรงก็ให้วันละ 300บาท เท่าค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ได้เอาเปรียบคนงานแต่อย่างใด"นายธิติพัฒน์กล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาค้ามนุษย์โดยการกักขังหน่วงเหนี่ยว ให้ที่พักพิงคนต่างด้าว ครอบครองอาวุธปืนผิดมือไว้ในครอบครอง กระทำการเป็นเจ้าพนักงานโดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงาน ใช้ยศโดยไม่มีสิทธิ ปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม ก่อนจะนำตัวส่งปคม.ดำเนินคดีต่อไป