ข่าว
‘ยิ่งลักษณ์’ตัดพ้อทำงานหนัก ยังมีข่าวถูกปลด พูดผิดๆถูกๆ

ความเคลื่อนไหวทางด้านการเมืองของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างการเดินทางเยือนประเทศนิวซีแลนด์และปาปัวนิวกินีอย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-25 มี.ค.นี้ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าว ถึงกระแสข่าวว่าจะมีการวางตัวนายกรัฐมนตรีสำรอง โดยกล่าวเชิงตัดพ้อว่า “ขนาดทำงานมากขนาดนี้ยังมีข่าวจะเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีเลยหรือ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ ในเมื่อเรามาจากการเลือกตั้งจากประชาชนและมาจากเสียงข้างมากตามระบอบประชาธิปไตย”

ส่วนกรณีที่มักจะมีคนวิจารณ์ในลักษณะที่นายกรัฐมนตรีพูดผิดพูดถูกและบางครั้งพูดแล้วคนไม่เข้าใจ นั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ต้องทำใจยอมรับในเสียงวิจารณ์นั้น เราต้องมีการแยกกันระหว่างความคิดกับการบริหารจัดการ โดยขอให้ดูที่การทำงานดีกว่า เพราะบางคนทำงานเก่ง แต่อาจจะพูดไม่เก่ง หรือ บางคนพูดเก่ง แต่ทำงานไม่เป็น สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์นั้นเป็นอีกแบบหนึ่งที่จะต้องเป็นภาษาทางการแต่ถ้าต้องใช้คำพูดสวยหรู ก็จะไม่มีความเป็นธรรมชาติ

จึงอยากขอร้องว่าอย่าไปตีความตามตัวอักษร เพราะสิ่งที่พูดพยายามพูดออกมาจากหัวใจ เพราะเราเป็นคนทำงานและปฏิบัติอยู่ในเนื้องานจริงๆ และถึงแม้ว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์การทำงานอยู่มากแต่ก็ไม่รู้สึกท้อใจและจะนำข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นมาเป็นแรงผลักดันและแรงขับเพื่อเป็นการพิสูจน์การทำงานต่อไป

ยิ่งลักษณ์ "ชนจมูก" นายกฯนิวซีแลนด์

วันที่ 22 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนประเทศนิวซีแลนด์และปาปัวนิวกินี อย่างเป็นทางการระหว่างวันที่ 21-25 มีนาคม รายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของนิวซีแลนด์ที่เร็วกว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง นายกรัฐมนตรีได้ร่วมพิธีต้อนรับอย่างเป็นทางการ ณ ทำเนียบรัฐบาล เมืองโอ๊คแลนค์ โดยพิธีเป็นไปตามรูปแบบตามธรรมเนียมชาวเมารี ซึ่งมีการแสดงของนักรบชาวเมารี การกล่าวต้อนรับโดยผู้อาวุโสชาวเมารีและต้อนรับด้วยสัมผัสจมูกตามประเพณีเมารี ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศ จากนั้นนายกรัฐมนตรียังได้หารือทวิภาคีกับ นายจอห์น คีย์ นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ด้วย

ทั้งนี้ เมื่อชาวเมารีทักทายผู้อื่นด้วยการชนจมูก งตามธรรมเนียมถือว่า เป็นการแลกเปลี่ยนลมหายใจของชีวิต ซึ่งชาวเมารีเชื่อว่าลมหายใจดังกล่าวได้รับมาจากพระเจ้าโดยตรง ขณะเดียวกัน "การชนจมูก" ชองชนเมารี มีวัตถุประสงค์เดียวกับการจับมือกันในวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่ คือ การทักทายกัน และแสดงตัวว่ามาอย่างสงบปราศจากอาวุธ และจริงใจ

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี ได้ยืนยันถึงเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งของไทย รวมทั้งยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศ ยกระดับขีดความสามารถและการเติบโตของประเทศ โดยเฉพาะแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ โครงการบริหารจัดการระบบน้ำ และการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน ซึ่งโครงการเหล่านี้ จะเอื้อต่อการค้าและการลงทุนของนิวซีแลนด์ในประเทศไทย การขยายเครือข่ายการค้าและการลงทุนของไทยในนิวซีแลนด์อีกด้วย

เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าผู้นำทั้งสองประเทศต่างแสดงเจตนารมณ์ที่จะเร่งเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือด้านกลาโหมและความมั่นคงผ่านกลไก Thailand – New Zealand Bilateral Defence Talks อย่างสม่ำเสมอ และนิวซีแลนด์ยืนยันให้การสนับสนุนไทยผ่านโครงการ Mutual Assistance Programme ที่เริ่มในปี 2521 ต่อไป รวมทั้งเห็นพ้องขยายความร่วมมือผ่านข้อตกลงว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ การพัฒนาความร่วมมือของตำรวจระหว่างกัน และความร่วมมือด้านการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลโดยเฉพาะด้านนิติวิทยาศาสตร์ที่นิวซีแลนด์มีความเชี่ยวชาญ

นายสุรนันทน์กล่าวว่าความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า2 ประเทศ มีความสำเร็จในการส่งเสริมการค้าระหว่างกัน มั่นใจว่าภายใน 5 ปีนี้ มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นถึง 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยจะร่วมกันหาลู่ทางความร่วมมือใหม่ ๆ ด้วยการเปิดตลาดให้กับสินค้าให้หลากหลายยิ่งขึ้นด้วยการทบทวนมาตรการป้องกันพิเศษด้านเกษตรกรรม และการผ่อนปรนข้อกำหนดมาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ที่ทำให้สามารถเข้าถึงตลาดระหว่างกันได้มากขึ้น และจะร่วมสนับสนุนภาคเอกชนของทั้งสองประเทศในการแสวงหาลู่ทางเศรษฐกิจ และการขยายการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

ไฟป่าเผาศูนย์อพยพแม่สุรินสังเวยแล้ว32ศพ

วันนี้ (22 มี.ค.) นางนฤมล ปาลวัฒน์ ผวจ.แม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากนายชาญชัย ศรีเสถียร นอภ.ขุนยวม ว่าเกิดไฟป่าลุกลามจากยอดดอย เข้าพื้นที่ศูนย์พักพิงผู้หลบหนีภัยจาการสู้รบบ้านแม่สุริน ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม และลุกลามไหม้อาคาร รพ.ภายในศูนย์เสียหายทั้งหลัง นอกจากนี้ไฟป่ายังลุกลามไหม้บ้านพักภายในศูนย์แคมป์ 1 ถูกไฟไหม้ไปแล้วกว่า 100 หลังคาเรือน เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 32 ราย บาดเจ็บ 2 ราย ล่าสุดตนและและนอภ.ขุนยวม ได้ระดมเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ทหาร หน่วยดับเพลิงท้องถิ่น เดินทางเข้าพื้นที่ แต่เนื่องจากเส้นทางเข้าศูนย์อพยพคับแคบรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าไปได้ ทำให้ยากต่อการคุมคุมเพลิง

นางนฤมล กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุไฟไหม้ศูนย์อพยพดังกล่าว คาดว่าเกิดจากพื้นที่แห้งแล้ง ทำให้เกิดไฟป่าขึ้นบนดอยสูงด้านทิศเหนือของศูนย์พักพิงแม่สุรินและลุกลามเข้ามาภายในศูนย์อย่างรวดเร็ว และโหมกระหน่ำเข้าบ้านพักผู้อพยพไม่สามารถหนีหรือเข้าไปดับไฟได้ทัน ทำให้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่

สำหรับในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีศูนย์พักพิงผู้ลี้ภัยจากการสู้รบ จำนวน 4 พื้นที่ด้วยกัน ได้แก่ พื้นที่พักพิงบ้านใหม่ในสอย ต.บางปางหมู อ.เมือง มีผู้ลี้ภัยจำนวน 12,005 คน , พื้นที่พักพิงบ้านบ้านแม่สุริน ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม 1,876 คน , พื้นที่พักพิงบ้านแม่ลามาหลวง ต.สบเมย จำนวน 13,192 คน และพื้นที่พักพิงบ้านละอูน ต.สบเมย อ.สบเมย 13,274 คน รวมผู้อพยพในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนทั้งสิ้นกว่า 4 หมื่นคน ซึ่งร้อยละ 42 นักถือศาสนาคริสต์ และอีกร้อยละ 7 นับถือศาสนาพุทธ และก่อนหน้านี้ผู้ลี้ภัยในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนได้เดินทางไปตั้งถิ่นฐานใหม่ยังประเทศที่ 3 แล้วกว่า 25,000 คน

และเมื่อเวลา 22.15 น พบแล้วผู้เสียชีวิต 32 คน ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลขุนยวม มีผู้บาดเจ็บหนัก ร่างกายถูกไฟเผา 80 % 2 ราย ได้ส่งไปรักษาต่อที่จังหวัดเชียงใหม่ และรับไว้รักษาที่ รพ.ขุนยวม 1 ราย ส่งไป รพ.ศรีสังวาลแม่ฮ่องสอน 1 ราย รวมผู้บาดเจ็บ มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยอีกกว่า 100 ราย บ้านเรือนเสียหาย 180 หลังคาเรือน ผู้อพยพที่พักอาศัยอยู่ภายในศูนย์เดือดร้อน 300 ครอบครัว ซึ่งยอดผู้ได้รับบาดเจ็บ หรือ ยอดผู้เสียชีวิต ยังไม่นิ่ง เนื่องจากยังคงทยอยส่งมารับการรักษา และ ค้นหา อย่างต่อเนื่อง และ ทีมลำเลียงผู้ป่วยได้หยุดการลำเลียง เนื่องจากเส้นทางค่อนข้างลำบาก พรุ่งนี้เช้าจะมีทีมแพทย์ พยาบาลต่างๆเข้ามาสมทบอีก เข้าพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่อ

สำหรับศูนย์อพยพแห่งนี้มีจำนวนประชากรทั้งสิ้น 3,000 กว่าคน มีการจัดแบ่งพื้นที่เป็น 4 คุ้ม แต่ละคุ้มมีประมาณ 100 หลังคาเรือน ส่วน สาเหตุเบื้องต้นที่เกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้ ยังไม่มีความชัดเจน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอาจเกิดการหุงต้มของชาวบ้านเอง แต่ ขณะที่บางส่วนระบุเกิดจากไฟป่าลามเข้าไหม้บ้านเรือนภายในศูนย์ฯ ดังนั้นต้องรอให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานตรวจสอบหาสาเหตุอีกครั้ง