ข่าว
แห่แชร์! ภาพเหยี่ยว 80 ตัวซื้อตั๋วนั่งบนเครื่องบิน คาดเป็นของเจ้าชายซาอุฯ

เว็บไซต์กิซโมโดรายงานเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมาถึงภาพที่มีผู้นำมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ “Reddit” เว็บบอร์ดชื่อดังของสหรัฐอเมริกา แสดงให้เห็น “เหยี่ยว” ขนาดใหญ่จำนวนมากอยู่บนเครื่องบินโดยสารปะปนกับผู้โดยสารที่ส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันออกกลาง พร้อมข้อความ “เพื่อนกัปตันส่งรูปนี้มาให้ดู เจ้าชายอียิปต์ซื้อตั๋วให้เหยี่ยว 80 ตัวของเขา”

รายงานระบุว่า มีผู้ใช้งานเว็บไซต์ Reddit รายหนึ่งระบุว่าภาพลักษณะดังกล่าวเคยมีการแชร์กันแล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 2-3 ปีก่อน พร้อมทั้งระบุว่า “หากคนบินสายการบินเอติฮัด หรือเอมิเรตส์ หรือกาตาร์มากพอ คนจะได้พบกับใครบางคนบินพร้อมกับเหยี่ยวที่นั่งในที่นั่งข้างๆ”

ขณะที่สื่ออย่างบิสซิเนสอินไซเดอร์รายงานเมื่อปี 2547 ระบุว่า “กีฬาล่าเหยื่อด้วยนกตระกูลเหยี่ยว” นั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสายการบินอย่างน้อย 1 สายการบินอย่างเอติฮัดก็มีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการนำเหยี่ยวขึ้นเครื่องบินรองรับอยู่ด้วย เช่น การอนุญาตให้นำเหยี่ยวขึ้นเครื่องได้พร้อมเอกสารรับรอง ขณะที่เมื่อปี 2557 มีรายงานว่ามีการอนุญาตให้นำเหยี่ยวขึ้นเครื่องได้ในฐานะผู้โดยสารคนหนึ่งที่ต้องผ่านการตรวจความปลอดภัยก่อนขึ้นเครื่องเช่นเดียวกัน และมีการออกหนังสือเดินทางสำหรับเหยี่ยวโดยเฉพาะด้วย

ป.ป.ช.ยังไม่ตั้งอนุไต่สวน สินบนโรลรอยซ์ อ้างข้อมูลยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ที่สโมสรทหารบก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงการตรวจสอบกรณีสินบนโรลส์รอยซ์ ว่า เมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการป.ป.ช.ได้รายงานต่อที่ประชุมป.ป.ช.ว่าได้มีการพูดคุยกับป.ป.ช.ของอังกฤษผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้นท์ เกี่ยวกับเอกสาร ซึ่งทางอังกฤษต้องการความชัดเจนของการขอเอกสาร นอกจากการประสานงานกับอังกฤษและอเมริกาแล้ว ก็ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ไปคุยกับการบินไทยและปตท. ซึ่งก็ได้รับความร่วมมืออย่างดีเยี่ยม มีการนัดส่งเอกสารแล้ว โดยช่วงนี้ป.ป.ช.อยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริง ยังไม่สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนได้ เพราะจะตั้งอนุฯเพื่อไต่สวนต้องรู้ชัดเจนว่า เราจะกล่าวหาใคร ตอนนี้จึงตรวจสอบเอกสารก่อน ส่วนจะได้รับข้อมูลจากทางต่างประเทศเมื่อไรคงกำหนดเวลาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของความร่วมมือ ซึ่งการจะนำไปสู่การไต่สวนนั้น เอกสารทั้งหมดต้องได้รับการรับรองความถูกต้องจากหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ กระบวนการนี้ ต้องไปผ่านพระราชบัญญัติความร่วมมือทางอาญา ซึ่งต้องขอความร่วมมือผ่านทางอัยการสูงสุด โดยทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมายจึงจะนำมาใช้ดำเนินคดีได้ เพราะในการพิจารณาเรื่องเหล่านี้ต้องให้สิทธิคนที่ถูกกล่าวหาสามารถคัดค้านได้แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่ทำการไต่สวน เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาจะได้มีการชี้แจงได้ชัดเจน

เมื่อถามว่า หากยังไม่ได้ข้อมูลจากต่างประเทศก็ไม่สามารถตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงได้ใช่หรือไม่ ประธานป.ป.ช. กล่าวว่า ใช่ เพราะถ้าจะถึงขั้นตั้งอนุไต่สวนต้องชัดเจนว่ากล่าวหาใคร ด้วยข้อหาอะไร ในช่วงระยะเวลาไหน ซึ่งข้อมูลที่มีภายในประเทศ ยังไม่เพียงพอเพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่การดำเนินคดีของอังกฤษ ที่ระบุว่ามีการจ่ายสินบนจึงต้องดูเอกสารว่าพูดถึงใคร ส่วนที่มีการเปิดเผยว่ามีการจ่ายสินบนใน 3ช่วงเวลานั้นเป็นเรื่องของช่วงระยะเวลาเท่านั้น แม้ว่าจะช่วยในเรื่องข้อมูล แต่การจะดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งจะกระทบกับสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาต้องชัดเจนจึงจะกล่าวหาได้ ดังนั้นต้องดูพยานหลักฐาน เพราะขณะนี้เป็นข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชน ยังไม่ใช่เอกสารที่รับรองความถูกต้อง ที่จะดำเนินการตามขั้นตอนได้

“สำหรับกรณีที่ผมเคยระบุว่าป.ป.ช.จะมีการพิจารณาทบทวนคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรที่ส่งฟ้องศาลฎีภาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้ว ขณะนี้ป.ป.ช.ไม่ได้มีการพิจารณาในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากยังมีคดีอื่นที่ค้างอยู่ต้องเร่งอีกทั้งคดีนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของศาลแล้วก็ให้ดำเนินการไปตามขั้นตอน ซึ่งคำพิพากษาของศาลจะถือเป็นที่สุด ตอนนี้เราเร่งรัดในเรื่องของคดีที่บริษัทปตท.กรีนเอ็นเอนยี่ ดำเนินโครงการจัดหาที่ดินเพื่อปลูกปาล์มและผลิตปาล์มน้ำมันในประเทศอินโดนีเซีย ”

พล.ต.อ.วัชรพล ยังกล่าวถึงข้อกังวลขององค์กรตรวจสอบต่างประเทศ ที่ต่อโทษประหารชีวิตในคดีทุจริตของไทย ที่ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการขอข้อมูลว่า ยอมรับว่ามีอุปสรรค เพราะการที่ไทยมีโทษสูงทำให้ต่างชาติมีเงื่อนไขในการประสานความร่วมมือ แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายนิติบัญญัติได้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติความร่วมมือทางอาญาแล้ว ซึ่งรัฐบาลสามารถให้คำมั่นได้ว่าจะไม่มีการประหารชีวิตในคดีนั้นๆ ซึ่งรัฐบาลจะให้คำมั่นเป็นกรณีๆไป ส่วนคดีของสินบนโรลส์รอยซ์นั้น ต้องดูในรายละเอียดก่อนว่าข้อกล่าวหาคืออะไร และโทษสูงสุดคืออะไร


วัฒนา ท้า บิ๊กตู่ สาวทุจริตสินบนโรลส์-รอยซ์ ให้ถึงยุครัฐบาลทหารรสช.

วันที่ 1 กุมภาพันธ์ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีต รมว.พาณิชย์ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก หัวข้อ “แค่สร้างภาพว่าปราบโกง” ระบุว่า

พล.อ.ประยุทธ์แสดงความฉุนเฉียวรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เสนอให้รัฐบาลรับเป็นเจ้าภาพตรวจสอบปมสินบนที่สำนักงานปราบปรามการทุจริตของอังกฤษ (Serious Freud Office) ออกมาเปิดเผยว่าโรลส์-รอยซ์ติดสินบนเจ้าหน้าที่ในการขายเครื่องยนต์ให้การบินไทยระหว่างปี พ.ศ.2534-2548 ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเพราะเป็นประธาน “คณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ” ตามคำสั่ง คสช.ที่ 127/2557 ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานและติดตามผลการดำเนินร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ก่อนหน้านี้ก็เคยออกคำสั่งหัวหน้า คสช.พักงานผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริต เช่น อดีตผู้ว่าฯกทม. เป็นต้น

และว่า “สินบนถูกจ่ายเพื่อให้การบินไทยซื้อเครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ จึงเป็นเรื่องทางเทคนิคที่อาจมีนักการเมืองเกี่ยวข้องด้วยน้อย ส่วนที่พอจะโยงถึงพรรคไทยรักไทยได้คือการจ่ายในปี 2547 เพราะสองครั้งแรกเป็นรัฐบาลอื่นและยังมี รสช.เกี่ยวข้อง หากรับเป็นเจ้าภาพอาจโดนพวกเดียวกันและต้องเปิดเผยข้อมูลที่ได้มา สู้ปล่อยให้ ป.ป.ช.รับผิดชอบจะสามารถควบคุมข้อมูลได้ เพราะถือเป็นความลับในสำนวนการสอบสวน ทั้งยังอาจเลือกดำเนินคดีเฉพาะฝ่ายตรงข้าม ส่วนพวกเดียวกันก็แช่ไว้เหมือนคดีเรือเหาะ หรือคดีจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT 200 หรือฟอกขาวให้เหมือนกรณีอุทยานราชภักดิ์ หรือการยื่นบัญชีทรัพย์สินของคนใกล้ชิดท่านผู้นำ” นายวัฒนาระบุ

“ผมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายจริงจังกับการตรวจสอบและนำข้อมูลทั้งหมดมาเปิดเผย ไม่เลือกปฏิบัติหรือปล่อยให้เงียบหายเหมือนกับเรื่องที่กองทัพมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนถ้ามีนักการเมืองเกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบกันเอง แต่สิ่งที่ภาครัฐแสดงออกไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบของ นรม. หรือการที่ ป.ป.ช.จะขอข้อมูลเฉพาะการจ่ายสินบนครั้งสุดท้ายคือการเลือกปฏิบัติ เพราะข้อมูลการจ่ายสินบนทุกครั้งจะทราบถึงผู้เกี่ยวข้องและใช้ป้องกันเหตุในอนาคตได้ การปราบปรามการทุจริตเป็นเพียงผลงานเดียวที่เหลืออยู่ อย่าให้เป็นเพียงวาทกรรมสร้างภาพที่เลือกปฏิบัติ ประเทศชาติเสียหายเพราะการยึดอำนาจมากพอแล้ว” นายวัฒนาระบุ


ชี้ ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหมดสิทธิ์โตในไทย เหตุทุนมีอำนาจเหนือรัฐ

วันที่ 1 ก.พ. นายประสิทธิ์ชัย หนูนวล ผู้ประสานงานเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “ประสิทธิ์ชัย หนูนวล” แสดงความเห็น ระบุว่า ต้นเหตุที่แท้จริงของการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินมี 2 ประการ คือ 1.เพราะอยากได้ค่าความพร้อมจ่าย พูดชัดๆก็คือ ยิ่งสร้างโรงไฟฟ้ามากเงินก็จะได้มาก โดยไม่ต้องสนใจว่าไฟจะเกินหรือไม่ เพราะเมื่อเซ็นสัญญาแล้วไม่ผลิตก็ต้องจ่าย ปีที่แล้วช่วง8เดือนแรก ค่าความพร้อมจ่ายมีมูลค่า9หมื่นล้านบาท ใส่กระเป๋ากลุ่มทุนเพียงไม่กี่ตระกูล เพราะฉะนั้นจึงต้องสร้างให้มากเข้าไว้ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิงชนิดใด ไม่เฉพาะถ่านหิน 2.เพราะสัมปทานถ่านหินไว้แล้วในอินโดนีเชียจำนวนมหาศาล มีมูลค่าหลายแสนล้าน จำเป็นต้องระบายออก ด้วยการบังคับแข็งขืนด้วยอำนาจรัฐให้สร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้ มีใครไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่เอาเงินเข้ากระเป๋า

นายประสิทธิ์ชัย ระบุเพิ่มเติมด้วยว่า ประเทศนี้บริหารประเทศมาด้วยทุนผูกขาดภายใต้คำขวัญตลาดเสรี ไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนหมดสิทธิ์เติบโตในประเทศไทย เพราะกลุ่มทุนอยู่เหนืออำนาจรัฐ จึงสร้างกฎหมายให้การผูกขาดชอบธรรม เช่นเดียวกับธุรกิจเบียร์ที่ผูกขาดกันไม่กี่ตระกูล ตั้งกติกาให้เบียร์รายเล็กนั้นเกิดยาก ดูเหมือนเสรี แต่สร้างกติการัฐมากีดกัน เป็นเส้นทางเดียวกันกับ พลังงานหมุนเวียน ดูเหมือนทำได้แต่สร้างกฎหมายมาเพื่อกุมกำเนิดไม่ให้โต ไฟไม่ได้ขาด แต่กำไรไม่พอ อำนาจรัฐที่มีสร้างให้เป็นธรรมได้ แต่คอมมิชชั่นมาบังใจ การลุกขึ้นมาสู้เรื่องถ่านหิน จึงไม่ใช่แค่เรื่องมลพิษ แต่มันคือการจัดการกับกลุ่มทุนผู้กุมชะตาประเทศนี้เอาไว้


‘ทรัมป์’ไล่’รักษาการรมต.ยุติธรรม’ออกเหตุขัดขืนคำสั่งห้ามมุสลิม 7 ชาติเข้าประเทศ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมาว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ตัดสินใจปลด “แซลลี เยตส์” รักษาการรัฐมนตรียุติธรรม ที่อดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา แต่งตั้งออกจากตำแหน่งแล้วเมื่อวันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา หลังเยตส์ตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของคำสั่งห้ามผู้อพยพเดินทางเข้าสหรัฐ

ก่อนหน้านี้เยตส์ได้สั่งการให้นักกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมไม่บังคับใช้ตามคำสั่งผู้บริหารที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามไป ขณะที่ แถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุว่า เยตส์ทรยศต่อกระทรวงยุติธรรมด้วยการปฏิเสธการบังคับใช้คำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องพลเมืองสหรัฐ โดยแถลงการณ์ของทำเนียบขาวระบุด้วยว่า เยตส์นั้นมีจุดอ่อนเรื่องเขตแดนและประเด็นผู้อพยพผิดกฎหมาย และวิพากษ์วิจารณ์พรรคเดโมแครตด้วยเรื่องที่ยังไม่ยอมเห็นชอบการแต่งตั้ง นายเจฟฟ์ เซสชั่น เป็นรัฐมนตรียุติธรรมคนใหม่

ทั้งนี้หลังมีคำสั่งปลดเยตส์ออกจากตำแหน่งได้มีคำสั่ง แต่งตั้งนายดานา โบเอนเต อัยการเขตตะวันออกของรัฐเวอร์จิเนีย รักษาการรัฐมนตรียุติธรรมแทน

“สตาร์บัคส์”ร่วมด้วยช่วยต้านแผนแบนผู้อพยพ ประกาศรับ10,000คนเป็นพนักงาน

หลังการลงนามในคำสั่งผู้บริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ระงับการเปิดรับผู้อพยพ รวมถึงห้ามให้ผู้คนจาก 7 ชาติที่สหรัฐห่วงกังวลเดินทางเข้าประเทศเป็นการชั่วคราว ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบจนสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายให้กับผู้คนจำนวนมาก ทั้งยังเกิดความไม่พอใจลุกลามไปทั่วทั้งสหรัฐและทั่วโลก ล่าสุดผู้บริหารสตาร์บัคส์ประกาศแผนที่จะว่าจ้างผู้อพยพ 10,000 คนทั่วโลกในช่วง 5 ปีข้างหน้า เพื่อตอบสนองต่อคำสั่งของทรัมป์

นายโอเวิร์ด ชูลทซ์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสตาร์บัคส์ได้สั่งหนังสือถึงลูกจากและโพสต์ลงบนเว็บไซต์ของสตาร์บัคส์ระบุว่า ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยความกังวลอย่างยิ่ง ด้วยหัวใจที่หนักหน่วง และคำสัญญาที่หนักแน่น

“เรากำลังอาศัยอยู่ในห้วงเวลาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เวลาที่เราได้เป็นพยานในห้วงเวลาที่ประเทศของเราถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และคำสัญญาของความฝันแบบอเมริกัน”ชูลทซ์ระบุ

ทั้งนี้ชูลทซ์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนพรรคเดโมแครตระบุว่าบริษัทของเขาได้พบกับพนักงานที่ได้รับผลกระทบกับคำสั่งผู้บริหารที่ลงนามโดยทรัมป์เมื่อวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา โดยพนักงานที่สตาร์บัคส์รับจะเป็นคนที่หนีภัยสู้รบ ถูกข่มเหง และถูกเลือกปฏิบัติใน 75 ประเทศซึ่งบริษัทประกอบกิจการอยู่ โดยจะมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ทำงานเพื่อช่วยเหลือกองกำลังสหรัฐ อาทิ เป็นล่ามหรือฝ่ายสนับสนุน