ข่าว
“เสรีพิศุทธ์”เดินหน้า ใช้นโยบายผู้ว่าฯ4จี

(8 ก.พ.) ที่ลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ผู้สมัครเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร หมายเลข 11 กล่าวถึงการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ครั้งแรกว่า ตั้งใจนำเสนอนโยบายใหม่แก่คนกรุงเทพ โดยจะประกาศนโยบายใหม่วิถี 4 จี ประกอบด้วย สร้างกรุงเทพฯให้เป็นเมืองปลอดภัย เมืองที่มีคุณภาพชีวิตสดใส เมืองเศรษฐกิจดี และเมืองที่มีคนดี โดยโครงการผู้ว่ากทม. 4 จี คือการชูธงเน้นเรื่องคุณภาพชีวิตใหม่ของคนกรุงเทพ รหัสความปลอดภัยคนกรุงซึ่งเป็นเลขหมายเดียวกับหมายเลขของตนคือ 011 ซึ่งจะมีการเฝ้าระวังระบบความปลอดภัยโดยไอพีทีวี ซึ่งเป็นระบบที่ดีกว่าซีซีทีวี ที่เคยใช้อยู่เป็นเครือข่ายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต จีพีเอสไร้สาย นอกจากนี้ยังมีนโยบายย้ายศาลาว่าการกรุงเทพจากเดิมตั้งอยู่ที่เสาชิงช้าไปอยู่ที่ทำการกรุงเทพทฯย่านดินแดง และปรับศาลาว่าการกรุงเทฯเดิมให้เป็นศูนย์ศิลปวัฒนธรรม พร้อมกันนี้จะจัดพื้นที่โรงงานยาสูบให้เป็นสวนป่าที่มีพื้นที่จอดรถใต้ดินด้วย สำหรับการแก้ปัญหาหาบเร่แผงลอยจะจัดระเบียบยกแม่ค้าพ่อค้าให้ไปค้าขายบนสะพานลอยฟ้าเพื่อให้มีพื้นที่ทำมาหากินที่แน่นอน ส่วนนโยบายที่มีการเรียกร้องกันมากจากคนกรุงเทพคือการสร้างเลนจักรยาน ตนมีแนวคิดใช้พื้นที่เลนใต้เส้นทางรถไฟฟ้าเป็นพื้นที่สำหรับจักรยานเนื่องจากกรุงเทพฯมีพื้นที่น้อยจึงจำเป็นต้องปรับสิ่งที่มีอยู่เดิมมาประกอบให้ใช้ร่วมกันได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผู้สมัครอิสระเตรียมรวมตัวโค่นผู้สมัครที่มาจากพรรคการเมืองโดยยอมรับว่ามีผู้สมัครอิสระหลายายติดต่อเพื่อขอให้มีการรวมตัวของผู้สมัครอิสระเพื่อต่อต้านการซื้อสิทธิ และการทำโพลที่ไม่ถูกต้อง แต่ตนมองว่าควรรอดูสถานการณ์ก่อน อย่างไรก็ตามเห็นว่าขณะนี้พรรคการเมืองพยายามสร้างกระแสว่าผู้ว่าฯต้องมาจากพรรคการเมือง เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่อง ทั้งที่จริงแล้วหากกลับไปพิจารณาเจตนารมณ์การเลือกผู้ว่าฯจะรู้ว่าควรเป็นผู้ที่มีความเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำ เน้นดูที่ความตั้งใจจริงเป็นหลัก ที่ผ่านมาจะพบว่าผู้ว่าฯที่มาจากพรรคการเมืองล้วนถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีทั้งสิ้น

“ชวน”ยันรัฐบาล-ผู้ว่าฯกทม. ถึงต่างพรรคทำงานร่วมกันได้

วันนี้( 8 ก.พ.) ที่อาคารลุมพินีสถาน สวนลุมพินี พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดการปราศรัยหาเสียงเลือกตั้งให้กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยมีแกนนำของพรรคร่วมเวทีปราศรัยจำนวนมาก ขณะเดียวกันมีประชาชนที่มีความสนใจและผู้สนับสนุนพรรค ร่วมฟังการปราศรัยเต็มอาคาร

ทั้งนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า มีความห่วงใยและเอาใจช่วยในการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งเหนื่อยมาก เพราะมีผู้ลงสมัครจำนวนมาก แต่ขอให้ประชาชนมั่นใจในพรรคประชาธิปัตย์ว่าได้คัดเลือกคนที่ดีที่สุด และมั่นใจในตัวของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และเลือกให้กลับมาทำงานอีกครั้ง ทั้งนี้เคยมีคนมาเตือนตนว่าพรรคประชาธิปัตย์อย่าประมาท เพราะมีการออกคำสั่งบางอย่าง เช่น มีการสั่งโรงพักเป็นพิเศษ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องนี้มีมูลแต่หวังว่าตำรวจที่ดีจะไม่ฟังสิ่งที่ไม่ดีและไม่คุกคามให้คนไปลงคะแนนให้ใครคนใดคนหนึ่ง ส่วนคำวิจารณ์ถึงการส่งผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการที่เราเลือกม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เพราะเชื่อมั่นว่าม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ไม่โกง สำหรับที่มีการพูดว่าถ้าเลือกผู้สมัครในนามพรรคการเมือง จะมีความขัดแย้งกับรัฐบาล และจะทำให้การพัฒนาเป็นไปได้ยากนั้น ที่จริงแล้วอยู่ที่รัฐบาลเป็นของคนดีหรือของทรราช ถ้าเป็นคนดี เขาไม่มีการกลั่นแกล้ง แต่ถ้าเป็นของทรราช เขาจะกลั่นแกล้ง เมื่อครั้งที่ตนเป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีผู้ว่าฯกทม.ที่ไม่ได้มาจากพรรคเดียวกัน ก็ไม่เคยมีปัญหาหรือการกลั่นแกล้ง

นายชวน กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าชาวกรุงเทพมหานครมีการศึกษา ซึ่งอยากให้ชาวกรุงเทพมหานครมีศักดิ์ศรี ไม่สยบต่อคนที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต นี่จึงเป็นคำตอบให้กับคนที่ยังลังเลใจ นอกจากนี้ คนที่เป็นผู้ว่าฯกทม.ได้รับเลือกมาจากประชาชน จึงไม่ควรคุกเข่าหรือยอมสยบให้กับผู้ที่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ส่วนเรื่องของรอยต่อนั้นมีอยู่แล้วในทุกองค์กร เพราะต้องขอบเขตและการตรวจระหว่างกัน เช่น อำนาจอธิปไตยที่มีฝ่ายตุลาการ ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร ซึ่งการใช้อำนาจแบบไม่มีรอยต่อสามารถสร้างปัญหาได้ เช่น กรณีที่ฝ่ายบริหารตัดสินใจผิดพลาด แต่ฝ่ายปฏิบัติไม่ทักท้วง สุดท้ายเกิดเป็นความผิดพลาดส่งผลจนถึงวันนี้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ประชาชนบอกว่าอยากจะช่วยเรา แต่รู้สึกวิตกหลังจากอ่านข่าวบางอย่างแล้วรู้สึกว่าจะสู้เขาได้หรือไม่ การเลือกตั้งในบรรยากาศแบบนี้และต้องเจอกับรัฐบาลแบบนี้ ประชาชนอย่าหวั่นไหว เพราะเขาจะใช้ทุกวิธีทาง และม.ร.ว.สุขุมพันธ์ถูกรุม ถูกดิสเครดิตมานานแล้ว อีกทั้งตอนนี้มาลากตนเข้าไปด้วยทั้งที่ตนไม่เกี่ยวด้วย คือการก่อสร้างสถานีตำรวจ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)บอกว่าพบหลักฐานสำคัญจึงต้องเรียกให้ตนมาชี้แจง แต่ตนขอแนะนำว่าเรื่องของตำรวจควรเรียกตำรวจไปชี้แจง เพราะยุคนั้นตนไม่ได้เป็นโฆษกตำรวจ แต่ควรเอาโฆษกตำรวจในตอนนั้นไปชี้แจงเรื่องการทำทีโออาร์ ทั้งนี้ขอให้กลับไปดูประวัติศาสตร์ทางการเมืองว่าไม่มีใครใช้อำนาจ ใหญ่กว่าคนกรุงเทพมหานคร และคนกรุงเทพมหานคร ไม่ชอบคนที่กลั่นแกล้งคนอื่น แต่ต้องการการบริหารเมือง และการเมืองที่เอื้อต่อการบริหารเมืองเพื่อคนอื่นๆ ไม่ใช่การบริหารเมืองเพื่อเอื้อการเมือง รวมถึงต้องการผู้ว่าฯกทม.ที่กล้าปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่สามารถถูกสั่งซ้ายหันขวาหัน อีกทั้งต้องกล้าบอกกับรัฐบาลว่าคนกรุงเทพฯทนไม่ไหวกับปัญหารถติดที่เกิดจากนโยบายรถคันแรก และควรนำเงินที่เสียไปกับนโยบายรถคันแรกเอาไปสร้างรถไฟฟ้าอีก 2-3 สายให้กับคนกรุงเทพฯ ทั้งนี้ใครหาเสียงอะไรก็พูดได้ แต่ประชาชนควรดูว่าใครพูดขัดแย้งกันเองหรือไม่

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า เวลาที่เหลือมีไม่มาก แม้ตนมั่นใจในชาวกรุงเทพมหานครแต่ก็ประมาทไม่ได้ เราต้องช่วยกันทำให้เห็นว่าทางเลือกมันชัด ดังนั้นเวลาที่เหลือทุกคนต้องช่วยพวกเราทำงาน ให้ประชาชนเห็นว่าเรากำลังจะเลือกอนาคตของเราอย่างไร อย่าหวั่นไหว เราจะทำงานหนักเพื่อให้ผู้สมัครของเราได้กลับมาทำงานปกป้องคนกรุงเทพมหานคร.

“ราตรี”แฉสิ้นไส้คุกเขมร รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ยอมช่วย

(7 ก.พ.)ที่รัฐสภา ในการประชุมกรรมาธิการ (กมธ.)สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ที่มีพล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานกมธ. เป็นประธานได้พิจารณากรณีการพระราชทานอภัยโทษ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ซึ่งถูกจับกุมโดยทหารกัมพูชา ในข้อหาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และจารกรรมข้อมูล เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 2553 ต่อมาถูกศาลประเทศกัมพูชาตัดสินจำคุกในเรือนจำเปรย์ซอร์ ประเทศกัมพูชา โดยเชิญ น.ส.ราตรี, ร.ต.แซมดิน เลิศบุษย์ และนายตายแน่ มุ่งมาจน มาชี้แจงและให้ข้อมูล ทั้งนี้กมธ. ได้สอบถามถึงชีวิตความเป็นอยู่ในเรือนจำของน.ส.ราตรีว่ามีการละเมิดสิทธิผู้ต้องขังหรือไม่ เพื่อจะได้นำหารือกับประเทศกัมพูชาถึงหลักสิทธิมนุษยชน

น.ส.ราตรีชี้แจงว่า ความเป็นอยู่ในเรือนจำคงให้สบายเหมือนกับอยู่ที่บ้านคงไม่ได้ แต่ผ่านการฝึกใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายมาก่อน จึงปรับตัวได้ แต่สภาพจิตใจไม่ค่อยดี แต่ที่น่าเป็นห่วง คือ นายวีระ สมความคิด ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้สื่อสารกับใครเลย ทั้งรับข่าวสาร อ่านหนังสือ เพราะรัฐบาลกัมพูชาเห็นว่านายวีระเป็นนักเคลื่อนไหว และกลัวจะสร้างปัญหา รวมทั้งยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ทั้งนี้ยืนยันว่า พื้นที่บ้านหนองจาน กิ่ง อ.โคกสูง จ.สระแก้ว เป็นดินแดนของไทย เนื่องจากมีการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินทำกินให้กับคนไทย มีโฉนดชัดเจน อยากฝากให้ กมธ.ช่วยตรวจสอบว่าพื้นที่พิพาทดังกล่าวตามแนวเส้นแบ่งเขตหลักเขตที่ 46-47 เป็นของไทยหรือกัมพูชากันแน่

“รัฐบาลที่ผ่านมาไม่ช่วยและปล่อยให้สู้โดยลำพัง ทั้งยังรับรองให้ทางการกัมพูชาในการบอกว่าคนไทยหาเรื่องเข้าไปในพื้นที่เอง” น.ส.ราตรี กล่าวและว่า การพระราชทานอภัยโทษให้ตนคงเป็นเหตุผลทางการเมือง แต่เรื่องการต่อรองไม่ทราบ แต่น่าจะมีสาเหตุจากการสานสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับรัฐบาลกัมพูชา อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีการอภัยโทษ ตนและนายวีระได้เตรียมการเรื่องโอนย้ายกลับประเทศไทยไว้แล้ว หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะช่วยเหลือนายวีระก็ควรรีบดำเนินการ ซึ่งนายวีระมีความต้องการให้มีการโอนย้ายตัวมาโทษที่ประเทศไทยมากกว่าการพระราชทานอภัยโทษ อย่างไรก็ตามขอให้ กมธ.ช่วยเชิญตำรวจ ทหาร ที่เข้าช่วยเจรจาในวันที่คณะของตนถูกจับมาชี้แจงด้วย โดยจำได้ว่ามีผู้กำกับการ สภ.โคกสูง ยศ พ.ต.อ. ตำรวจตระเวนชายแดนยศพ.ต.ท. และทหารจากกองกำลังบูรพา 2 นาย โดยตอนแรกยืนยันว่าจะได้รับการปล่อยตัว แต่ภายหลังบอกว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงต่างประเทศ จากนั้นตนและคณะก็ถูกควบคุมตัวไปยังกรุงพนมเปญ

ด้านนายตายแน่ กล่าวว่า ครั้งเมื่อตนถูกคุมขัง นายศิริโชค โสภา ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้หยิบผังแผนที่หลักเขตที่ 46-47 ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนกันแผนที่ที่คณะของตนศึกษา โดยพบว่า แผนที่ของนายศิริโชคระบุว่า ตนและคณะ ได้รุกล้ำเขตกัมพูชา แต่สำหรับแผนที่ของตนนั้น ถือว่ายังไม่รุกล้ำ เพราะยึดเกณฑ์จากการตั้งศูนย์อพยพของยูเอ็นเอชซีอาร์ที่บ้านหนองจาน ซึ่งมีหลักว่าการขุดสระน้ำต้องตั้งอยู่ในประเทศที่ไม่มีสงครามหรือประเทศที่มีความสันติภาพ แสดงว่าสระน้ำต้องตั้งอยู่ในพื้นที่ของประเทศไทย แต่ในแผนที่ของนายศิริโชคระบุว่าสระน้ำดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ของประเทศกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของการประชุม น.ส.ราตรี ระบุว่า เพื่อนในกลุ่มของตนได้รับโทรศัพท์จากทหารนายหนึ่ง โทรศัพท์มาเตือนว่า หากคิดจะฟ้องร้องรัฐบาลเพื่อเรียกค่าเสียหาย ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ อาจจะได้ไม่คุ้มเสียและได้รับอันตราย ด้าน พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ กล่าวว่า น.ส.ราตรี ถูกข่มขู่ ให้พิจารณาความจริงให้ชัดเจนเพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับหลายฝ่าย ก่อนจะไปแจ้งความ ซึ่งทันทีที่ พล.ท.นันทเดชพูดจบ น.ส.ราตรี กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอว่า จะรอให้ถูกลอบทำร้ายก่อนหรืออย่างไร หรือต้องรอให้ยิงพลาดก่อนใช่หรือไม่ จึงจะเชื่อว่ามีมูลความจริง จากนั้น พล.อ.อ.วีรวิท ก็ได้รับปากที่จะดูแลเรื่องดังกล่าวให้