ข่าว
ด่วน!!ศาลฎีกาฯไม่อนุญาต "ยิ่งลักษณ์"ออกนอกประเทศ

จากกรณีรัฐสภายุโรปส่งหนังสือเชิญถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย ณ กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม หรือเมืองสตราสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส ตามแต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะสะดวก

ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม แหล่งข่าวจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าว มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นคำร้องพร้อมหลักฐานเป็นหนังสือเชิญจากรัฐสภายุโรป ต่อศาลฎีกาฯนักการเมือง เพื่อขออนุญาตเดินทางออกนอกประเทศตามหนังสือที่ได้รับเชิญ ต่อมาองค์คณะศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แล้วเห็นว่ากรณียังไม่มีเหตุอันควร ไม่อนุญาตตามคำร้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 15 มกราคม 2559 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดไต่สวนพยานโจทก์ครั้งแรกในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด(ในขณะยื่นฟ้อง) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลย ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157และความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ส่งผลให้รัฐได้รับความเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชาวไทยในแอลเอรวมใจทำป้ายขนาดใหญ่

ชาวไทยหลายฝ่าย รวมใจทำป้ายขนาดใหญ่ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่แอลเอ.สหรัฐอเมริกา ติดตั้งไว้เด่นเป็นสง่าที่ทางเข้าเขตไทยทาวน์ บนถนนฮอลลีวูดตัดกับถนนนอร์มังดี

ได้มีการติดตั้งบิลบอร์ดใหญ่ถวายพระพรในไทยทาวน์-ฮอลลีวูดโดยชาวไทยในแอลเอร่วมกันจัดทำบิลบอร์ดใหญ่ ถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 88 พรรษา 5 ธันวาคม 2558 โดยได้ติดตั้งไว้อย่างโดดเด่นเป็นสง่าที่หัวมุมทางเข้าเขตไทยทาวน์ บนถนนฮอลลีวูด ตัดกับถนนนอร์มังดี

โดยช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2558 บิลบอร์ด “ทรงพระเจริญ” ขนาด 14 ฟุต คูณ 48 ฟุต ทั้งหมดนี้ได้ถูกติดตั้งเด่นเป็นสง่านั้นเกิดจากการรวมใจของคนไทยรัก ”ในหลวง” ในนครลอส แอนเจลิส นำโดย สภาสตรีไทยแห่งแคลิฟอร์เนียภาคใต้ องค์กรไทยนิวเยียร์สงกรานต์เฟสติวัล โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ นักธุรกิจและคนไทยในแอลเอ ได้ร่วมกันออกใช้จ่ายในการจัดทำบิลบอร์ดถวายพระพรในครั้งนี้และได้สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอส แอนเจลิสร่วมให้การสนับสนุนส่วนหนึ่งด้วย

ทั้งนี้ บิลบอร์ดถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในไทยทาวน์ บนถนนฮอลลีวูด นครลอส แอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา จะติดตั้งไปจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2558 เพื่อให้ชาวไทยชาวต่างชาติได้ชื่นชมและสัมผัสกันตลอดทั้งเดือน ซึ่งทำให้คนไทยต่างตื่นเต้นมาก

บิลบอร์ดนี้จะเห็นได้ชักเจนถ้ามาบนถนนฮอลลีวูดจากด้านถนนเวอร์มอนท์จะไปทางถนนเวสเทิร์น ตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ ตรงสี่แยกนอร์มังดี


ศาลสั่ง สตช.จ่าย 2.9 แสน ย้าย'เสรีพิศุทธ์' จาก ผบ.ตร.

ศาลปกครองสั่ง สตช.ชดใช้เงินค่าเสียหาย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ 2.9 แสนบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องจนชำระเสร็จใน 30 วัน กรณี นายกรัฐมนตรีสั่งย้าย และให้ออกจากตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตั้งแต่ปี 2551

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลปกครองกลาง โดย นายสมศักดิ์ ตัณฑเลขา ตุลาการหัวหน้าคณะศาลปกครองกลางและคณะ ออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษาเพิกถอนมติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่ร้องทุกข์คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 35/2551 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด

คดีนี้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี สำนักนายกรัฐมนตรี สตช. ก.ตร. คณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ และสำนักงาน ก.ตร. ในคดีหมายเลขดำที่ 1413/2551 เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2551 และในคดีหมายเลขดำที่ 1924/2551 เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2551 ว่า นายกรัฐมนตรี (นายสมัคร สุนทรเวช) ในขณะนั้น มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง และมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ขณะดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. ถูก พ.ต.อ.ทินกร มั่งคั่ง พ.ต.ท.ศิริวัฒน์ โมรานนท์ และ บริษัท แพล็ททินัม มอเตอร์ เซลส์ จำกัด กล่าวหาร้องเรียนว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตในโครงการเช่าซื้อรถยนต์ สตช. มีพฤติการณ์ใช้ถ้อยคำมิบังควร และไม่เหมาะสม หมิ่นเบื้องสูง และดำเนินการบริหารงานบุคคลโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งขอให้ศาลสั่งนายกรัฐมนตรี และ สตช. ร่วมชดใช้ค่าเสียหายอันเกี่ยวเนื่องกับคำสั่งดังกล่าว แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ซึ่งต่อมา ศาลมีคำสั่งรวมพิจารณาคดีทั้งสองคดีเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา

ทั้งนี้ ศาลปกครองพิจารณาแล้วเห็นว่า แม้ว่า พ.ร.บ.ระเบียบบริหาราชการแผ่นดิน พ.ศ.2535 จะให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลสั่งให้ข้าราชการ ซึ่งสังกัดกระทรวง ทบวง กรม มาปฏิบัติราชการสำนักนายกรัฐมนตรีได้ แต่การใช้อำนาจดังกล่าว จะต้องคำนึงถึงเหตุผลความจำเป็นเหมาะสม และประโยชน์ของหน่วยงานเป็นสำคัญ จะต้องไม่กระทำโดยมีอคติ หรือเจตนากลั่นแกล้งข้าราชการผู้ถูกย้ายให้ได้รับความเสียหาย

แต่จากบันทึกข้อความของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 0101/31 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2551 ไม่ปรากฏว่า มีการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงในการนำเสนอให้นายกรัฐมนตรี ออกคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ว่า มีประสิทธิภาพ คุ้มค่าประโยชน์ที่ตกแก่ประชาชนอย่างไร หากแต่อ้างว่า ถ้ายังให้อยู่ในหน้าที่ราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยใน สตช. ขึ้น โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยใน สตช.หรือไม่ ประการใด

นอกจากนี้ การที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งดังกล่าวในวันเดียวกับการมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ โดยอ้างว่า จะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวน ทั้งที่ยังไม่มีการเริ่มสอบสวนพิจารณาแม้แต่น้อย เท่ากับเป็นการออกคำสั่งโดยไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ หรือไม่มีเหตุอันสมควร คำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่โดยที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้เกษียณอายุราชการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2551 คำสั่งดังกล่าวจึงสิ้นผลไปแล้ว ศาลจึงไม่จำเป็นต้องมีคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลได้วินิจฉัยไปแล้วว่า คำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น มติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร. ที่ร้องทุกข์ในกรณีดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน

เมื่อ คณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ ใช้เวลาตั้งแต่ วันที่ 29 ก.พ. 2551 จนถึงวันที่ 24 ธ.ค. 2553 รวมระยะเวลา 30 เดือน ไม่อาจหาหลักฐานมารับฟังจนน่าเชื่อว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ได้กระทำความผิดร้ายแรงตามที่ถูกกล่าวหา ย่อมแสดงว่า การดำเนินการทางวินัยร้ายแรง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธิ์ การที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการใช้อำนาจออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการกระทำละเมิดแก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

อย่างไรก็ตาม การที่นายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการใช้อำนาจภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 สตช.จึงต้องรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของ นายกรัฐมนตรี ด้วยการชดใช้ค่าเสียหายทดแทนเงินประจำตำแหน่ง แก่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2551 จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2551 เป็นเงิน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องเป็นต้นไป

ศาลจึงมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติคณะอนุกรรมการข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับการร้องทุกข์ ในการประชุมครั้งที่ 18/2551 เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2551 ที่ยกคำร้องทุกข์ของผู้ฟ้องคดีที่ร้องทุกข์คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 35/2551 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ สตช.รับผิด ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 294,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นให้แก่ผู้ฟ้องคดีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุด


24เจ้าสัวบริษัทยักษ์ช่วยรัฐบาล ให้ฝึกงาน รับSMEขายในห้าง

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นำนักธุรกิจ 24 รายใหญ่ของไทย อาทิ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยใช้เวลาหารือกันประมาณ 3 ชั่วโมง

ด้านนายสมคิดกล่าวว่า นายกฯได้ขอบคุณภาคเอกชนที่มาร่วมปฏิญาณอุดรธานี เพื่อขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ปี 2559 ให้ได้ 4% หลังจากนั้นนายกฯ ได้เล่าให้ฟังถึงการเดินทางไปต่างประเทศและการปฏิรูปว่าจะทำอย่างไรบ้าง ซึ่งได้มีการขอให้ภาคเอกชนเข้าช่วยรัฐใน 3 เรื่อง 1.การพัฒนาคน ในเรื่องการศึกษา 2.การลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเจริญจากพื้นฐานภายในประเทศ 3.การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถทำได้ลำพัง ต้องอาศัยภาคเอกชน

นายสมคิดกล่าวว่า ในเวทีนี้ภาคเอกชนพูดทุกคน เช่นบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) บอกว่า พร้อมจะช่วยเรื่องการศึกษา โดยยินดีนำมหาวิทยาลัยในสังกัดมาช่วย เปิดโอกาสให้นักศึกษาได้ฝึกงาน เรียนรู้จากของจริง ส่วนบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมที่จะรับนักศึกษาฝึกงานเช่นกัน ส่วนการช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอมอี) เดอะมอลล์กรุ๊ป และกลุ่มเซ็นทรัล พร้อมที่จะช่วยยกระดับเอสเอ็มอี ด้วยการนำสินค้าไปขายในห้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ส่วนบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นอกจากจะช่วยให้เอสเอ็มอีนำสินค้ามาขายในปั๊มแล้ว จะมีทีมงานพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ช่วยด้วย ส่วนบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด จะเป็นแกนนำพัฒนาบ้านคนจน

"นายกฯ ได้มอบหมายให้ผมเป็นแกนภาครัฐ และนายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นแกนนำภาคเอกชน ร่วมตั้งคณะกรรมการร่วมกันผลักดันให้เกิดเป็นรูปธรรม" นายสมคิดกล่าว

นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษาฯ กล่าวว่า ได้มีการหารือถึงการทำบ้านประชารัฐ หรือบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อย ซึ่งจากการเสนอรายละเอียดไปคาดว่าจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1.การสร้างบ้านจากการเช่าที่ดินของกรมธนารักษ์ จะให้สิทธิในการเช่าที่ดินระยะเวลา 50 ปี โดยภาคเอกชนจะสร้างอาคารชุดหรือคอนโดและขายในราคา 6 แสนบาท ขณะที่บ้านจัดสรร (ทาวน์เฮาส์) จะขายในราคา 9 แสนบาท ส่วนที่ 2 คือการสร้างบ้านหรือคอนโดจากที่ดินภาคเอกชน ซึ่งจะราคาสูงกว่าบ้านจากการเช่าที่ดินของกรมธนารักษ์ เช่น ในส่วนของอาคารชุดหรือคอนโด จะขายในราคา 8 แสนบาท ซึ่งจะถูกกว่าราคาท้องตลาดที่ราคาอยู่ที่ 1.2-1.7 ล้านบาท ส่วนบ้านจัดสรรจะขายในราคา 1.2 ล้านบาท ถูกกว่าราคาตามท้องตลาดที่อยู่ที่ 1.5-2 ล้านบาท

"คาดว่าจะช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ 1 หมื่นบาทต่อเดือนมีบ้านเป็นของตัวเองได้ จากเดิมที่จะต้องมีรายได้ 2 หมื่นบาทเป็นต้นไป ส่วนจำนวนบ้านที่จะสร้างนั้นขอรอนโยบายที่ชัดเจนจากภาครัฐอีกครั้ง" นายทองมากล่าว และว่า แม้ภาคเอกชนจะขาดทุนบ้าง แต่หากได้เครดิตภาษีเข้ามาช่วย ก็จะเสมือนภาคเอกชนได้กำไรมา 10%

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในการหารือกับนายกฯ ครั้งนี้ นักธุรกิจหลายรายที่แสดงความต้องการให้ภาครัฐช่วยพิจารณาปรับลดภาษีนำเข้าสินค้า เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย และกระตุ้นการท่องเที่ยวของประเทศ เช่น นางศุภลักษณ์ อัมพุช รองประธานกรรมการบริษัท เดอะมอลล์กรุ๊ป จำกัด และนายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล ที่แสดงความเห็นว่าหากภาครัฐสนับสนุนเรื่องดังกล่าวจะเป็นผลดีกับเรื่องของการท่องเที่ยว ตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะนักท่องเที่ยวจะสามารถจับจ่ายใช้สอยสินค้านำเข้าที่มีราคาถูกในประเทศไทยได้ โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น มาเลเซีย โดยภาครัฐพร้อมรับข้อเสนอไปพิจารณา

"แนวทางการช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อยนั้น ภาคเอกชนส่วนใหญ่พร้อมเข้ามาร่วมมือกับรัฐบาล เช่น การจำหน่ายสินค้าที่มีราคาถูก และเหมาะสม หรือการเข้ามาช่วยเหลือทางด้านกิจกรรมเพื่อสังคม ด้านการศึกษา และการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่" นายบุญชัยกล่าว


ปชป.เขี่ย"ชายหมู" พ้นพรรค หลังพบทุจริต กทม.อื้อฉาว

หาช่องเขี่ย “ชายหมู” พ้นพรรคหลังทุจริตกทม.อื้อฉาว เชื่อ หาก คสช.ไฟเขียวให้ประชุมพรรค จะหาทางออกให้ปชช.ชาวกรุงได้รับผลประโยชน์มากที่สุด

วันนี้ (4 ธ.ค.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค ปชป. เปิดเผยกรณีกระเเสอื้อฉาวของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม. โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากคสช.ให้ทำกิจกรรมตามร้องขอ จะมีการพิจารณาเรื่องการร้องเรียนในการบริหารงานที่ไม่โปร่งใสของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่ากทม. หรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า จะพิจารณาทุกกรณีที่พรรคได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับสมาชิกท้องถิ่น รวมทั้ง ส.ก. ส.ข. และผู้บริหาร กทม. ซึ่งการกล่าวหาว่า ผู้บริหาร กทม.ทุจริตนั้น พรรคต้องมีความรับผิดชอบ เพราะคนกรุงเทพฯ ได้เลือก ผู้ว่ากทม. ในนามพรรคปชป.มาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นการดำเนินการใดๆ ที่จะเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความรับผิดชอบของชาวกรุงเทพที่ได้เลือกเรามา ก็ต้องทำ เพราะการกล่าวหาทุจริตถือเป็นเรื่องสำคัญของพรรคที่ต้องแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน คิดว่าพรรคจะมีมาตรการที่ขัดเจนมากขึ้น เพื่อให้ประชาชนที่ไว้วางใจไม่ผิดหวัง ทั้งนี้ ต้องรอว่าทางคสช.จะทบทวนประกาศอย่างไร หากยังไม่ทบทวน ก็ขึ้นอยู่กับว่า หัวหน้าพรรคจะตัดสินใจดำเนินการอย่างไร โดยอาจจะต้องหารือกันในพรรคอย่างไม่เป็นทางการ ร่วมกับผู้อาวุโสของพรรค

เมื่อถามอีกว่า ถ้ามีการประชุมจะมีวาระการปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ออกจากการเป็นสมาชิกพรรคหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ยังไม่รู้ว่าจะประชุมเรื่องอะไรขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรคจะหยิบยกขึ้นมา แต่ต้องยอมรับความจริงว่าการบริหารใน กทม. อยู่ในความสนใจของประชาชน โดยสมาชิกพรรคได้ออกมากล่าวหาในหลายกรณีที่ไม่โปร่งใส ซึ่งพรรคต้องรับผิดชอบ

“จากปัญหาที่เกิดขึ้น ผมและนายอภิสิทธิ์ รวมทั้งคนอื่นๆ ไม่มีการทะเลาะกันเป็นการส่วนตัวกับ ผู้ว่ากทม. แต่ที่ผ่านมาหัวหน้าพรรคได้มีการโทรศัพท์ไปพูดคุยกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ุ ซึ่งท่านก็รับสาย แต่ในระยะหลังรวมถึงในขณะนี้ ไม่มีการรับสายโทรศัพท์อีกแล้ว ทำให้การประสานงานมีปัญหา ซึ่งหัวใจสำคัญคือ มีการกล่าวหาว่าเกิดการทุจริตขึ้น เราจึงต้องดำเนินการให้โปร่งใส อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ได้ข้อมูลเพียงครึ่งเดียว ถ้าได้ครบทั้งหมด ก็สามารถตัดสินใจได้ โดยดำเนินการไปตามขั้นตอน เพราะคนที่มีตำแหน่งทางการเมือง ความศรัทธาจากประชาชนมีความหมายมากกว่าตำแหน่งทางการเมือง และอยากให้ปัญหาต่างๆจบลงโดยผลประโยชน์เกิดขึ้นกับประชาชนมากที่สุด” นายองอาจ กล่าว

วิสามัญคู่มือปืนชายหญิง รัวยิง 14 ศพที่ซานเบิร์นฯ

เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. มือปืน 2 คน พร้อมอาวุธหนักครบมือและเสื้อเกราะ ก่อเหตุยิงในงานเลี้ยงต้อนรับเทศกาลคริสต์มาส ที่สำนักงานของกระทรวงสาธารณสุข ในเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 14 ราย ก่อนพยายามหลบหนีและถูกตำรวจไล่ล่ากระทั่งถูกวิสามัญฆาตกรรม

ต่อมาตำรวจทราบชื่อผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คน ได้แก่ นายไซอีด ริซวัน ฟารุก อายุ 28 ปี เป็นชาวอเมริกัน เคยทำงานเป็นพนักงานของสำนักงานดังกล่าวนาน 5 ปี และนางสาวทาชฟีน มาลิก อายุ 27 ปี สอบสวนพบว่า ก่อนก่อเหตุทั้งสองไปฝากลูกสาว อายุ 6 เดือนไว้กับแม่ของฝ่ายชาย หรือย่าของเด็ก ทางตำรวจยังไม่ตัดประเด็นก่อการร้ายออก เพราะทั้งสองใส่ชุดในแบบนักรบ สวมเสื้อเกราะ และพกอาวุธปืนไรเฟิล ที่เหมือนเตรียมการไว้ล่วงหน้า

นายแจร์ร็อด เบอร์กวน ผู้บังคับการตำรวจเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน กล่าวว่า ฝ่ายสืบสวนกำลังเร่งค้นหาสาเหตุที่มือปืนทั้ง 2 คนก่อเหตุสยองขึ้น โดยเบื้องต้นคาดว่า อาจเกิดจากความไม่พอใจในงาน หลังตำรวจพบเบาะแสว่า นายฟารุกเดินออกจากงานเลี้ยงไปด้วยสีหน้าฉุนเฉียวก่อนจะกลับมาก่อเหตุ

แต่ตำรวจเชื่อว่า นายฟารุกและผู้ก่อเหตุอีกคนจะต้องมีการวางแผนก่อเหตุไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว เนื่องมาจากผู้ก่อเหตุมีอาวุธหนักครบมือ ซ้ำยังแต่งกายด้วยเสื้อเกราะพร้อมอุปกรณ์ที่ใช้ในภารกิจหน่วยจู่โจมอย่างครบเครื่อง

ขณะที่โฆษกสมาคมความสัมพันธ์ชาวมุสลิมและอเมริกันของรัฐแคลิฟอร์เนีย แถลงประณามเหตุที่เกิดขึ้น และว่าชาวมุสลิมพร้อมจะยืนเคียงข้างพี่น้องชาวอเมริกันเพื่อต่อต้านผู้ที่มีแนวคิดบิดเบี้ยวและคิดว่าการกระทำที่รุนแรงข้างต้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง