ข่าว
รีแมตช์หน่อยมั้ย! นายกแคนาดาท้าเพื่อนดาราชกนัดล้างตา หลังโดนอัดน่วมสมัยประถม

ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ต้องการที่จะชกต่อยนัดล้างตากับ แมทธิว เพอร์รี เพื่อนนักแสดงลูกครึ่งอเมริกัน-แคนาดา ซึ่งเป็นที่รู้จักดีจากซีรีส์เรื่อง “เฟรนด์ส” หลังจากที่เพอร์รีเปิดเผยว่าเขาเคยเล่นงานทรูโดสมัยที่ทั้งคู่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกันสมัยเรียนที่โรงเรียนประถมในแคนาดา

เพอร์รีกล่าวในรายการทอล์กโชว์ จิมมี คิมเมล ไลฟ์ เมื่อดือนที่แล้วว่า “เพื่อนผมคนหนึ่งสมัยเรียนชั้นป. 5 ด้วยกันในแคนาดาเพิ่งจะเตือนความจำผมว่าเราเคยเล่นงานจัสติน ทรูโด”

“เราทั้งสองคนรุมอัดเขา ผมคิดว่ามันเป็นเพราะความอิจฉาล้วนๆ ที่เขาเล่นกีฬาเก่ง แต่เราไม่” เพอร์รีกล่าว

แม้ว่าตอนนั้นพ่อของทรูโดจะเป็นนายกรัฐมนตรีแคนาดาอยู่ก็ตาม แต่เพอร์รีบอกกับคิมเมลว่า “ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นเด็กในโรงเรียนนี้คนเดียวที่เราจัดการได้ คุณก็รู้ว่าผมไม่ควรโอ้อวดเรื่องนี้ เพราะมันแย่มาก ผมเป็นเด็กงี่เง่า จริงๆ ผมไม่ต้องการซ้อมเขา”

อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านมา 2 สัปดาห์ นายกรัฐมนตรีแคนาดาได้ทวีตข้อความท้าทายถึงเพอร์รีเมื่อวันที่ 1 เมษายนที่ผ่านมาว่า “ผมใช้เวลาคิดอยู่ซักพัก และคุณรู้มั้ย ใครบ้างไม่อยากต่อยแชนด์เลอร์? ชกกันนัดล้างตาหน่อยมั้ย”

อดีตนายกฯ แนะผู้บริหารปัจจุบัน อยากให้ประเทศเดินหน้าด้วยดี ควรเข้าสู่ระบบการเมือง

“สมชาย” ชี้ ประกาศใช้รธน.ใหม่เป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าประเทศไทยได้เริ่มต้นฉากใหม่ ย้ำ พท.ยึดกติกาเป็นหลัก ไม่ปลดล็อกพรรคการเมืองก็คือไม่ปลดล็อก

เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ข่าวสด นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมของพรรคเพื่อไทย (พท.) ถายหลังจากที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ว่า รัฐธรรมนูญประกาศใช้ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าเราได้ผ่านช่วงเวลาที่เราได้มีการปกครองโดยไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมานานแล้ว การมีรัฐธรรมนูญใหม่ก็เหมือนกับประเทศไทยจะได้เริ่มต้นฉากใหม่ของการปกครอง มาสู่การดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มีเลือกตั้ง มีสภา มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งตนถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้ทั้งคนไทยและคนต่างชาติมีความมั่นใจที่จะดำเนินชีวิตโดยสามารถวางแผนอะไรได้ ทั้งนี้ ความจริงเราเป็นประชาธิปไตยมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว เพียงแต่เราถูกเว้นวรรค ส่วนพรรคการเมืองไม่ว่าพรรคไหน ก็เป็นเป็นปกติที่เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วก็จะต้องมีการเลือกตั้ง ก็มีความหวังว่าใครที่จะอยากทำงานการเมืองจะได้เตรียมตัวกันต่อไป แต่วันนี้ก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่ดี เพราะทางคสช.บอกจะยังไม่มีการปล่อยให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ยังไม่ให้พรรคการเมืองทำงาน

เมื่อถามว่า ถึงเวลาที่ต้องปลดล็อกแล้วหรือยัง นายสมชาย กล่าวว่า ตนก็พูดมาหลายครั้งแล้วว่าน่าจะปลดได้แล้ว แต่เมื่อทางท่านผู้บริหารบ้านเมืองบอกยังไม่ปลด ก็คือยังไม่ปลด เราก็ถือกติกาเป็นหลัก แต่ต้องบอกว่า ถ้าอยากให้ประเทศเดินหน้าไปได้ด้วยดี ผู้บริหารปัจจุบันควรจะเข้ามาสู่ระบบการเมือง แต่ก็สุดแล้วแต่ความสมัครใจ ทั้งนี้ ก็หวังว่าทางผู้ใหญ่ของบ้านเมืองจะมองเห็นความจำเป็นในการเริ่มบทบาทใหม่ของประชาธิปไตยไทย กักไว้นานก็จะอึดอัด

เมื่อถามว่า เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้โดยหลักแล้วรัฐบาลควรประกาศยกเลิกมาตรา 44 หรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า จริงๆแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ในรัฐธรรมนูญชั่วคราวปัจจุบันเขียนให้รัฐบาลคสช.มีอำนาจต่อไปจนกว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่


วัฒนา ถาม คสช.”ว่างมากใช่มั้ย?”ม.44 สั่งห้ามนั่งกระบะ

วันนี้ (6 เม.ย.) นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊ก วิจารณ์การใช้ม.44 สั่งเข้มงวการจราจร โดยระบุว่า “ว่างมากใช่มั้ย”

คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 14/2560 ที่บังคับให้ผู้ขับขี่รถยนต์และคนโดยสารต้องรัดเข็มขัดนิรภัย ทำให้ผู้โดยสารรถปิ๊กอัพไม่สามารถนั่งในแคปและในกระบะท้ายได้ คำสั่งดังกล่าวได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม

ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจในการผลิตรถปิ๊กอัพขนาด 1 ตันเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก รถยนต์และรถปิ๊กอัพเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 มีมูลค่าประมาณปีละ 700,000 ล้านบาท ส่วนยอดจำหน่ายรถปิ๊กอัพในประเทศเฉลี่ยปีละ 500,000 คัน คิดเป็นเงินราว 4-500,000 ล้านบาทต่อปี รถปิ๊กอัพจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของประเทศและวิถีชีวิตของคนไทยที่ใช้รถปิ๊กอัพทั้งเพื่อการขนส่งและเป็นรถของครอบครัว รวมถึงใช้เพื่อการแห่แหนหรือเฉลิมฉลองในโอกาสหรือเทศกาลสำคัญ เช่น งานบวช งานแต่ง สงกรานต์ แห่เทียนพรรษา หรือลอยกระทง ส่วนราชการยังใช้เป็นรถสายตรวจและขนส่งผู้ต้องหา ตามข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกสิ้นสุดมีนาคม 2560 ทั้งประเทศมีการจดทะเบียนรถปิ๊กอัพรวม 6.3 ล้านคัน เป็นทะเบียน กทม. จำนวน 1.3 ล้านคัน

หัวใจสำคัญของกฎหมายที่นอกจากจะต้องอยู่บนหลักนิติธรรมแล้ว กฎหมายจะต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตหรือวิถีประชาด้วย กฎหมายนั้นจึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์ได้รับการยอมรับและปฏิบัติตาม แต่คำสั่งดังกล่าวออกมาโดยขัดกับหลักการสำคัญทั้งสิ้น เพราะเป็นอำนาจเผด็จการที่ไม่มีการตรวจสอบ ทุกอย่างเป็นการคิดเอาเองของผู้ออกคำสั่งที่อ้างเพื่อความปลอดภัยโดยไม่มีการศึกษาถึงผลกระทบอย่างรอบด้าน ผลของคำสั่งจึงเป็นต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนของประชาชนและส่วนราชการเอง ทั้งยังส่งผลถึงยอดจำหน่าย การจ้างงานและการผลิตชิ้นส่วนรถปิ๊กอัพแบบลูกโซ่ ผลคืออุตสาหกรรมการผลิตรถปิ๊กอัพกำลังถูกทำลาย เศรษฐกิจของไทยที่แย่อยู่แล้วจะยิ่งแย่หนักลงไปอีก จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเศรษฐกิจไทยภายใต้การบริหารของรัฐบาล คสช. จึงตกต่ำทำให้คนไทยได้รับความยากลำบากทั่วหน้า ผมจึงขอฝากพุทธศาสนสุภาษิตที่ว่า “พาโล อปริณายโก” เป็นเครื่องเตือนสติคนไทยทุกคนอีกครั้ง


“พิชัย”แนะเร่งเลือกตั้ง หลัง รธน.ประกาศใช้ หวังเจรจาค้า-แก้เศรษฐกิจฉลุย ชี้ยิ่งลากยาวพรรคเพื่อไทยยิ่งชนะ

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่มีพระราชพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ 20 ในวันที่ 6 เมษายนนี้ ก็อยากให้รัฐบาล สนช. กรธ. เร่งดำเนินการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว อย่าได้พยายามถ่วงเวลาการเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เป็นประโยชน์กับประเทศ หากจำกันได้เมื่อ สนช.โหวตคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับ ดร.บวรศักดิ์ โดยที่ ดร.บวรศักดิ์ ได้ให้เหตุผลว่าเพราะเขาอยากอยู่ยาว และรัฐบาลบอกว่าต้องใช้เวลา 18 เดือน ในการร่าง รธน.เพื่อเลือกตั้งใหม่ ซึ่งตนได้ออกมาเตือนว่าจะทำให้เศรษฐกิจแย่ แล้วตนก็โดนเรียกปรับทัศนคติ แต่ต่อมาก็พิสูจน์แล้วว่าเศรษฐกิจได้ย่ำแย่อย่างที่ตนได้เตือนไว้จริง และคราวนี้ก็จะพยายามยื้อเวลากันอีกหลังจากที่เลื่อนกันมาตลอด

ซึ่งหากจะลากการเลือกตั้งออกไปอีก 16 เดือนตามที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานร่าง รธน. บอก ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงไปอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สหรัฐจัดให้ไทยอยู่ใน 1 ใน 16 ประเทศ ที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐและจะมีมาตรการกีดกันการค้าออกมา ซึ่งหากไทยยังมีการปกครองแบบนี้ การเจรจาต่อรองคงจะทำได้ยาก และจะยิ่งซ้ำเติมจากการที่อียูไม่ยอมเจรจาการค้ากับไทยด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ ซึ่งจะทำให้การส่งออกที่มีแนวโน้มว่ากำลังจะฟื้นตัวกลับจะยิ่งทรุดลง และจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนให้ยิ่งแย่ลง ความหวังของรัฐบาลที่อยากให้มีการลงทุนมากๆ ในเขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออกก็อาจจะผิดหวังได้ เพราะคงไม่มีนักลงทุนอยากลงทุนหากต้องเจอกับการกีดกันทางการค้าและการที่ไม่สามารถเจรจาการค้าได้ จะส่งผลกระทบต่อความสามารถแข่งขันของประเทศไปอีกนาน

ดังนั้น รัฐบาล สนช. กรธ. จึงควรจะเร่งให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อเร่งแก้ปัญหาดังกล่าว เศรษฐกิจจะได้ฟื้นตัวได้ ประชาชนจะได้ไม่ลำบาก ซึ่งหากรัฐบาลจะกลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้งตามกระแสข่าวเรื่องผลโพลภายในที่ทำกันไว้ การลากการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจยิ่งแย่ และจะยิ่งทำให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งมากขึ้น แต่ผลเสีย คือ ยิ่งลากยาวจะยิ่งทำให้ประเทศเสียหายมากยิ่งขึ้นด้วย


ยิงบ้าง! เกาหลีใต้ทดสอบยิงขีปนาวุธพิสัยไกล 800 กม. ข่มขวัญ “เกาหลีเหนือ”

สำนักข่าวยอนฮัปของเกาหลีใต้รายงานเมื่อวันที่ 6 เมษายนว่า เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จในการทดสอบยิงขีปนาวุธที่พัฒนาขึ้นเอง ซึ่งมีพิสัยไกลถึง 800 กิโลเมตร ไกลพอที่จะโจมตีส่วนใดก็ได้ของเกาหลีเหนือ

ยอนฮัปรายงานว่า การทดสอบยิงขีปนาวุธของเกาหลีใต้เป็การส่งสัญญาณเตือนที่ชัดเจนไปยังเกาหลีเหนือ ที่ยังคงมีการพัฒนานิวเคลียร์และมิสไซล์อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเป็นการละเมิดต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ โดยการทดสอบดังกล่าวของเกาหลีใต้มีขึ้นหนึ่งวันหลังจากเกาหลีเหนือได้ยิงขีปนาวุธลงทะเลญี่ปุ่น ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนก่อนหน้าการประชุมสุดยอดผู้นำระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา

แหล่งข่าวเปิดเผยกับยอนฮัปด้วยว่า การทดสอบดังกล่าวเป็นการทดสอบขีปนาวุธชนิด “ฮยอนมู” ที่มีพิสัยไกล 800 กิโลเมตร บริเวณสถานที่ทดสอบอันฮอง ของสำนักงานเพื่อการพัฒนาด้านกลาโหม (เอดีดี) ซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้กระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้

ด้านนายฮัน มิน กู รัฐมนตรีกลาโหมเกาหลีใต้ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการทดสอบยิงขีปนาวุธครั้งนี้ด้วย


‘ไอเอส’ ดูถูกสหรัฐที่กำลังล้มเหลว เพราะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ‘โคตรโง่’

เมื่อวันที่ 5 เมษายน เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า กลุ่มกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ได้ออกมาดูถูกทั้งสหรัฐอเมริกา ที่กำลังล้มเหลว เพราะมีประธานาธิบดีที่ “โคตรโง่” ซึ่งหมายถึงนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ

โดยนายอาบู ฮาซัน อัล-มูฮาจีร์ โฆษกของกลุ่มไอเอส ได้บันทึกเสียงความยาว 37 นาที และนำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ระบุว่า อเมริกากำลังล้มเหลว และสัญญาณแห่งความตายได้ปรากฏต่อสายตาของทุกคน ไม่มีสัญญาณที่เด่นชัดไปกว่าเป็นประเทศที่ปกครองโดยคนที่โครตรโง่ ไม่รู้ว่า อะไรคือ “เลแวนท์” หรือ “อิรัก” หรือ “อิสลาม” และยังเป็นคนที่ยังคงมีอาการประสาทหลอนพยายามแสดงออกซึ่งความเกลียดชังและการทำสงครามต่อต้านมัน (อิสลาม)

ข้อความดังกล่าวถูกกระจายไปบนเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยกลุ่มผู้สนับสนุนไอซิส และนับเป็นครั้งแรกที่กลุ่มไอเอสส่งข้อความดูถูกทรัมป์โดยตรง นับตั้งแต่ทรัมป์เข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม โดยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ผู้นำกลุ่มอัลเคด้าและคาบสมุทรอาระเบีย ได้ออกมาพูดเสียดสีต่อประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ หลังจากปฏิบัติการบุกฐานที่มั่นของอัลเคด้าในประเทศเยเมน เมื่อวันที่ 29 มกราคม โดยนายคัสซิม อัล-รีมี ผู้นำของกลุ่มกล่าวว่า การโจมตีเป็นความโง่ครั้งใหม่ของทำเนียบขาว ซึ่งสมควรที่จะได้รับการตบหน้าอย่างเจ็บปวดสักฉาด

รุมจวกส.ส.มาเลย์ความเห็นเป็นอันตราย ให้เหยื่อแต่งงานกับคนข่มขืนแก้ปัญหาสังคม

บีบีซีรายงานว่า นายชาบูดิน ยาฮายา สมาชิกรัฐสภามาเลเซียจากพรรคแนวร่วมแห่งชาติ หรือบาริซานเนชั่นแนล (บีเอ็น) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลมาเลเซีย จุดชนวนให้เกิดความโกรธแค้นไปทั่วประเทศจากการกล่าวแสดงความคิดเห็นว่า เป็นเรื่องยอมรับได้ที่ผู้ที่ก่อเหตุข่มขืนจะแต่งงานกับเหยื่อ และเด็กหญิงที่อายุ 12 ขวบบางราย “มีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ” ที่จะแต่งงานได้

ทั้งนี้ มาเลเซีย ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม เพิ่งจะผ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศต่อเยาวชน ที่แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ระบุห้ามการแต่งงานของเด็ก แต่ก็ไม่ได้รับการบรรจุไว้ โดยยังคงเป็นเรื่องถูกกฎหมายสำหรับชาวมุสลิมอายุต่ำกว่า 16 ปี ที่จะแต่งงานได้ภายใต้เงื่อนไขบางอย่างในมาเลเซีย

นายชาบูดิน กล่าวระหว่างการอภิปรายร่างกฎหมายฉบับดังในรัฐสภาว่า แม้การข่มขืนจะถูกถือว่าเป็นความผิดในคดีอาญา แต่ทั้งผู้ข่มขืนและเหยื่อควรจะได้รับโอกาสครั้งที่ 2 เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่

“บางทีด้วยการแต่งงาน พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้น และคนที่ถูกข่มขืนก็ไม่จำเป็นต้องมีอนาคตที่ย่ำแย่มืดมนแต่อย่างใด” นายชาบูดินกล่าวและว่า “อย่างน้อยเธอก็ได้มีสามี และนี่อาจเป็นหนทางแก้ปัญหาสังคมที่กำลังเพิ่มมากขึ้น”

นอกจากนี้นายชาบูดินยังกล่าวด้วยว่า เด็กบางคนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจที่จะสามารถแต่งงานได้

นายชาบูดินกล่าวว่า “เด็กผู้หญิงบางคนที่อายุระหว่าง 12-15 ปี มีร่างกายที่เหมือนผู้หญิงอายุ 18 ปี”

เขากล่าวภายหลังว่า คำพูดของเขาถูกยกมาโดยไม่ได้อ้างอิงกับบริบทที่แท้จริง แต่ยังคงคัดค้านการทำให้การแต่งงานในเด็กเป็นความผิดทางอาญา เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายอิสลามหรือชารีอะห์

ด้านน.ส.ชาร์มิลา เซคารัน ประธานองค์กรพัฒนาเอกชน มาเลเซียส์ วอยซ์ ออฟ ชิลเดรน ระบุว่า คำกล่าวของนักการเมืองคนดังกล่าวเป็นอันตรายและล้าหลัง แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าวิตกสำหรับเด็กผู้หญิงในมาเลเซีย