ข่าว
ออกมาแล้ว!'AAIB'ระบุชัด เหตุเครื่อง'เจ้าสัววิชัย'เกิดอุบัติเหตุ

14 พ.ย.61 สำนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุทางอากาศของอังกฤษ หรือ เอเอไอบี The Air Accidents Investigation Branch (AAIB) เปิดเผยถึงสาเหตุจากเฮลิคอปเตอร์ ตกหน้าสนามเลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้นายวิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ และคณะผู้โดยสารกับนักบินเสียชีวิต 5 รายว่า เครื่องยนต์ไม่ตอบสนองคำสั่งของนักบิน

“เฮลิคอปเตอร์ ไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับคำสั่ง เพราะนัดบินมีคำสั่งไปทางซ้าย แต่เครื่องกลับไปทางขวา ส่วนสาเหตุของการสูญเสียการควบคุมที่แน่ชัดจะดำเนินการสอบสวนต่อไป” เอเอไอบี ระบุ

เอเอไอบี ได้ทำงานร่วมกับตำรวจเลสเตอร์เชียร์ และบริษัทเลโอนาร์โด เอสพีเอ ผู้ผลิตเฮลิคอปเตอร์รุ่น AW 169 ลำที่ประสบอุบัติเหตุตก

สำหรับเฮลิคอปเตอร์ที่ประสบอุบัติเหตุ คือรุ่นชื่อเต็มว่า Agusta Westland AW169 ถือเป็นฮ.รุ่นใหม่ สมรรถนะกลาง เริ่มบินเชิงพาณิชย์ในปี 2014 และได้ใบรับรองให้จำหน่ายในสหรัฐอเมริกาเมื่อที่แล้ว มียอดซื้อทันทีถึง 150 ลำ นับว่าเป็นอีกรุ่นที่ประวัติความปลอดภัยสูง ใช้รับส่ง VIP และภารกิจกู้ชีพ

สำหรับทะเบียนของเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวคือ G-VSKP เป็นชื่อย่อต่อจากG-คือทะเบียนของเครื่องบินในสหราชอาณาจักร,VS-Vichai Srivaddhanaprabha และ KP-King Power

แฟนเลสเตอร์มหาศาลเดินขบวนสดุดีคุณวิชัย

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันที่ 10 พ.ย. สื่อดังประเทศอังกฤษนำโดย เดลี เมลล์ เปิดเผยภาพแฟนบอลเลสเตอร์ ซิตี้หลายชีวิตออกจากบ้านมาเดินขบวนเป็นเกียรติสดุดีให้กับเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของทีมที่เสียชีวิตจากเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก

เจ้าสัววิชัยเข้ามาทำให้เมืองเลสเตอร์จดจำด้วยการพาทีมจิ้งจอกสยามสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อย่างเหลือเชื่อ แม้ว่าชีวิตของท่านจะไม่อยู่แต่เชื่อได้เลยว่าไม่มีแฟนบอลเลสเตอร์ ซิตี้คนไหนลืมวีกรรมที่ท่านทำไว้แน่นอน

ก่อนเกมพรีเมียร์ลีกวันที่ 10 พ.ย. ที่เลสเตอร์ ซิตี้ จะเปิดสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดียม พบกับ เบิร์นลีย์ แฟนบอลเลสเตอร์มากกว่า 5 พันคนได้รวมตัวที่จตุรัสจูบิลีเดินขบวนสดุดีให้กับเจ้าของทีมที่สิ้นใจมายังสนามเหย้าของพวกเขา ซึ่งภายในงานมีแฟนเลสเตอร์บางกลุ่มถือธงชาติไทยเป็นเกียรติให้กับเจ้าของทีมรายนี้ นอกจากนี้แล้วสองนักเตะของเลสเตอร์ ซิตี้ อย่าง เจมส์ แม็ดดิสัน และ แฮร์รี แม็คไกวร์ ก็ขอมาแจมร่วมงานเดินขบวนด้วย


สิ้นแล้ว! “คัทลียา นุดล” เจ้าของคอลัมน์ “คัทลียาจ๊ะจ๋า”

วงการสื่อสารมวลชนไทยต้องสูญเสียบุคลากรมีค่าไปอีก 1 คน โดยเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 10 พ.ย.2561 อดีตคอลัมนิสต์ข่าวสังคมไฮโซชื่อดัง “คัทลียา นุดล” ซึ่งเคยเขียนคอลัมน์ “คัทลียาจ๊ะจ๋า” ในหน้าสตรีของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้อ่าน จนได้รับการโหวตให้เป็นคอลัมนิสต์ข่าวสังคมชั้นสูง ผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคได้เสียชีวิตลง

ทั้งนี้ คัทลียา ได้ล้มป่วยเมื่อประมาณ 8 ปีก่อน จนต้องพักรักษาตัว โดย นสพ.ไทยรัฐ ได้ให้การดูแลมาตลอด แต่อาการก็ไม่ดีขึ้นและทรุดลงเรื่อยๆ จนเมื่อวันที่ 10 พ.ย. อดีตคอลัมนิสต์คนดังก็ได้สิ้นลมอย่างสงบหลังจากนอนรักษาตัวมาหลายปี ด้วยโรคอัลไซเมอร์ และเบาหวาน รวมสิริอายุ 67 ปี

สำหรับประวัติของ คัทลียา นุดล เป็นชาวนครศรีธรรมราช จบจากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย และจบปริญญาตรีสาขาวิชาการสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเริ่มทำงานเป็นครั้งแรกที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เมื่อปี 2517 ด้วยหน้าที่เลขานุการของนักหนังสือพิมพ์รุ่นเก่า จากนั้นปรับเปลี่ยนมาช่วยงานในหน้าสังคม หน้า 4 นสพ.ไทยรัฐ ทำหน้าที่คัดเลือกภาพ บรรยายภาพ พร้อมกับทำหน้าที่นักข่าวบันเทิงไปด้วย ประมาณ 8 ปี ผ่านการทำข่าวหลายแผนกข่าวคือ ข่าวการเมือง _ฟและข่าวบันเทิง กระทั่งต่อมาได้มีโอกาสเป็นผู้เขียนคอลัมน์ซุบซิบ แทนเจ้าของคอลัมน์เดิม โดยมีชื่อคอลัมน์ของตัวเองว่า “คัทลียา จ๊ะจ๋า” โดยใช้นามปากกาว่า “คัทลียา” จนกระทั่งล้มป่วยลงเมื่อ 8 ปีก่อน

ระหว่างป่วย คัทลียา นุดล ได้เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายแห่ง เช่น รพ.เปาโล และ รพ.ทหารผ่านศึก แต่ช่วงสุดท้ายคัทลียามีอาการทรุดลง เข้าออก รพ.ตลอด จนครั้งสุดท้ายมีอาการเหนื่อยหอบ ลูกชายจึงนำส่ง รพ.เปาโลเมื่อช่วงบ่ายวันเดียวกันนี้ และเสียชีวิตในช่วงบ่ายสอง โดยลมหายใจแผ่วไปเองด้วยความสงบ ขณะนี้ร่างอยู่สถาบันนิติเวช รพ.ตำรวจ โดยคัทลียาจะมีอายุครบ 67 ปีในวันที่ 15 พ.ย.นี้ และนอกจากนามปากกา “คัทลียา” แล้ว ยังใช้นามปากกาว่า “ป้อม ดอยปุย” เขียนถึงการใช้ชีวิตครอบครัว ซึ่งได้รับความนิยมอย่างสูงเช่นกัน


“ศรีสะเกษ” แต่งแล้วจ้า...สัญญาดูแล “น้องจ๋า” ให้ดีที่สุด

เมื่อช่วงเช้าวันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน 2561 มีพิธีแต่งงานระหว่าง ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น กับ “น้องจ๋า” พรพิมล สารแก้ว ที่บ้านของ นายดาบุด นางสูงยืน สารแก้ว คุณพ่อ-คุณแม่ฝ่ายหญิง ตำบลวังตะกอ อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร โดยพ่อแม่และครอบครัวฝ่ายแชมป์โลก ซูเปอร์ฟลายเวต สภามวยโลก WBC เข้าร่วมด้วย

ซึ่ง ศรีสะเกษ ที่หอบเงินสดจำนวน 3 ล้านบาท และทองคำ 20 บาท เป็นค่าสินสอดครั้งนี้ กล่าวว่า จากนี้ไปสัญญาว่าจะดูแลน้องจ๋าให้ดีที่สุด และรู้สึกยินดีที่วันนี้มาถึง และหลังจากนี้จะกลับไปฝึกซ้อมเพื่อทำหน้าที่ป้องกันแชมป์โลกให้ได้นานที่สุด

ขณะที่ “น้องจ๋า” กล่าวว่า ตนเองจะทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุด และจะเป็นกำลังใจคอยสนับสนุนแหลม ศรีสะเกษ ให้รักษาแชมป์โลกไว้ให้ได้นานๆ


"ธนาธร" ยิงแสกหน้า "ระบอบทักษิณ - เผด็จการ คสช."

ครั้งแรกของ "ธนาธร" กับการวิพากษ์ "ระบอบทักษิณ" เทียบ "ระบอบเผด็จการ" ให้เห็นแบบจะจะ ย้ำชัดสิ่งที่เกิดขึ้นใน "รัฐบาลทักษิณ" คือการบริหารแบบ “ลุแก่อำนาจ” มากเกินไป ทั้งยังทำให้ประชาชนเสพติด “นโยบายขายฝัน” แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังดูเป็น "ระบอบอำนาจนิยม" น้อยกว่า "รัฐบาล คสช." ทุกวันนี้อยู่ดี

"ผมไม่ได้คิดว่าประเทศไทยจะต้องขึ้นอยู่กับ...คุณทักษิณ...ผมไม่เคยตั้งคำถามกับศักยภาพของประเทศเลยว่า จะไปต่อข้างหน้าไม่ได้ เวลาไม่ได้รอใคร เราคงมองย้อนกลับไปหา...อดีต...ไม่ได้หรอกครับ"

"ถ้าเราเชื่อว่าคอร์รัปชันแก้ได้ด้วยการตรวจสอบ มีความโปร่งใส ถามว่าองค์กรไหนที่ไม่มีการตรวจสอบมากที่สุด องค์กรไหนในประเทศไทยที่ไม่มีความโปร่งใสมากที่สุด คำตอบก็คือ...กองทัพ...

แล้วคุณจะให้คนที่ไม่เคยถูกตรวจสอบเลยโดยประชาชน เข้ามาจัดการคอร์รัปชันได้เหรอ ตอบคำถามเรื่อง...นาฬิกา...ให้ชัดเจนก่อน ก่อนที่จะพูดเรื่องอื่น"


“หมวดเจี๊ยบ” จวก “ธนาธร” อย่าเอาดีใส่ตัว

ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ที่ได้ตอบคำถามการสัมภาษณ์ของสื่อออนไลน์แห่งหนึ่งถึงแนวคิดและแนวทางการทำงานการเมือง โดยวิพากษ์วิจารณ์การบริหารประเทศของรัฐบาลในอดีตที่ประกาศทำสงครามกับยาเสพติด จนทำให้มีคนล้มตายจำนวนมาก ว่า อันที่จริงนายธนาธรในวันนั้นก็เป็นเด็กคนหนี่งที่ฟังข่าวจากสื่อแล้วเชื่อตามโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเรื่องราวจริงๆ คืออะไร ใครอยู่เบื้องหลังและเป็นคนสร้างปัญหาจนทำให้คนตาย ซึ่งก็คงไม่มีใครอยากเห็นคนไทยด้วยกันตาย แต่ นายธนาธร คงจะอ่านแต่ข่าวที่ออกมาเท่านั้น

“คำพูดของคุณธนาธร สวนทางกับคำพูดที่ประกาศตัวว่าเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งสังคมคาดหวังว่าจะได้ยินได้ฟังแต่เรื่องที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน คุณธนาธร ควรจะเอาเวลาไปอธิบายว่าพรรคของคนรุ่นใหม่มีนโยบายที่ดีอย่างไร แล้วจะลงมือทำได้จริงหรือไม่และด้วยวิธีใด ที่สำคัญ จุดยืนของพรรคอนาคตใหม่เกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างไรกันแน่ เช่น ควรจะสนับสนุนนักร้องที่ไปทำงานให้รัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจหรือไม่ ดังนั้น คุณธนาธร ควรรีบไปอธิบายแฟนคลับของพรรคตัวเองให้เข้าใจก่อน ก็จะดีกว่ามานั่งวิพากษ์วิจารณ์คนนั้นคนนี้” ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าว

ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวอีกว่า ในเมื่อวันนี้ นายธนาธร มีความตั้งใจผันตัวเองจากการเป็นนักธุรกิจเข้าสู่การเป็นนักเมืองอย่างเต็มตัวแล้ว ก็ควรวางตัวให้เหมาะสม ควรพูดจาให้น่าเชื่อถือ และควรจะทำตัวให้สมกับเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ซึ่งก้าวพ้นไปจากการเมืองที่ใช้วาทกรรมเอาดีใส่ตัวฝ่ายเดียว แต่ควรจะคิด พูด และเดินหน้าไปสู่อนาคตใหม่ดีกว่า


'มาร์ค'ลั่น! พร้อมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พาคนไทยขึ้นสู่ยอดเขาให้ได้

11 พ.ย.61 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปิดการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 2/2561 ของพรรคฯ ว่า ตนขอบคุณกรรมการบริหารพรรคชุดที่หมดวาระไป เพราะทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยภายใต้สภาวะการเมืองที่ไม่ปกติ ต้องรักษาพรรค ท่ามกลางคำสั่งห้ามทำกิจกรรมการเมือง ห้ามรับบริจาคเงินจากประชาชนทั่วไป โดยพยายามรักษาสำนักงาน สาขา และเจ้าหน้าที่ทุกคน รวมถึงบทบาทจุดยืนทางการเมืองพรรค โดยที่ไม่สามารถประชุมได้เลย

สำหรับตนที่ได้มายืนแบบนี้เป็นครั้งที่ 5 แต่เหมือนเป็นครั้งแรก เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ผ่านกระบวนการประวัติศาสตร์ที่สร้างให้การเมืองไทย เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของพรรคการเมืองไทยที่พรรคประชาธิปัตย์พิสูจน์ว่าเป็นผู้นำ และเป็นการพิสูจน์ว่าพรรคเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงโดยไม่ได้เอาประชาธิปไตยมาอ้าง ด้วยการปฏิบัติตัวเป็นประชาธิปไตย ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ตนพูดกับสมาชิกว่าเหมือนตนมาสมัครงานใหม่ ไม่เหมือนหลายครั้งที่ได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมใหญ่ไม่กี่ร้อยคน แต่ครั้งนี้ต้องพบสมาชิกทั่วประเทศ มีการแข่งขันอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่หลายคนไม่เชื่อบอกเป็นการแข่งกันเล่นๆ แข่งกันหลอกๆ แต่เราพิสูจน์แล้วว่าเราเป็นพี่น้องที่เห็นต่างกันได้ และเสนอความคิดแข่งขันกัน จึงขอขอบคุณผู้สมัครทั้ง 2 คน คือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และนายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ทำให้กระบวนการนี้ศักดิ์สิทธิ์ รวมถึงขอบคุณ กกต.พรรค และทุกคนที่ทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อย แม้ว่าระหว่างทางจะสะดุดหลายครั้ง โดยบางครั้งก็มีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เจ้าหน้าที่ก็รองรับอารมณ์เพื่อรักษากระบวนการนี้ให้สำเร็จ

‘หลานชายผมตายอย่างนักรบ’ ลุงของนักมวยไทยวัย13 ดับคาเวที เปิดใจกับสื่อดังมะกัน

15 พ.ย. 2561 สำนักข่าว CNN สหรัฐอเมริกา นำเสนอข่าว “Death of 13-year-old fuels debate over Muay Thai kickboxing competitions” ว่าด้วยกรณี อนุชา ทาสะโก (Anucha Tasako) นักมวยไทยวัย 13 ปี เสียชีวิตคาเวทีขณะขึ้นชกเมื่อ 10 พ.ย. ที่ผ่านมา ณ จ.สมุทรปราการ ประเทศไทย ซึ่งผลชันสูตรชี้ว่าเกิดจากภาวะเลือดคั่งในสมอง ก่อให้เกิดประเด็นถกเถียงในสังคมไทยเกี่ยวกับการให้เด็กอายุน้อยๆ ขึ้นชกมวยอีกครั้ง ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า นักมวยบางคนขึ้นชกครั้งแรกตั้งแต่อายุ 8 ขวบ

รายงานข่าวอ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ของ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ (Weerasak Kowsurat) รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาของไทย ที่กล่าวถึงร่างกฎหมายกีฬามวยฉบับใหม่ซึ่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีขึ้นชกโดยเด็ดขาด ส่วนอายุ 12 - 15 ปีให้ชกได้แต่ต้องสวมใส่อุปกรณ์ลดความรุนแรง ซึ่งจะช่วยไม่ให้เกิดเหตุสลดเช่นนี้อีก ว่าจะรีบส่งร่างกฎหมายให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยเร็วที่สุด

แต่อีกด้านหนึ่ง ดำรงค์ ทาสะโก (Damrong Tasako) ลุงของอนุชา กล่าวกับ CNN ว่า “หลานชายผมตายอย่างนักรบ เขาเป็นนักสู้ (He died like a warrior. He was a fighter.)” โดยอนุชา อยู่กับลุงตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ที่ จ.กาฬสินธุ์ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และเริ่มฝึกชกมวยไทยตั้งแต่อายุราวๆ 7 - 8 ขวบ ซึ่งดำรงค์ระบุว่าหลายชายของเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์มาก

ลุงของนักมวยวัย 13 ปีผู้เสียชีวิตรายนี้ เล่าต่อไปว่า การชกครั้งแรกของอนุชาเริ่มต้นเมื่ออายุ 8 ขวบ และการชกที่ได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกได้เงินมา 9 เหรียญสหรัฐ (หรือ 300 บาท) ส่วนการชกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อ 10 พ.ย. 2561 มีเงินรางวัล 80 เหรียญสหรัฐ (หรือ 2,000 บาท) โดยดำรงค์ กล่าวว่าเหตุที่หลานชายฝึกฝนมวยไทยเพราะอยากหาเงินไปซื้อสิ่งของต่างๆ นอกจากนี้ยังฝันว่าสักวันหนึ่งจะชนะการแข่งขันในเวทีลุมพินีหรือราชดำเนิน อันเป็น 2 สนามมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของไทย อีกทั้งยังอยากเข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยของทหารด้วย

รายงานของ CNN ยังกล่าวถึงความพยายามของนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิเด็กและแพทย์ที่ต้องการแก้ไขกฎหมายกีฬามวยมาตลอดแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ อาทิ วิทยา สังขรัตน์ (Witaya Sungkarat) แพทย์และหัวหน้าโครงการวิจัยเกี่ยวกับนักมวยเด็ก โดยมหาวิทยาลัยมหิดล (Thai Child Boxers Research Project , Mahidol University) กล่าวว่า การเสียชีวิตของอนุชาจุดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม วิทยายืนยันว่าไม่มีจุดประสงค์ที่จะห้ามการชกมวยทั้งหมด เพียงแต่ไม่อยากให้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีบาดเจ็บจากการถูกกระทบกระเทือนที่ศีรษะเท่านั้น พร้อมทั้งระบุว่าทีมวิจัยได้สแกนสมองของเด็กที่ชกและไม่ชกมวย ซึ่งพบความแตกต่างด้านพัฒนาการของเด็กทั้ง 2 กลุ่มกันอย่างชัดเจน