ข่าว
สาวกำพร้าท้า "เณรคำ" พิสูจน์ดีเอ็นเอลูกชาย

เมื่อ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ว่า จากกรณีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งพร้อมสามีได้เข้าร้องเรียนสื่อมวลชนว่า ตนเคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระชื่อดังรูปหนึ่งของ จ.ศรีสะเกษ และมีลูกชายด้วยกัน 1 คน เพื่อเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงได้เดินทางไปที่บ้านของหญิงสาวคนดังกล่าว เมื่อไปถึงพบ น.ส.อ้อย (นามสมมติ) อายุ 27 ปี และ ด.ช.โหน่ง (นามสมมติ) อายุ 11 ปี น.ร.ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ร.ร.ประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ใน จ.ศรีสะเกษ กำลังนั่งเล่นอยู่ในบริเวณข้างบ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.น้ำเกลี้ยงมาคอยดูแลความสงบเรียบร้อย

น.ส.อ้อย กล่าวว่า ตนเป็นลูกกำพร้าอาศัยอยู่กับยาย พอช่วงเรียนระดับชั้น ม.2 ได้ไปทำบุญกับยายที่บริเวณที่พักสงฆ์แห่งหนึ่งริมห้วยสำราญ ต.โพธิ์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ได้พบกับพระชื่อดังและได้เข้ามาจีบตน จากนั้น พระชื่อดังได้ขับรถเก๋งมารับตนไปเที่ยวด้วยกัน และได้มีความสัมพันธ์กันบนรถ จากนั้นก็ได้มีเพศสัมพันธ์กันเรื่อยมา จนกระทั่งตนได้ตั้งท้อง และเรียนจบชั้น ม.3 พระชื่อดังจึงได้พาตนไปเช่าบ้านพักอยู่ที่ อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี โดยพระดังก็ได้แวะเวียนไปนอนกับตนที่บ้านเช่าเป็นประจำ และได้ให้คนขับรถคนสนิทพากันไปคลอดบุตรที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน จ.อุบลราชธานี โดยได้ใช้ชื่อญาติของตนคนหนึ่งมาเป็นพ่อของเด็กที่เกิดขึ้นมา

หลังจากที่คลอดลูกแล้ว จากนั้นได้กลับมาพักอาศัยอยู่กับยายและญาติพี่น้อง ซึ่งพระชื่อดังก็ส่งเงินมาให้เป็นค่าเลี้ยงดูลูกชายทุกเดือน แต่ว่าไม่สม่ำเสมอต้องทวงถามค่านมลูกเป็นประจำ และก่อนหน้านี้มีเรื่องดังขึ้นมา พระดังก็ได้พาตนไปเช่าบ้านอยู่ที่กรุงเทพฯ พอเรื่องเงียบก็ให้ตนกลับมาอยู่บ้าน และต่อมาพระชื่อดังก็หายเงียบไปนานประมาณ 6 เดือน ตนจึงได้นำเรื่องไปร้องที่กองปราบปราม กรุงเทพฯ รวมทั้งตนกับลูกเคยพากันไปตรวจดีเอ็นเอที่ รพ.แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ไว้แล้ว ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พระชื่อดังมารับผิดชอบดูแลตนกับลูก และต่อมาพระชื่อดังได้ให้ลูกศิษย์คนสนิทที่เป็นตำรวจมาเคลียร์ปัญหาและจ่ายเงินให้ก้อนหนึ่งและจ่ายเงินค่าเลี้ยงลูกรายเดือนๆ ละ 10,000 บาท ตนจึงได้ถอนแจ้งความที่กองปราบปราม

น.ส.อ้อย กล่าวด้วยว่า จนกระทั่งขณะนี้ ลูกชายของตนอายุได้ 11 ปี วันนี้ตนไม่ได้ให้ลูกไปเรียนหนังสือ เนื่องจากเกรงว่าลูกของตนจะถูกอุ้มหายไป เพราะว่าพระชื่อดังมีลูกศิษย์ที่มีอิทธิพลมากหลายคนการที่ตนออกมาร้องกับสื่อมวลชนในครั้งนี้ เนื่องจากว่า พระชื่อดังไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูลูกมาให้ตนนาน 2 เดือนแล้ว ล่าสุดลูกศิษย์พระชื่อดังที่เป็นตำรวจทางหลวงโอนเงินมาให้ตน 2,000 บาทเท่านั้น ทำให้ตนกับลูกได้รับความเดือดร้อนมาก โดยขณะนี้ตนมีสามีใหม่แล้ว และมีลูกกับสามีใหม่อีก 1 คน อายุประมาณ 4 เดือน ตนจึงอยากให้พระชื่อดังออกแสดงความรับผิดชอบส่งเงินค่าเลี้ยงดูมาให้ตนเช่นเดิมด้วย เพราะว่าลูกชายของพระชื่อดังกำลังโตและต้องใช้เงินในการศึกษาเล่าเรียนหนังสือรวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่นในชีวิตประจำวันด้วย

และหากพระชื่อดังไม่เชื่อว่า ลูกชายของตนเป็นลูกของพระชื่อดังจริง ก็พร้อมที่จะพิสูจน์ดีเอ็นเอ โดยขอให้พระชื่อดังนัดวันเวลามาเพื่อที่จะไปให้แพทย์ตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอ ตนช้ำใจมากที่ผู้หญิงคนอื่นๆ ได้เงินทองจากพระชื่อดังมากมาย แต่ว่าตนซึ่งมีลูกด้วยกันกับพระชื่อดังแท้ๆ แต่ว่าต้องมีความเป็นอยู่อย่างยากลำบาก ขณะที่ผู้หญิงคนอื่นของพระชื่อดังมีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ตนจึงขอเรียกร้องให้พระชื่อดังออกมาส่งเงินค่าเลี้ยงดูให้กับตนและลูกด้วย ซึ่งตนจะขอความช่วยเหลือไปยังมูลนิธิปวีณา เพื่อขอให้ช่วยเหลือตนในเรื่องนี้ด้วย และตนขอให้ตำรวจ สภ.น้ำเกลี้ยง มาดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับตนและครอบครัวด้วย เนื่องจากว่า ขณะนี้ตนเกรงกลัวอิทธิพลของพระชื่อดังมาก เกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัยนั่นเอง

"เฉลิม" กังขาโดนลดชั้นนั่งแรงงาน โวย "แก๊งไอติม" เต็มทำเนียบรัฐบาล

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อดีตรองนายกฯ ซึ่งถูกโยกย้ายมาเป็นรัฐมนตรีแรงงาน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 ก.ค. 56 หลังเข้ารับตำแหน่งใหม่ที่นักวิเคราะห์การเมืองมองว่าเป็นการโดนลดชั้น เมื่อก่อนเป็น สร. 2 แต่ตอนนี้ตั้งฉายาเรียกตัวเองว่า จับกัง 1 ตนให้เกียรติหน่วยงาน และไม่เคยพูดว่ากระทรวงแรงงานเป็นกระทรวงเกรดบี ซี หรือดี เพราะนั่นมันเป็นนิสัยนักการเมืองชาติชั่ว มองกระทรวงเป็นเกรดแสดงว่ามาหากิน

ไม่มีสิทธิน้อยใจที่นายกฯ ปรับออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แต่อายุ 66 ปี เล่นการเมืองมา 30 ปี ก็มีสิทธิตั้งคำถามได้ว่าทำงานมา 2 ปี ผลการสำรวจความคิดเห็นคะแนนนิยมหากไม่นับนายกฯ ตนก็เป็นที่หนึ่งมาโดยตลอดของโพลล์ทุกสำนัก ไม่มีตำหนิ ทำไมจึงถูกปรับย้าย

ยอมรับว่าที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเรื่องความไม่สงบชายแดนใต้ล้มเหลว ก็เพราะตนเพิ่งมารับหน้าที่เมื่อเดือน พ.ย. 55 ขนาดตนอยู่ในฐานะของ ผอ.ศปก.กปต. ไม่เคยได้รับรายงานการเจรจาการทำงานอะไร ไม่มีอำนาจสั่งการ จึงทำให้แก้ปัญหาไม่เสร็จมันเป็นเรื่องยาก แล้วสื่อก็พยายามตั้งคำถามแต่ว่าจะลงใต้ตอนไหนเมื่อไหร่

"มันมีกระบวนการทำลายผมมาตลอด เริ่มตั้งแต่ที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีต ส.ว.สรรหา ไปยื่นตรวจสอบรถหรูเป็นต้นมา พอผมพ้นออกจากรองนายกฯ ก็มากระแหนะกระแหนกันว่าไหนว่าเป็นขุนศึกนายกฯ สื่อก็ชอบไปบอกว่าผมไปอาศัยพรรคเพื่อไทย มันก็ใช่ แต่ไม่ได้อาศัยเพียงอย่างเดียว ผมช่วยลงพื้นที่ปราศรัยพื้นที่ภาคอีสาน จ.บุรีรัมย์ จ.ศรีษะเกศ พื้นที่ของภูมิใจไทย จนชนะได้บางส่วน ก็ไม่เคยได้รับดอกไม้จากพรรคสักดอก ก็ไม่เป็นไรเพราะไม่เคยต้องการอยู่แล้ว แต่พอผมช่วยหาเสียงแล้วแพ้คนในพรรคออกมาว่าผมว่าหาเสียงเพื่อผูกพัน พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวมากเกินไป ไอ้คนที่พูดก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ตอนนี้ จึงอยากเห็นว่าไอ้พวกที่ก้าวพ้นทักษิณ ได้จะเป็นยังไง สมัยรัฐบาลนายกฯ สมัคร สุนทรเวช มีไอ้พวกแก็งออฟโฟร์ สมัยนี้ทำเนียบรัฐบาลเต็มไปด้วยแก๊งไอติม มันจะทำให้รัฐบาลเดินหน้าไม่ได้ ผู้นำทางการเมืองต้องมีเสือตาม ถ้ามีหมาตามมันทำอะไรไม่ได้ จากนี้ไปนายกฯจะเจอกับขวากหนาม" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นับจากนี้กระทรวงแรงงานจะเป็นเกรดเอบวก ยังไงๆ ก็จะอยู่กระทรวงแรงงาน ตนไม่ไปไหนหรอกเพราะนามสกุล อยู่บำรุง กระทรวงแรงงานเหมือนเงาะยังไม่ถอดรูป ดังนั้นจึงต้องเพิ่มภารกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโปร่งใสตรวจสอบได้ไร้ทุจริต ทุกสถานที่ประกอบการต้องเป็นพื้นที่ความรักนายจ้างลูกจ้าง ปราศจากยาเสพติดทุกชนิด เป็นโรงงานสีขาว และจะทำให้อานารยะประเทศยอมรับเมืองไทยที่ต่อไปจะไม่มีการค้ามนุษย์ อีกทั้งยังต้องเพิ่มศักยาภาพในการทำงานเพื่อรองรับต่อการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 ต้องฝึกภาษาให้เก่งปรับตัวให้ได้ต่อการเคลื่อนไหวแรงงานข้ามชาติ นอกจากนี้โครงการหรือนโยบายอะไรที่ นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีตรมว.แรงงาน ทำไว้ก็จะทำต่อ

บ่ายวันนี้จะเดินทางไปเที่ยวที่ฮ่องกง ก็ไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่หรือไม่ เพราะไม่ได้ไปวิ่งเต้นอะไร เข้าใจนายก ท่านเป็นผู้นำประเทศ ดุลยพินิจในการปรับเปลี่ยนเป็นสิ่งชอบธรรม นอกจากนี้ วันที่ 8 ก.ค. ก็มีนัดผ่าตัดต้อกระจก วันที่ 9 ก.ค. ก็ต้องไปตรวจ ต้องลาประชุมครม.สัปดาห์หน้าอีก ต้องบอกก่อนเดี๋ยวสื่อไปรายงานบิดเบือนหาว่าหนีประชุมอีก

'เจ้าพ่อแก๊งไอติม'ยุคนายกฯหญิงที่คาใจ”เหลิม”

กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองยามนี้ไปเสียแล้ว สำหรับคำว่า "แก๊งไอติม" คณะใหม่ที่หลุดมาจากปากและหัวใจของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมที่ผ่านมา

คำถามคือแก๊งนี้คือแก๊งอะไร? คำตอบคือ คนการเมืองรุ่นใหม่-รุ่นกลาง-รุ่นใหญ่ที่อยู่แวดล้อมผู้นำประเทศและมีอิทธิพลในการตัดสินใจหลายเรื่อง และอาจส่งผลเสียกับคนวงนอกจำนวนมาก

ภาพแก๊ง-ก๊วนทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้น สังคมไทยน่าจะรู้จักกับ "แก๊งออฟโฟร์" ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช โดยสมาชิกในแก๊งนี้คือ นายเนวิน ชิดชอบ แกนนำกลุ่ม ส.ส.อีสานและ นปก. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ) สมัยรัฐบาลพลังประชาชน, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง, นายสหัส บัณฑิตกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และนายธีระพล นพรัมภา อดีตเลขาธิการรัฐมนตรี แม้ว่าบุคคลที่โดนกล่าวอ้างในเรื่องดังกล่าวจะปฏิเสธฉายาเหล่านี้ แต่คนการเมืองในขั้วรัฐบาลยามนั้น สรุปตรงกันว่าสี่คนนี้มีอิทธิพลสูงในการตัดสินใจทางการเมืองของนายสมัครยิ่งนัก จนหลายคนเคยระบุว่าสายตรงจากแดนไกลยามนั้นมิสามารถสั่งการนายสมัครได้แม้แต่น้อย โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะการร่วมตัดสินใจของแก๊งสี่คนนี้

ต่อมาคือ "แก๊งไอติม 1" สมัยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยประกอบไปด้วย นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย อดีต รมต.สำนักนายกฯ นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอิสรา สุนทรวัฒน์ หรือจะนับนายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลังไว้ด้วยก็ได้ และสมาชิกส่วนใหญ่ของแก๊งนี้มิได้ปฏิเสธฉายาของแก๊งไอติมเลย

ส่วน "แก๊งไอติม 2" รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น น่าจะประกอบไปด้วยคนวงในตึกไทยคู่ฟ้า เช่น นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีและทีมงาน เช่น โฆษกรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เจ้าของเครือแสนสิริที่ควงคู่ตบเข้าขั้วอำนาจร่วมกับ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง หรืออาจจะผนวก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการ ศอบต. ซึ่งเฉลิมเพิ่งจะฟาดงวงฟาดงาใส่เมื่อวันก่อนด้วยก็ได้

ก่อนหน้านี้ มีคนเรียก "คนวงใน" ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ว่าเป็น "แก๊งออฟโฟร์" แต่วันนี้ดูเหมือนเฉลิมลดเครดิตมาเป็นเพียง "แก๊งไอติม" เท่านั้น

จุดหมายของขาใหญ่บางบอนในการตั้งชื่อแก๊งไอติมคราวนี้และประกอบกับข้อเท็จจริงทางสังคมออนไลน์ตอนนี้นั้น ร.ต.อ.เฉลิมน่าจะพุ่งเป้าไปยัง "ชายร่างท้วม" มากที่สุด เพราะพลันที่คำพูดของร.ต.อ.เฉลิมเผยแพร่ไปทางสื่อ นายสุรนันทน์ซึ่งร่วมคณะกับนายกฯ ในการเยือนโปแลนด์-ตุรกีได้ส่งข้อความและภาพทางโซเชียลมีเดียทันที แม้เจ้าตัวจะอ้างว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับชายวัย 66 ปีก็ตาม และรัฐบาลนี้ไม่มีแก๊งไอติมตามที่ร.ต.อ.เฉลิมระบุ แต่ภาพการกินไอติมของนายสุรนันทน์และคณะที่แนบมาด้วยนั้น มันสื่อความอะไรที่มากกว่าคำพูดเสียด้วยซ้ำ

ประกอบกับการเช็กเสียงจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดงจำนวนมากได้สรุปตรงกันว่า วิธีการตัดสินใจต่างๆ นานาของรัฐบาลยามนี้นั้น นายกฯ รับฟังนายสุรนันทน์มากที่สุด เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่คนสองกลุ่มนี้เสนอไปนั้น นายกฯ รับทราบและพร้อมดำเนินการแต่นายกฯ ระบุว่าควรบรรจุในวาระงานตามขั้นตอนเพื่อลำดับความสำคัญ โดยการทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นคือภารกิจการคัดกรองของนายสุรนันทน์ ตรงนั้นเองที่ทำให้เกิดความไม่พอใจกันขึ้น เพราะนายสุรนันทน์มักจะตัดทิ้งเสียเกือบหมด

ขณะที่การปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 5 ในคราวนี้ก็เช่นกัน คนวงในจะรู้เรื่องนี้กันไม่กี่คน และคนเหล่านี้จะวิเคราะห์จุดดี-จุดด้อยของสูตรการปรับ ครม.เสนอนายกฯ และให้คะแนนบุคคลด้วยว่าใครดี-เด่น-ดังหรือควรดับประกอบการตัดสินใจ

ทำให้ใครหลายคนพุ่งเป้าและทิ้งน้ำหนักไปยัง "แก๊งไอติม" ว่ามีส่วนสำคัญในการร่วมปรับครม.พร้อมกับ คนแดนไกลและคู่ชีวิต-เจ๊ ด.-รวมทั้งนายกฯ ตรงนี้เองที่อาจสร้างความไม่พอใจให้ใครหลายคน และหนึ่งในความไม่พอใจนั้นคือร.ต.อ.เฉลิมที่กล้าออกมาเอ่ยปริศนาธรรมในคราวนี้

ข้อมูลลับบางด้านจากพรรคเพื่อไทยระบุว่า แม้นายสุรนันทน์จะอ้างว่ามาตามใบสั่งสายวังจันทร์ส่องหล้าให้มาช่วยงานนายกฯ ตรงนั้นถูกต้องส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ผิดไปมากคือการทำงานของนายสุรนันทน์นั้นมีการก้าวก่ายและล้วงลูกในหลายเรื่องจนเกิดความไม่พอใจสะสมจากทั่วสารทิศ

และตรงนี้คือที่มาของความไม่พอใจของขาใหญ่บางบอนที่มีต่อแก๊งไอติมยุคนี้ซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งภายในรัฐนาวาปัจจุบัน ท่ามกลางศึกนอกที่ถาโถมเข้ามาแบบไม่ยั้งมือ และตอนนี้กลับเกิดศึกในบ้านจากการจุดประเด็นร้อนๆ ขึ้นมาเพิ่มเติม

ความหนักใจนี้มิรู้ว่านายกฯ หญิงและรมว.กลาโหมคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยจะรับมือกับสารพันปัญหาอย่างไรให้รอดไปได้แบบเจ็บตัวน้อยที่สุด