ข่าว
ลอสแองเจลิส จ่าย $88 ล้าน คดีละเมิดทางเพศเด็กประถม

กลุ่มโรงเรียนนครลอสแองเจลิส (The Los Angeles Unified School District) จะจ่ายเงิน $88 ล้านดอลล่าร์ ให้กับนักเรียน 30 คน ที่ตกเป็นเหยื่อการทารุณกรรมทางเพศในโรงเรียนประถม 2 แห่งที่อยู่ภายใต้การปกครองของ LAUSD เพื่อชำระคดีความที่ก่อโดย นาย Paul Chapel III ครู ร.ร. TelFair Elementary School ในเมือง Pacoima และ นาย Robert Pimentel ครู ร.ร. George De La Torre Elementary School ในเมือง Wilmington

เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2015 คณะลูกขุนสั่งจ่าย $3 ล้านดอลล่าร์ ให้กับเหยื่อเด็ก2คน ที่โดนละเมิดทางเพศและนาย Chapel ถูกสั่งจำคุก 25 ปี ตั้งแต่ปี 2012 เนื่องจากเขาได้ละเมิดเด็กชายวัย 13 ปี เป็นเวลาถึงสี่ปีครึ่ง

นาย Pimentel ก็กำลังจำคุก โดยไม่ได้โต้คัดค้านข้อกล่าวหาลามกกับเด็ก

ทนายความกล่าวว่า 18คดี ที่รร De La Torre ถูกตัดสินให้ได้รับ $58 ล้านดอลล่าร์ ส่วน 12 คดีที่รร TelFair ถูกตัดสินให้ได้รับ $30 ล้านดอลล่าร์

โจทก์อ้างว่า LAUSD ปล่อยนักเรียนอยู่ในอันตรายเพราะ LAUSD บกพร่องในการตรวจสอบข้อกล่าวหาของการละเมิดนักเรียนทางเพศ ทนายของหนึ่งในเหยื่อกล่าวว่า การตัดสินสรุปเช่นนี้ เพราะมีหลักฐานมากมายที่ LAUSD ไม่สนใจสัญญาณเตือน รายงานของพนักงานและคำร้องเรียนของผู้ปกครองว่าผู้ชายทั้งสองคนนี้ละเมิดเด็กๆหลายสิบคนในห้องเรียน

LAUSD ออกแถลงความหลังถูกสรุปคดี ว่าทาง LAUSD ได้เปลี่ยนแปลงนโยบายและการปฏิบัติเพื่อที่จะปกป้องนักเรียนให้ได้ดีขึ้น ผู้อำนวยการ LAUSD กล่าว "ในขณะที่เรามีความภาคภูมิใจของขั้นตอนที่เราได้ทำ เราจะยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็งกับผู้ปกครองและชุมชนเพื่อให้มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยที่สุดที่เป็นไปได้ สำหรับนักเรียนของเรา ที่จะเรียนรู้และประสบความสำเร็จ"

เปิด’บันทึกก่อนสิ้นชีวิต’ดร.วันชัย ฆ่าได้หยามไม่ได้ ‘ไปลงนรกเถอะ’

ความคืบหน้าเหตุ ดร.วันชัย ดนัยตโมนุท อายุ 60 ปี อาจารย์ประจำวิทยาลัยการฝึกหัดครู สาขาการบริหารการศึกษา หลักสูตรปริญญาโท มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ยิง ผศ.ดร.พิชัย ไชยสงคราม อายุ 56 ปี ประธานสาขาวิชาบริหารการศึกษาบัณฑิตวิทยาลัย และ ดร.ณัฐพล ชุมวรฐายี 54 ปี ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เสียชีวิตในห้องเลขที่ 502 ชั้น 5 อาคารเรียนรวมและศูนย์วัฒนธรรม พุทธวิชชาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน หลังเกิดเหตุ ดร.วันชัย ขับรถยนต์ส่วนตัวหลบหนีไป เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมนั้น

ช่วงเวลาประมาณ 12.00 น. วันที่ 19 พฤษภาคม ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าล้อมจับ ดร.วันชัย บริเวณลานจอดรถโรงแรมสุภาพ ย่านสะพานควายนั้น พบว่า ดร.วันชัย ได้โยนเอกสารมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 ฉบับ ระบุหัวเอกสารว่า “บันทึกก่อนสิ้นชีวิต” เนื้อหาระบายความอัดอั้น เกี่ยวกับ ดร.พิชัย และ ดร.ณัฐพล ด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยทั้ง 2 ฉบับระบุว่า บันทึกที่เขียนขึ้นนี้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวก่อนที่ผม (นายวันชัย ดนัยตโมนุท) จะจบชีวิตลง ปฏิบัติการพลีชีพกำจัดคน….”

สำหรับบันทึกที่ระบุถึง ดร.พิชัย มีทั้งสิ้น 8 ข้อ อาทิ “1.มีการทำเอกสารเท็จร้องเรียนว่าผมไม่ได้ให้ความเป็นธรรมเรื่องเกรดกับนักศึกษา 2.มีการชักจูงยุยงนักศึกษาให้มาร้องเรียนผม 3.ผมเป็นกรรมการหลักสูตรสาขาการบริหารการศึกษาระดับ ป.โท มาตั้งแต่ปี 2552 แต่ถูกปลดจากการเป็นผู้สอนวิชาทฤษฎีและหลักการบริหารการศึกษา และไปเอาคนนอกที่ทำงานเอกชนมาสอนแทนผม เป็นการหยามหมิ่นเกียรติศักดิ์ศรีกันอย่างจงใจ คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้ 4.เมื่อเร็วๆ นี้ไปยื่นเรื่องเอาผิดผมเกี่ยวกับการศึกษาต่อในระดับ ป.เอก กับกองบริหารงานบุคคล เรื่องนี้เกิดขึ้นมา 10 กว่าปีแล้ว ปี 2547 ผมโอนย้ายมาลงที่ มรภ.พระนคร และสอบเรียน ป.เอก ได้ที่ ม.เกษตรศาสตร์ ผมมิได้ยื่นลาเรียนจากหน่วยเดิมคือสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ถ้าลาเรียนจะติดทุนทำให้โอนย้ายลำบาก ยุ่งยาก จึงลาพักร้อนไปเรียนอาทิตย์ละ 2 ครั้ง แต่กลับถูกขุดคุ้ยทั้งที่เรื่องจบไปเมื่อสิบกว่าปี ฯลฯ ผมจะจัดการมันตั้งแต่ปี 2557 แล้ว แต่ทำไม่ได้ เพราะยังเอาชนะสัญชาตญาณการมีชีวิตไม่ได้ ผมก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกันและยังไม่อยากตาย แต่ทำไงได้ มันสั่งสมมาหลายปี ผมพยายามอดทนมาหลายปี จนถึงจุดที่มันดูเป็นการหยามหมิ่นกันชัดแจ้ง คนเราฆ่าได้หยามไม่ได้ ไปลงนรกเสียเถอะ”

เอกสารอีกฉบับเป็นบันทึกที่ระบุถึง ดร.ณัฐพล ประธานสาขาบริหารการศึกษา รวม 9 ข้อ อาทิ “1.เมื่อครั้งผมเป็นแม่งานหลักการประชุมคณะกรรมการหลักสูตร เรื่องการวิจัยทางการบริหารการศึกษา โดยมีการเชิญนายณัฐพล และอาจารย์อีกคนหนึ่ง แต่นายณัฐพลไม่มาและมีการชักจูงให้อาจารย์คนดังกล่าวไม่มาร่วมงานด้วย ส่วนข้อ 2-7 เป็นการระบายความอัดอั้นเกี่ยวกับการสอบวิทยานิพนธ์ ระบุทำนองว่า ดร.วันชัย เป็นกรรมการสอบ แต่ไม่รู้ว่าสอบใคร เมื่อไร ที่ไหน เล่มวิทยานิพนธ์ไม่มีให้อ่าน รวมถึงมีการปลอมลายเซ็น ในรายงานด้วย ข้อ 8.ระบุทำนองว่าไปร่วมพิธีศพ แต่เป็นคนเดียวที่ไม่ได้เชิญขึ้นไปถวายดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสังฆทาน และ 9.มีอีกหลายเรื่องที่ถูกหยามหมิ่น เบียดเบียน ผมชัดแจ้ง คนเรา ฆ่าได้ หยามไม่ได้”

นอกจากนี้ ดร.วันชัย ได้เขียนข้อความสั้นๆ ด้วยว่า “โปรดติดต่อ คุณอัศวชัย พันธ์เกาะเลิ่ง พี่ชายผมมารับศพด้วย”


รพ.ค่ายภาณุรังษี ส่งหนังสือแจง “พระธัมมชโย” ไม่เคยมาตรวจ

เมื่อวันที่ 19 พ.ค. แหล่งข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ระบุว่า ดีเอสไอทำงานตามขั้นตอนของกฎหมายการขอศาลออกหมายจับพระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ในในข้อหาสมคบกันฟอกเงิน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันรับของโจร โดยดำเนินการ 6 ข้อ คือ 1.สืบเนื่องจากพนักงานสอบสวนได้ ดำเนินการตามที่มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ จากนั้น พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน และประชุมคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งมีทั้งพนักงานอัยการ และที่ปรึกษาคดีพิเศษ หลังจากได้รับเรื่องร้องทุกข์ กระทั่งนำไปสู่การดำเนินคดี เนื่องจากมีพยานหลักฐาน และนำไปสู่การออกหมายจับดังกล่าว

รายงานข่าวแจ้งต่อว่า 2.เมื่อนำข้อเท็จจริงที่ได้ไปเสนอศาล ซึ่งศาลได้วิเคราะห์แล้วน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะกระทำผิดจริง ศาลจึงพิจารณาอนุมัติออกหมายจับดังกล่าวให้ 3.การที่กลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกายมีการนำข้อมูลไปเผยแพร่สู่สาธารณชน หรือปลุกระดม โดยทำให้เชื่อว่าพระธัมมชโยไม่ได้ผิดจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการกล่าวหาคณะพนักงานสอบสวน และศาล เพราะการที่ศาลอนุมัติหมายจับนั้น ได้พิจารณาจากพยานหลักฐานอย่างถี่ถ้วนแล้ว ดังนั้น ศาลอาจพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการละเมิดอำนาจศาลได้

4.หากเจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่พบพระธัมมชโย ก็สามารถดำเนินการจับกุมได้ทันที เนื่องจากพระธัมมชโยถูกศาลออกหมายจับแล้ว ทั้งนี้ ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองพบและไม่ดำเนินการจับกุม อาจเข้าข่ายผิดมาตรา 157 ได้ 5.การที่กลุ่มลูกศิษย์วัดพระธรรมกาย มีการระดมพลเดินทางไปร้องเรียนยังสถานที่ต่างๆ ทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดต่างๆ อาจเข้าข่ายเป็นผู้มีอิทธิพล และ 6.การให้ร้ายเท็จ หรือกล่าวเท็จที่ไปแจ้งต่อ ป.ป.ช. หรือไปแจ้งตามสถานที่ต่างๆ ว่าคณะพนักงานสอบสวนได้กลั่นแกล้ง หรือกระทำการโดยมิชอบตามมาตรา 157 หรือมาตรา 200 กลุ่มบุคคลดังกล่าวอาจเป็นการกล่าวเท็จต่อเจ้าพนักงาน และเข้าข่ายละเมิดเจ้าพนักงาน อาจถูกฟ้องได้ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการปกป้องศักดิ์ศรี เกียรติยศ และองค์กร

รายงานข่าวจากรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี จ.ราชบุรี ได้ทำหนังสือแจ้งมายังดีเอสไอ โดยระบุว่าใบรับรองแพทย์ที่ทางวัดพระธรรมกายได้ใช้เป็นหลักฐานในการขอเลื่อนการเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งมี “พ.ท.” รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลค่ายภาณุรังษี เป็นผู้เซ็นต์รับรอง โดยระบุว่า พระธัมมชโยมีอาการอาพาธจนไม่สามารถเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนได้นั้น ถือเป็นเอกสารที่มิชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากตรวจสอบแล้วพบว่าพระธัมมชโยไม่เคยเดินทาง มาเข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลดังกล่าวเลย ทั้งนี้ทางโรงพยาบาลดำเนินการตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องและตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง รองผอ.รายดังกล่าว


ธรรมกายแจง'พระธัมมชโย' ไม่เคยออกไปรักษานอกวัด

ธรรมกายแจง พระธัมมชโยอาพาธ ไม่เคยออกไปรักษาด้านนอก อยู่ที่วัดพระธรรมกายตลอด ยืนยันคณะแพทย์ได้เดินทางมาตรวจ ส่วนการล่ารายชื่อ 1 ล้านชื่อเป็นลูกศิษย์ที่รักในตัวหลวงพ่อทำแคมเปญในอินเทอร์เน็ตเพื่อแสดงความรักและห่วงใย...

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 พ.ค.2559 ที่สำนักงานสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พระมหานพพร ปุญฺญชโย ผช.ผอ.สำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า ช่วงนี้เป็นช่วงการจัดวิสาขบูชาที่จัดเป็นประจำทุกปีต่อเนื่องกันมาตั้งแต่สร้างวัดพระธรรมกายมาตั้งแต่ พ.ศ.2513 จึงมีสาธุชนเข้าร่วมกิจกรรม กรณีที่มี รพ.แห่งหนึ่งที่ จ.ราชบุรี ออกจดหมายมาว่าใบรับรองแพทย์เป็นใบรับรองแพทย์ปลอมนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าหลวงพ่อธัมมชโยอยู่ที่วัดพระธรรมกายตลอด เป็นไปตามที่ก่อนหน้านี้เคยให้ข้อมูลและแถลงต่อพี่น้องสื่อมวลชนไป หลวงพ่อท่านมีอาการอาพาธและเป็นการอาพาธอย่างเรื้อรังต่อเนื่อง ทีมงานแพทย์ ผู้ดูแลหลวงพ่อมีการดูแลประจำตลอด 24 ชม.พร้อมกับอุปกรณ์ทางการแพทย์และรถกู้ชีพฉุกเฉิน เมื่อประเมินแล้วก็ต้องให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจอาการ ต้องขอบคุณคณะแพทย์ที่เข้ามาดูแล

พระมหานพพร ปุญฺญชโย เปิดเผยว่า เอกสารใบรับรองแพทย์ที่ออกจากค่ายภาณุรังษี ที่ทางดีเอสไอแถลงข่าวว่าเป็นการตรวจส่วนตัวของหมอที่รักษา แต่หลวงพ่อไม่ได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลนั้น ซึ่งคณะแพทย์ได้เดินทางมาตรวจหลวงพ่อธัมมชโยจริงๆ ทั้งนี้ยืนยันหนักแน่นว่าหลวงพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์

สำหรับข่าวที่ออกมาว่ามีการล่ารายชื่อนั้น ผช.ผอ.สำนักสื่อสารองค์กรวัดพระธรรมกาย เปิดเผยว่า เป็นเหมือนแคมเปญในอินเทอร์เน็ตที่เราเคยเห็น ส่วนตัวหลวงพี่เองก็ยังไม่ทราบว่าจะมีผลขนาดไหน เป็นเรื่องที่จะสะท้อนในเรื่องของความรักความสัมพันธ์ และความเชื่อมั่นในตัวของพระเดชพระคุณหลวงพ่อธัมมชโยของลูกศิษย์ โดยลูกศิษย์ทั่วโลกมีความรักและห่วงใยต่อหลวงพ่อทั้งที่หลวงพ่อจะอาพาธ ทั้งนี้ศิษย์ที่เดินทางมาวัดและอยู่ต่างประเทศได้ร่วมกันส่งกำลังใจมาให้ และยืนยันต่อสาธารณชนว่ามีความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อจึงหาช่องทางในการแสดงออกตามช่องทางต่างๆ บางคนก็ทำสติกเกอร์แปะรถยนต์ หรือแม้แต่ใส่แฮชแท็กในเว็บไซต์ที่นำเสนอข่าวต่างๆ การทำแคมเปญที่ใส่รายชื่อยืนยันอีเมลนั้น ก็เป็นอีก 1 วิธีที่แสดงออกถึงความรักจากลูกศิษย์ทั่วโลก

ขณะที่บรรยากาศภายในวัดพระธรรมกาย มีประชาชนจำนวนมากเดินทางมาร่วมงานส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยภาคเช้าเป็นพิธี ตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 3,000 รูป ภาคบ่าย เป็นพิธีอุปสมบทอุทิศชีวิตของสามเณร จำนวน 17 รูป ณ อุโบสถ วัดพระธรรมกาย.++


‘กรณ์ -สุหฤท’ รุมซัดขนส่ง Moto ยกเลิก Uber, Grab Bike

เมื่อวันที่ 19 พ.ค.นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij กรณีกรมขนส่งทางบกยกเลิกบริการ grab bike และ uber moto โดยนายกรณ์ระบุว่า

กรมขนส่งทางบกสั่งห้ามบริการ grab bike และ uber moto ด้วยเหตุผลว่าผู้ขับไม่ได้ขึ้นทะเบียน แต่ตามจริงผู้ขับมีการขึ้นทะเบียน แต่ขึ้นกับแต่ละบริษัทไม่ได้ขึ้นกับราชการ ในแง่ความปลอดภัยผู้โดยสาร (และผู้ขับ)อาจมองในมุมหนึ่งได้ว่าการเรียกใช้บริการสองบริษัทนี้ปลอดภัยกว่า เพราะจะมีการเก็บประวัติชัดเจนทุกเที่ยวว่าใครขับให้ใคร (และถ้าราชการเป็นห่วงจริงก็ให้เขามาขึ้นทะเบียนกับราชการด้วยก็ได้)

ดังนั้นสาเหตุที่แท้จริงที่มีคำสั่งนี้น่าจะเป็นเรื่อง ‘การแข่งขัน’ มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องหาความสมดุลระหว่างผู้ให้บริการเดิม (วิน – ที่ต้องลงทุนค่าเสื้อวิน) ระหว่างผู้ให้บริการใหม่ (ที่ตอนนี้เลยตกงาน) และประชาชน (ที่อดได้ความสะดวกในการเลือกผู้ให้บริการ)

การสั่งห้ามเฉยๆโดยอ้างกฏระเบียบราชการ (ที่ไม่สามารถตามการพัฒนาทางเทคโนโลยีได้อยู่แล้ว) แต่ไม่พูดถึงปัญหาที่แท้จริง ไม่เป็นการสร้างปัญญาและไม่เป็นการตอบโจทย์ความต้องการของทุกฝ่าย

ด้าน นายสุหฤท สยามวาลา นักธุรกิจและอดีตผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ความเห็นลงในแฟนเพจส่วนตัว ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 5.9 แสนคน ระบุว่า โครงการสตาร์ทอัพของราชการ-grab-uber ทำไมไปแก้ด้วยการยุบเขาว่ะนี่ครับ

1.ถ้าผิดกฏหมายข้อใดก็ให้เขาไปทำให้ถูกแล้วปล่อยออกมาแข่งขัน

2.ถ้าจะโปรโมตสตาร์ทอัพ ก็สนับสนุนให้คนไทยคิดระบบที่เก่งกว่า uber grab สนับสนุนให้คนเลือกใช้แอพคนไทย ทำมาเยอะๆ แล้วแข่งจน grab uber แพ้ อยู่ไม่ได้ คนได้ราคาถูกลง

3.ถ้าเจ้าเดิมต้องจ่ายค่าวิน ต้นทุนสูง ก็ประหยัดให้เขาหน่อย

4.การแก้ปัญหาด้วยการทำ monopoly นั้นมันเก่ามากแล้วในโลกปัจจุบัน การส่งเสริมการแข่งขันมันสร้างความแข็งแรงและความสามารถ ไม่ใช่แบบนี้นิ ง่อยเปลี้ยเสียขาพอดี

5.ถ้าเราทิ้งไว้จนเป็นวิถีชีวิตคนประกอบอาชีพ ในอนาคตมันปรับความเดิ้นเด้งยากมากเลยครับ ไม่รู้จักคำว่าแข่งขัน จะเปลี่ยนอะไรกันไม่ได้ เสียดาย

6.กระผมนี่ไปจีนมา โอ้โหที่นั่นเขาใช้กันเพลิน มีเจ้าที่เป็นในประเทศ แอพจีนเกิดขึ้น แข่งกันแบบว่าทุกอย่างตรงเวลา เดิ้น บอกเวลาทุกอย่างได้หมด แต่ของเรา ?????? งงแตก

7.ผมว่านะ ให้คนไทยทำ app ออกมาเยอะๆ ดีกว่าครับทดลองกัน สตาร์ทอัพกัน ใครมันจะกล้าพัฒนาอะไร ทดลองอะไรใหม่ๆ นี่ แค่ถ้าไปกระทบอะไรของเก่าของราชการ พี่สั่งเลิกอย่างเดียวนิครับ

8.คนเค้าดีใจได้ใช้ของเดิ้นๆ อยู่ดีๆ ชีวิตกำลังสบาย กดเรียก ก็มา รู้เวลาจะถึง ราคาแน่นอน บร๊ะ ให้กลับไปยืนเหงื่อออกหัว ขอร้องให้ช่วยทำงานให้เราเหมือนเดิมอีก มันบร๊ะมากๆ

9.อย่าถอยหลังเลย

10.พูดไปก็เท่านั้น ไปทำแอพแข่งวอลเล่ย์บอลดีกว่า เอาแบบที่มันเสถียรหน่อย นักกีฬาหรือประชาชนเขาจะได้แข่งกันแบบเท่าเทียม

“ต๊อด ปิติ” โพสต์เฟซบุ๊ก แจงถูกปลดพ้นบุญรอด

หลังจากเกิดกระแสข่าวว่า นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหาร บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ถูกปลดออกจากกรรมการผู้จัดการบริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด จนเกิดคำถามขึ้นมากมายว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไร

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิติ ภิรมย์ภักดี ผู้บริหาร บริษัท บุญรอด บริวเวอรี่ จำกัด ได้มีการโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่อ “Todd Piti” ถึงข่าวที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท บุญรอด เทรดดิ้ง จำกัด ระบุว่า “ผมขอใช้พื้นที่นี้ชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตัวผมเองย้ายไปดู supply chain ของกลุ่มงานใหญ่มาก เพราะพ่อผมเห็นด้วยที่จะต้องมองในแบบ cost center มากกว่า profit center ส่วนตัวผมกำลังก้าวไปสู่ระบบที่ใหญ่และต้องการการ set ระบบใหม่ เพื่อให้กลุ่มและการบริการสามารถแข่งขันได้ จดหมายภายในหลุดไปข้างนอกแค่ฉบับเดียว ทั้งๆ ที่มีออกมาสองฉบับ ตลกดีครับ”

พร้อมกับเปิดเผยเอกสารการแต่งตั้งและมอบหมายงานให้กับผู้บริหาร โดยมีคำสั่งดังนี้

1.นายพลิศร์ ภิรมย์ภักดี รับผิดชอบการบริหารธุรกิจของ บริษัท สิงห์ เอเชีย โฮลดิ้ง จำกัด และบริษัท สิงห์ รีเจนนัล โฮลดิ้ง จำกัด

2.นายปิติ ภิรมย์ภักดี ดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการธุรกิจซัพพลายเชน รับผิดชอบการบริหารของบริษัท ลีโอ ลิงค์ จำกัด และบริษัท บุญรอดเอเชีย จำกัด