ข่าว
โฆษกรัฐบาลด่ากราด ปชป. 7 เดือน 7 เสื่อม

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า มีลักษณะพฤติกรรม 7 เดือน 7 เสื่อม คือ 1.วิจารณ์เกินฝีมือ เพราะการที่พรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์ว่าของแพงทั้งแผ่นดินนั้น ที่จริงในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เกิดปัญหาสินค้ามีราคาแพงและขาดแคลน เช่น น้ำมันปาล์มขาดตลาดจนเกิดการแย่งชิงกัน การขายไข่แบบชั่งกิโล เป็นต้น 2.ลืมยึดถือหลักการ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เคยบอกสังคมว่าเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา แต่เมื่อสภาผู้แทนราษฎรผ่านความเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไม่ยอมรับกระบวนการรัฐสภา โดยไปเดินหน้าปลุกระดมมวลชน 3.ค้านเลอะเทอะ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ออกมาพูดเกินความจริงในหลายกรณี เช่น การที่นายกรัฐมนตรีเดินทางโรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อธิบายความไม่ตรงกันสักวัน

นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่า 4.เปรอะความแค้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์หลอนตลอดเวลาว่าแพ้เลือกตั้งเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และแค้นประชาชนผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยเฉพาะคนเสื้อแดง จึงออกมาคัดค้านการจ่ายเงินเยียวยาให้ทุกกลุ่มทุกสี 5.แจ้นเสนอหน้า โดยคนของพรรคประชาธิปัตย์จัดคิวเวียนมาออกรายการทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลู สกาย ชาแนล อีกทั้งสร้างประเด็นข่าวเสื่อมไปทุกวัน 6.บ้าน้ำลาย โดยในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยหนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อแพ้การเลือกตั้ง กลับพูดใหม่ไม่ให้แก้ไข 7.ตายยกเข่ง จากการที่ผู้ดำเนินรายการสายล่อฟ้า ถูกฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทยกทีม อีกทั้ง รองโฆษกหญิงของพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกฟ้องหลายคดี รวมถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์กำลังจะถูกร้องยุบพรรคเพราะขึ้นป้ายโฆษณาต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าข่ายปลุกระดมประชาชน มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

คนไทยต่างแดนต่อบัตรประชาชนได้ มท-กต.เซ็นMOUเริ่มบริการกลางปีนี้

ข่าวดีสำหรับคนที่มีสัญชาติไทยซึ่งอาศัยอยู่ในต่างประเทศ เมื่อวันที่ 14 มี.ค.เวลา 10.00 น. ที่ห้องบัวแก้ว กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงประสานความร่วมมือ หรือ MOU ในการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน ให้กับคนสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ โดยนายยุงยทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. มหาดไทย และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เป็นผู้ลงนาม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง 2 กระทรวง ในการพัฒนาและขยายการให้บริการจััดทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบเอนกประสงค์ (Smart Card) ให้แก่คนสัญชาติไทยที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ ณ สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุล เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายใหักับคนไทยในต่างประเทศ ไม่ต้องเดินทางกลับมาทำบัตรฯ ที่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการไม่สะดวกและเสียค่าใช้จ่ายมาก

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ แถลงว่า กระทรวงการต่างประเทศได้รับทราบจากคนไทยที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศว่า การทำบัตรประจำตัวประชาชนที่ต้องเดินทางกลับมาดำเนินการที่ประเทศไทยด้วยตนอง ไม่สะดวกและมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นหากกระทรวงการต่างประเทศซึ่งให้บริการด้านทะเบียนราษฎร์และทะเบียนครอบครัวกับคนไทยที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศอยู่แล้ว สามารถให้บริการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนแทนบัตรเก่าที่หมดอายุ ชำรุด หรือเสียหายได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับประชาชนคนไทยในต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมมือกันศึกษาแนวทาง ระเบียบปฏิบัติ และกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งการดำเนินการในเรื่องนี้สมารถสำเร็จลุลาวงได้

รมว.ต่างประเทศ กล่าวอีกว่า การลงนามในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เป็นการแสดงให้เห็นถึงความร่วมมือและการทำงานร่วมกันแบบบูรณาการอย่างดียิ่ง ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงมหาดไทย โดคำนึงถึงประดยชน์ที่ประชาชนคนไทยจะได้รับเป็นที่ตั้ง ตามนโยบายการทูตเพื่อประชาชนที่รัฐบาลแถลงไว้กับรัฐสภา ในลำดับต่อไปเมื่อกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว จะมีผลตามกฎหมายที่สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลไทยทุกแห่งท่ัวโลก จะให้บริการแก่ประชาชนคนไทยที่มีถิ่นพำนักในต่างประเทศได้ โดยสามารถรับคำร้อง ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ผลิตบัตรประจำตัวประชาชนตามระบบและมาตรฐานที่กระทรวงมหาดไทยดำเนินการในประเทศ ไทย อย่างไรก็ดีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลจะให้บริการเฉพาะการออกบัตรประจำตัวประชาชนใหม่แทนบัตรเก่าที่หมดอายุ บำรุดหรือเสียหาย เท่านั้น ทั้งนี้การออกบัตรประจำตัวประชาชนเป็นครั้งแรก กฎหมายยังกำหนดให้ดำเนินการได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

สำหรับการดำเนินการให้บริการนั้น รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เตรียมความพร้อม ดำเนินการโดยคำนึงถึงความหนาแน่นของชุมชนไทยเป็นเกณฑ์คือ 1.ปีงบประมาณ 2555 เปิดโครงการนำร่อง 5 แห่ง ประกอบด้วย สถานกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส, สถานกงสุลใหญ่ ณ นครนิวยอร์ก (สหรัฐอเมริกา) สถานเอก อัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน (เยอรมนี), สำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย ณ กรุงไทเป (ไต้หวัน) และสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซิดนีย์ (ออสเตรเลีย) 2.ปีงบประมาณ 2556 โครงการระยะที่ 2 ดำเนินการเพิ่มอีก 16 แห่ง ประกอบด้วย สอท.ณ กรุงวอชิงตัน(สหรัฐอเมริกา), สกญ.ณ นครแฟรงก์เฟิร์ต(เยอรมนี), สอท.ณ กรุงสตอกโฮล์ม(สวีเดน), สอท.ณ กรุงลอนดอน(อังกฤษ),สอท.ณ กรุงริยาด, สกญ.ณ เมืองเจดดาห์(ซาอุดิอาระเบีย), สอท.ณ กรุงเบิร์น(สวิสเซอร์แลนด์), สอท.ณ กรุงบรัสเซลส์(เบลเยี่ยม), สอท.ณ กรุงปารีส(ฝรั่งเศส), สอท.ณ กรุงแคนเบอร์ร่า(ออสเตรเลีย), สอท.ณ กรุงเวียนนา(ออสเตรีย),สกญ.ณ นครชิครโก (สหรัฐอเมริกา) และ สอท.ณ กรุงเฮก (เนเธอร์แลนด์) 3.ปีงบประมาณ 2557

โครงการระยะที่ 3 ครอบคลุมทุกประเทศที่มีสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุล

พร้อมกันนี้ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยอีกว่า ในการมาลงบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ได้หารือกับนายยงยุทธในฐานะ รมว.มหาดไทย จะให้มีการบริการของกระทรวงการต่างประเทศทุกจังหวัด โดยกระทรวงการต่างประเทศเสนอให้มี สำนักงานของกระทรวงการต่างประเทศตั้งที่ศาลากลางจังหวัดทุกจังหวัด นอกเหนือจากที่มีอยู่เดิม 12 จังหวัด เพื่อให้บริการแก่ประชาชนที่มาทำหนังสือเดินทางทุกจังหวัดจะได้สะดวก เพราะแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศกันมาก การมีสำนักงานกระทรวงการต่างประเทศจะส่วนช่วยให้เกิดความสะดวก คอยให้คำแนะนำเรื่องการต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง และประชาชนต้องการข้อมูลสำนักงานกระทรวงการต่างประเทศจะให้บริการได้ทั่วถึง โดยเฉพาะในปี 2558 สำนักงานกระทรวงการต่างประเทศจะมีส่วนช่วยเตรียมความพร้อมได้มาก ในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ด้านนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย แถลงว่า กิจกรรมการลงนามบันทึกข้อตกลงครั้งนี้ ถือเป็นปรากฏการณ์พิเศษ ที่ผู้บริหารระดับสูงของ 2 กระทรวงมาร่วมมือกัน ไม่ได้เกิดได้เป็นปกติ จะไม่มีวันเกิดขึ้นหากไม่ใช่ความคิดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่คำนึงถึงหัวใจของรัฐบาลคือประชาชน ยืนยันได้ว่ารัฐบาลไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ปล่อยให้พี่น้องประชาชนไปทำงานไปเรียนเดือดร้อน แล้วปล่อยให้กลับมาเมืองไทยเพื่อต่อบัตรฯ ทั้งๆที่พ่อแม่พี่น้องทำแทนได้ รัฐบาลกี่ยุคกี่สมัยปล่อยให้พี่น้องประชาชนตาดำๆเดือดร้อน จนมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รมว.มหาดไทย และรมว.ต่างประเทศ ประสานกัน มาสำเร็จในยุคนี้

“ปัจจุบันสถานทูตและสถานกงสุลทำหลายเรื่อง แจ้งเกิด และหย่า ทำแทนมาตลอด ต่อไปจะแก้กฏหมายให้สถานทูตและสถานกงสุลมีสิทธิ์ทำบัตรฯใหม่ได้ พ่อแม่เขาคนไทยต้องให้เขาทำ บางคนไม่ทำ ก็เป็นคนเถื่อนไป ส่วนสำนักงานกระทรวงการต่างประเทศในต่างจังหวัดนั้น ผู้ใช้แรงงานรอบริการสัญจรก็ไม่ทั่วถึง ต่อไปจะให้มีทุกจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด พี่น้องข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศจะได้สัมผัสกับพื้นที่ต่างจังหวัดบ้าง เรื่องสถานที่ราชการกระทรวงมหาดไทยให้ใช้โดยไม่คิดมูลค่า ส่วนเรื่องอุปกรณ์อื่นๆกระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบไป ช่วยกันเพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์หัวใจคือประชน” นายยงยุทธกล่าว

นายจักร บุญ-หลง อธิบดีกรมการกงสุล เปิดเผยถึงระยะเวลาในการดำเนินการว่า คาดวาจะเริ่มให้บริการได้กลางปีนี้ สาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงฯ คือกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย รับผิดชอบในเรื่องแก้ไขกฎหมาย กฎกระทรวง ประกาศ คำสั่งและระเบียบต่างๆ เพื่อรองรับการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนในต่างประเทศ วิเคราะห์ ออกแบบและพัฒนาระบบการจัดทำบัตรฯ ให้สามารถใช้งานในต่างประเทศได้ ฝึกอบรมบุคคลากรของกระทรวงการต่างประเทศที่ได้รับมอบหมาย กำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์การทำจัดทำบัตรฯ รวมทั้งให้คำปรึกษา คำแนะนำและดำเนินการอื่นๆ เพื่อสนับสนุนการจัดทำบัตรฯ ส่วนกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ก็รับผิดชอบในเรื่องจัดหาระบบคอมพิวเตอร์และเครื่อข่ายสื่อสารข้อมูล ตลอดจนอุปกรณ์ในการปฏิบัติงานรวมถึงการควบคุม กำกับ ดูแล และการบำรุงรักษาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ในการทำบัตรฯ จัดเตรียมสถานที่ และแจ้งตำแหน่งเจ้าหน้าที่ส่วนราชการที่จะปฏิบัติหน้าที่ในการจัดทำบัตรฯ ให้กรมการปกครองออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย แต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน 2526.

ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่านายยุงยุทธ วิขัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ได้ฝากบอกกล่าวถึง คณะกรรมการสภาหอการค้าไทยในรับแคลิฟอร์เนีย จากนครลอสแอนเจลิส ซึ่งเข้าพบที่กระทรวงมหาดไทย และยื่นเรื่องให้เร่งรัดการต่อบัตรประจำตัวประชาชนคนไทยในต่างประเทศ เมื่อปีที่แล้วว่า ได้เร่งรัดเรื่องให้สำเร็จแล้วตามกำหนดระยะเวลาที่แจ้งไว้ 4-5 เดือน ก็ดีใจกับคนไทยในต่างประเทศที่จะได้ต่อบัตรประจำตัวประชาชนได้ ส่วนนายจักร บุญ-หลง อธิบดีกรมการกงสุล ก็ฝากข่าวถึงชาวไทยในนครลอสแอนเจลิสเช่นกันว่า ได้ดำเนินการเรื่องต่อบัตรประจำตัวประชาชนให้แล้ว ตามที่ได้รับเรื่องมาสมัยเป็นกงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส.

เปิดกรุโชว์ทรัพย์สิน ครม.ยิ่งลักษณ์ 2

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ติดประกาศเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองของรัฐมนตรีที่เข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 23 ม.ค.2555 จำนวน 16 คน 17 ตำแหน่ง


นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6,485,623 บาท โดยเป็นทรัพย์สิน 33,720,871 บาท ซึ่งเป็นเงินสด 200,000 บาท เงินฝาก 1,483,064 บาท เงินลงทุน 19,894,364 บาท ที่ดิน 2,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 8,787,443 บาท สิทธิและสัมปทาน 306,000 บาท ยานพาหนะ 1,050,000 บาท โดยเป็นรถยนต์ 3 คัน คือเบนซ์, ฮอนด้าแจ๊ซ, โตโยต้า ยาริส

มีหนี้สิน 3,813,574 บาท ซึ่งเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 23,400 บาท เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงิน 3,310,723 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 479,450 บาท รายจ่ายอื่นๆ ได้แก่ ผ่อนรถ (10,754 บาท/ด.) เป็นเงิน 129,048 บาท ผ่อนบ้านและผ่อนดาวน์คอนโดฯ 680,000 บาท ค่าน้ำมันรถ (20,000 บาท/ด.) เป็นเงิน 240,000 บาท นางเกสรา ณ ระนอง คู่สมรส มีทรัพย์สิน 30,465,227 บาท ไม่มีหนี้สิน และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีทรัพย์สิน 113,098 บาท


พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี

มีทรัพย์สิน 380,789,887 บาท ไม่มีหนี้สิน ทรัพย์สินประกอบด้วยเงินฝาก 98,950,901 บาท เงินลงทุน 14,983,106 บาท ที่ดิน 70,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 12,000,000 บาท ยานพาหนะ 4,000,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 300,000 บาท

ทรัพย์สินอื่น 50,000,000 บาท อาทิ พระเครื่อง 204 องค์ มูลค่า 29 ล้านบาท และพระพุทธรูป 455 องค์ มูลค่า 20.4 ล้านบาท งาช้าง 6 คู่ มูลค่า 6 แสนบาท แหวน 10 วง มูลค่า 4 ล้านบาท สร้อยคอ 5 เส้น 5 ล้านบาท ทองคำแท่ง หนัก 10 บาท มูลค่า 2.27 แสนบาท คุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา คู่สมรส มีทรัพย์สิน 130,555,879 บาท เป็นเงินฝาก 42,773,369 บาท เงินลงทุน 70,010 บาท ที่ดิน 71,985,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,500,000 บาท ยานพาหนะ 3,000,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 9,227,500 บาท


นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 24,567,462 บาท เป็นเงินฝาก 2,266,170 บาท เงินให้กู้ยืม 4,813,894 บาท ที่ดิน 6,600,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 5,500,000 บาท ยานพาหนะ 6,500,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 600,000 บาท หนี้สิน 1,730,602 บาท เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 210,602 บาท เงินกู้จากธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่น 1,520,000 บาท


นางนลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 18,959,066 บาท เป็นเงินฝาก 2,623,645 บาท เงินลงทุน 14,272,045 บาท ที่ดิน 598,000 บาท 459,800 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,082,899 บาท หนี้สิน 77,324 บาท ซึ่งเป็นเงินเบิกเกินบัญชี และไม่มีทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่ 200,000 บาทขึ้นไป) นอกจากนี้ ระบุในเอกสารชี้แจงรายละเอียดเรื่องตำแหน่งปัจจุบันของผู้ยื่นในหน่วยงานราชการหรือหน่วยงานเอกชนอื่นว่า เป็นกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐนามิเบีย ประจำประเทศไทย


นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 137,563,433 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นทรัพย์สินของภรรยาถึง 129,882,097 บาท เงินฝาก 4,566,033 บาท เงินลงทุน 4,300 บาท ที่ดิน 600,000 บาท ยานพาหนะ 1,200,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 1,076,600 บาท ทรัพย์สินอื่น 300,000 บาท เป็นปืนรีวอลเธอร์ ขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก ซื้อเมื่อวันที่ 5 มี.ค.2552 ทองคำแท่งหนัก รวม 62 บาท ได้แก่ หนักแท่งละ 50 บาท จำนวน 12 แท่ง หนัก 20 บาท 1 แท่ง หนัก 5 บาท 1 แท่ง และชุดเครื่องประดับของตัวเองและคู่สมรสอีก 27 รายการ นางบุณย์พัชรี บุญทรงไพศาล คู่สมรส เงินสด 1,500,000 บาท เงินฝาก 38,730,381 บาท เงินลงทุน 39,376,716 บาท ที่ดินประมาณ 20 แปลง ที่กทม. ชลบุรี อุตรดิตถ์ สมุทรสาคร เชียงราย มูลค่า 22,780,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 590,000 บาท ยานพาหนะ 4,500,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 22,405,000 บาท มีหนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 55,765 บาท


พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม

มีทรัพย์สิน 49,420,434 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นเงินฝาก 8,874,345 บาท เงินลงทุน 1,015,000 บาท ที่ดิน 10,527,600 บาท ทรัพย์สินอื่นๆ รวม 24 รายการ มูลค่า 5,945,500 บาท อาทิ สร้อยคอทองคำพร้อมพระ 5 องค์ (สมเด็จฯ วัดระฆัง มูลค่า 5 ล้านบาท) สร้อยคอทองคำหลายเส้น สร้อยคำทองคำสุโขทัยพร้อมจี้พระนเรศวร มูลค่า 8 หมื่นบาท (ปี 2530)

สร้อยข้อมือเพชรพญานาค มูลค่า 4 หมื่นบาท (ปี 2554) เส้นเพชร 2 เส้นมูลค่า 1.1 ล้านบาท (ปี 2549) สร้อยข้อมือพลอยสี มูลค่า 6 หมื่นบาท (ปี 2553) กำไลข้อมือสุโขทัย หนัก 5 บาท 1.32 แสนบาท กำไลข้อมือทองคำขาวล้อมเพชร 12 เม็ด มูลค่า 9.95 หมื่นบาท เครื่องประดับที่เป็นแหวนและชุดต่างหูอีกหลายรายการ นาฬิกา 2 เรือนยี่ห้อ longines และยี่ห้อ Breitling รวมทั้งปืนรีวอลเธอร์ขนาด 9 ม.ม. อีก 1 กระบอก (ปี 2550) มูลค่า 1 แสนบาท นางพิไลวรรณ สุวรรณทัต คู่สมรส มีทรัพย์สิน เป็นเงินฝาก 4,552,989 บาท ที่ดิน 3,852,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 9,000,000 บาท ยานพาหนะ 2,700,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,953,000 บาท ไม่มีหนี้สิน


นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง

มีทรัพย์สิน 382,797 บาท ไม่มีหนี้สิน โดยแจ้งว่า มีทรัพย์สินเฉพาะเพียงเงินฝากในบัญชีธนาคารเพียงอย่างเดียว ไม่มีทรัพย์สินอื่นๆ


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 16,263,953 บาท เป็นเงินฝาก 658,405 บาท ที่ดิน 8,526,800 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,500,000 บาท ยานพาหนะ 5,992,990 บาท ทรัพย์สินอื่นมูลค่า 100,000 บาท เป็นปืนออโตเมติก ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 12 นัด และมียานพาหนะ 4 คัน โดยมีรถยนต์ป้ายแดง 1 คัน ยี่ห้อ LEXUS รุ่น RX350 ซื้อเมื่อเดือนก.ย.2554 มูลค่า 2,242,990 บาท หนี้สินเป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 7,149,116 บาท นางสิริสกุล ใสยเกื้อ คู่สมรส เงินฝาก 2,906,642 บาท เงินลงทุน 173,100 บาท ที่ดิน 800,000 บาท ยานพาหนะ 938,000 บาท หนี้สิน ที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 477,246 บาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะคือด.ช.นปก ใสยเกื้อ อายุ 3 ขวบ 8 เดือน ด.ญ.ชาดอาภรณ์ ใสยเกื้อ อายุ 1 ขวบ 9 เดือน มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก รวม 2,294,370 บาท


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 17,866,355 บาท เป็นเงินฝาก 1,133,357 บาท เงินลงทุน 100,733 บาท ที่ดิน 5,490,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 11,000,000 บาท ยานพาหนะ 150,000 บาท หนี้สิน เป็นเงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 3,425,000 บาท นางสุพัตรา เรืองสุวรรณ คู่สมรส มีเงินฝาก 1,817,269 บาท เงินลงทุน 100,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 1,500,000 บาท


นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช.คมนาคม

มีทรัพย์สิน 50,531,726 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นเงินฝาก 1,243,132 บาท เงินลงทุน 11,386,230 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,561,100 บาท ยานพาหนะ 2,000,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,060,000 บาท นางปิยดา สิทธิพันธุ์ คู่สมรส มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 4,764,249 บาท เงินลงทุน 22,327,050 บาท ที่ดิน 600,000 บาท ยานพาหนะ 2,700,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 890,000 บาท


นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว.พลังงาน

มีทรัพย์สิน 82,049,173 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นเงินฝาก 9,917,977 บาท เงินลงทุน 3,307,407 บาท ที่ดิน 13,500,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 38,000,000 บาท ยานพาหนะ 1,910,000 บาท นางเบญจา ชลธาร์นนท์ คู่สมรส มีเงินฝาก 1,952,903 บาท เงินลงทุน 12,600,865 บาท ที่ดิน 800,000 บาท


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 15,180,681 บาท เป็นเงินฝาก 134,923 บาท ยานพาหนะ 1,840,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 750,000 บาท มีหนี้สิน เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 83,614 บาท นางปอยใจระพี เตริยาภิรมย์ คู่สมรส มีทรัพย์สินเป็นเงินสด 250,000 บาท เงินฝาก 625,713 บาท ที่ดิน 10,894,150 บาท ยานพาหนะ 47,700 บาท ทรัพย์สินอื่น 500,000 บาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ นายกฤษฎิ์ชนัต เตริยาภิรมย์ มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 221,808 บาท


นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ

มีทรัพย์สิน 30,381,378 บาท ไม่มีหนี้สิน เป็นเงินฝาก 5,839,891 บาท เงินลงทุน 6,020,461 บาท ที่ดิน 5,294,400 บาท ยานพาหนะ 850,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 506,000 บาท นางวัชรี ธาดาธำรงเวช คู่สมรส มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 3,368,973 บาท เงินลงทุน 1,358,252 บาท ที่ดิน 4,502,400 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,000,000 บาท 150,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 491,000 บาท


นายศักดา คงเพชร รมช.ศึกษาธิการ

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 19,825,482 บาท เป็นเงินสด 400,000 บาท เงินฝาก 853,588บาท ที่ดิน 15,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 2,500,000 บาท ยานพาหนะ 900,000 บาท หนี้สินเป็นเงินเบิกเกินบัญชี 6,535,043 บาท เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 3,018,100 บาท หนี้สินอื่นซึ่งเป็นดอกเบี้ยธนาคารกรุงเทพ 193,855 บาท นางจิตรา คงเพชร คู่สมรส มีทรัพย์สิน เป็นเงินสด 200,000 บาท เงินฝาก 368 บาท ที่ดิน 6,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3,000,000 บาท ยานพาหนะ 710,000 บาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 3 คน ได้แก่ น.ส.จณิญาพัช อายุ 18 ปี น.ส.ณัฐภัสสร อายุ 15 ปี ด.ญ.ณัฐญาณ์ อายุ 2 ขวบ มีทรัพย์สินเป็นเงินฝากรวม 8,524 บาท


น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 101,347,666 บาท เป็นเงินฝาก 185,578 บาท ที่ดิน 39,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 14,600,000 บาท ยานพาหนะ 150,000 บาท หนี้สิน เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 4,130,410 บาท นางปานทิพย์ คนสมบูรณ์ คู่สมรส มีเงินฝาก 3,559,498 บาท เงินลงทุน 355,000 บาท ที่ดิน 16,000,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 28,405,000 บาท ยานพาหนะ 3,250,000 บาท


ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม

มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 41,431,459 บาท เป็นเงินฝาก 2,948,424 บาท เงินลงทุน 2,466,323 บาท ที่ดิน 3,500,000 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 7,950,000 บาท ยานพาหนะ 4,050,000 บาท ทรัพย์สินอื่น 475,000 บาท หนี้สิน เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 106,531บาท เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 871,376 บาท หนี้สินที่มีหลักฐานเป็นหนังสือ 581,376 บาท นางทรงสมร สวัสดิวัตน์ คู่สมรส มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 1,380,496 บาท เงินลงทุน 13,001 บาท ที่ดิน 7,156,666 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 16,363,015 บาท ทรัพย์สินอื่น 2,340,000 บาท หนี้สิน เป็นเงินเบิกเกินบัญชี 64,979 บาท เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น 5,557,422 บาท บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ม.ล.สิริสมร สวัสดิวัตน์ อายุ 15 ปี มีทรัพย์สินเป็นเงินฝาก 1,957 บาท