ข่าว
โจ ไบเดน ต่อสายตรง สี จิ้นผิง หารือครั้งแรกในรอบ 7 เดือน

วันที่ 10 ก.ย. เอเอฟพี และ บีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน หารือกันเป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน เมื่อวันที่ 9 ก.ย. เป็นเวลา 90 นาที นับเป็นครั้งที่สองตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดนขึ้นรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ ท่ามกลางบรรยากาศความสัมพันธ์ตึงเครียดหนักจากความขัดแย้งในหลายด้าน

ตั้งแต่การเปิดฉากสงครามการค้า จารกรรมข้อมูล และการระบาดของโควิด-19 โดยต่างร้องหาหนทางเลี่ยงในการทำให้ทั้งสองชาติดำดิ่งสู่ความขัดแย้ง แต่ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดในความเป็นมหาอำนาจต่อไป

“ผู้นำทั้งสองหารือทางยุทธศาสตร์อย่างกว้างในหลายเรื่องที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน และหลายเรื่องที่มีผลประโยชน์ ค่านิยม และมุมมองของเราแตกต่างกัน” ทำเนียบขาวระบุ ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสในทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ไบเดนเป็นฝ่ายขอต่อสายโทรศัพท์หาผู้นำจีน เพราะไม่อยากทำให้ความเข้าใจผิดนำไปสู่การเผชิญหน้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และมีการหยิบยกข้อกังวลเกี่ยวกับการโจมตีสหรัฐฯ ทางไซเบอร์ของจีนขึ้นมาพูดด้วย

ด้านสถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี สื่อทางการจีน รายงานว่า การหารือเป็นไปอย่างตรงไปตรงมาและลึกซึ้ง นายสีระบุถึงอุปสรรคร้ายแรงที่เป็นผลจากการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีต่อจีน ทั้งการค้า เทคโนโลยี สิทธิมนุษยชน และต้นตอการระบาดของโควิด-19 และชี้ว่าจีนและสหรัฐฯ จะสามารถจัดการความสัมพันธ์ได้อย่างเหมาะสมหรือไม่ ยังเป็นสิ่งสำคัญสำหรับอนาคตและชะตากรรมของโลกด้วย และย้ำว่า

ทั้งสองชาติควรพูดคุยกันต่อไปทั้งการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ การป้องกันโรคระบาด และการฟื้นฟูเศรษฐกิจโลก พร้อมกับเคารพในความเห็นแตกต่างกัน

ทั้งนี้ เมื่อต้นปีนี้การพบปะเจรจาของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐฯ และจีนเต็มไปด้วยความตึงเครียดที่ต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษกัน โดยเจ้าหน้าที่จีนกล่าวหาสหรัฐฯ ปลุกปั่นให้หลายประเทศโจมตีจีน ขณะที่สหรัฐฯ โต้ว่าจีนมาพร้อมกับเจตนาที่ไม่ดี

ลอสแอนเจลิส บังคับฉีดวัคซีนให้นักเรียนอายุ 12 ปีขึ้นไป

ลอสแอนเจลิสบังคับนักเรียนอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ท่ามกลางเสียงต้านจากผู้ปกครองที่กังวลด้านความปลอดภัยของวัคซีน

เว็บไซต์แชนแนลนิวส์เอเชียรายงาน หน่วยงานด้านการศึกษาของ เขตลอสแอนเจลิส เคาน์ตี้ ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงคะแนนให้มีการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่นักเรียนที่มีอายุ 12 ปี ขึ้นไป ก่อนเริ่มทำการเรียนการสอนเต็มรูปแบบ ขณะที่พ่อแม่ผู้ปกครองบางส่วนไม่เห็นด้วยเนื่องจากกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีน และมองว่าผู้ปกครองควรมีสิทธิตัดสินใจว่าเด็กจะเข้ารับวัคซีนหรือไม่

ในทางกลับกัน ด้านบอร์ดบริหารของโรงเรียนระบุว่า ข้อบังคับฉีดวัคซีนให้นักเรียนนั้นไม่ใช่การตัดสินใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ถือเป็นความจำเป็นของส่วนรวม โดยข้อบังคับฉีดวัคซีนนั้นจะครอบคลุมนักเรียน 600,000 รายที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป ยกเว้นเด็กนักเรียนที่มีปัญหาสุขภาพ และข้อจำกัดทางศาสนา ส่วนเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนได้มีกฎบังคับฉีดวัคซีนไปก่อนหน้านี้แล้ว

ที่มา: CNA

ระทึกกลางอวกาศ เกิดควันและกลิ่นไหม้จากโมดูลรัสเซีย

10 ก.ย. 2564 : เกิดเหตุไม่คาดฝันบนสถานีอวกาศไอเอสเอส เมื่อสัญญาณเตือนควันไฟจากโมดูลของรัสเซียดังขึ้น ตามมาด้วยกลุ่มควันและกลิ่นพลาสติกไหม้คลุ้งไปทั่ว

รอสคอสมอส สำนักงานอวกาศของรัสเซีย และองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (นาซา) ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่านักบินอวกาศบนสถานีอวกาศนานาชาติ หรือไอเอสเอส ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ระทึก หลังสัญญาณตรวจจับควันร้องเตือนขึ้นบนสถานีอวกาศไอเอสเอส โดยพบว่าเกิดกลุ่มควันและได้กลิ่นเหม็นไหม้ของพลาสติกจากส่วนยานโมดูลที่นักบินอวกาศรัสเซียประจำการอยู่ โดยนักบินอวกาศคนอื่นๆ ที่อยู่บนสถานีไอเอสเอสต่างได้กลิ่นไหม้ด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นเมื่อเวลา 01.55 น.ตามเวลาสากลของวันที่ 9 กันยายน ในระหว่างที่มีการชาร์จแบตเตอรี่ของสถานี ก่อนที่เสียงร้องเตือนจะหยุดลง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลูกเรือรัสเซียพบปัญหา ก็ได้เข้าเร่งแก้ไข จนคลี่คลายสถานการณ์ได้ โดยมีการเปิดเครื่องกรองอากาศ และทำความสะอาด ก่อนจะกลับไปพักผ่อนต่อ ก่อนที่นักบินอวกาศรัสเซียทั้ง 2 คนจะมีการเดินท่องอวกาศ เพื่อเชื่อมต่อห้องแล็บวิทยาศาสตร์ของรัสเซียที่เพิ่งนำมาติดตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาให้เสร็จสิ้น แต่ความขัดข้องที่เกิดขึ้นก็สร้างกระแสความหวั่นวิตกด้านความปลอดภัยในสภาพแวดล้อมของยานโมดูลของรัสเซียหลังจากนี้

ที่มา : ซีเอ็นเอ็น


ไบเดนสั่ง ลูกจ้างบริษัทใหญ่ทุกคนฉีดวัคซีน หรือตรวจโรคทุกสัปดาห์

โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศมาตรการใหม่ในการควบคุมโควิด-19 กำหนดให้ลูกจ้างบริษัทใหญ่ทุกคนต้องฉีดวัคซีน หรือตรวจโรคทุกสัปดาห์

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ที่ทำเนียบขาวในวันพฤหัสบดีที่ 9 ก.ย. 2564 ว่า ประกาศแผนการ 6 ขั้นเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19 หนึ่งในนั้นคือ เขาได้สั่งการไปยังกระทรวงแรงงาน ให้ออกคำสั่งถึงธุรกิจเอกชนทุกแห่งที่มีลูกจ้าง 100 คนขึ้นไป ให้พนักงานทุกคนต้องรับการฉีดวัคซีน หรือแสดงหลักฐานที่พิสูจน์ว่ามีผลตรวจเชื้อเป็นลบ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

มาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อแรงงานในอเมริกันกว่า 80 ล้านคน โดยไบเดนระบุว่า “นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเสรีภาพ หรือทางเลือกส่วนบุคคล แต่เป็นการป้องกันตนเองและคนรอบข้าง” นอกจากนั้น พนักงานสาธารณสุขในหน่วยงานที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาลเกือบ 17 ล้านคน จะต้องปฏิบัติตามมาตรการนี้ด้วย บริษัทใดที่ไม่ทำตาม อาจถูกปรับเงินหลายพันดอลลาร์ ต่อการละเมิด 1 ครั้ง

นอกจากนี้ ทำเนียบขาวยังออกคำสั่งใหม่ แทนที่คำสั่งเดิมของนายไบเดนที่อนุญาตให้ลูกจ้างรัฐบาลรับการตรวจเป็นประจำหากไม่ต้องการฉีดวัคซีน แต่ภายใต้คำสั่งใหม่ซึ่งจะกระทบลูกจ้างรัฐบาลราว 2.5 ล้านคน ทำให้ผู้ที่ปฏิเสธการฉีดวัคซีนอาจถูกไล่ออกได้

ตอนนี้สหรัฐฯ ยังมีผู้เสียชีวิตหลายพันรายทุกสัปดาห์ และส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกันที่ไม่ได้ฉีดวัคซีน ขณะที่ในสหรัฐฯ มีผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนอีกราว 80 ล้านคน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อความพยายามของโจ ไบเดน ที่ต้องการควบคุมการระบาด เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นในรัฐบาลของเขา

อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นในรัฐที่อัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เนื่องจากอิทธิพลของไวรัสสายยพันธุ์เดลตา อัตราการเสียชีวิตยังคงลดลงในพื้นที่ส่วนใหญ่ “หนทางข้างหน้าไม่ได้เลวร้ายอย่างเมื่อฤดูหนาวครั้งก่อน แม้จะมีการระบาดของโควิดเดลตา” นายไบเดน กล่าว “แต่สิ่งที่ทำให้ผิดหวังอย่างน่าเหลือเชื่อคือ ชาวอเมริกันกลุ่มน้อยที่ยังถ่วงไม่ให้เราพลิกสถานการณ์”

ทั้งนี้ มาตรการอื่นๆ ที่ไบเดนประกาศได้แก่ เพิ่มโทษปรับผู้โดยสารเครื่องบินที่ไม่ยอมสวมหน้ากากเป็นเท่าตัว, บังคับใช้กฎหมายการผลิตเพื่อการป้องกัน (Defense Production Act) เพื่อเพิ่มการผลิตชุดตรวจเชื้อด้วยตนเอง, ส่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปยังพื้นที่ที่การระบาดเพิ่มสูงขึ้น และเพิ่มจำนวนการส่งชุดรักษาโควิดด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดี (Monoclonal Antibodies) ไปยังโรงพยาบาลต่างๆ


“คิม จองอึน” แต่งหล่อ ชมพาเหรดฉลองวันชาติ ครั้งนี้จัดไม่เหมือนทุกปีที่ผ่านมา

ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ “คิม จองอึน” ชมพิธีสวนสนามที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ฉลองวันชาติ โดยปีนี้ขบวนพาเหรดมีรูปแบบการนำเสนอแตกต่างออกไป มุ่งเน้นในเรื่องความมั่นคงภายใน มากกว่าแสดงแสนยานุภาพขีปนาวุธ

เมื่อวันที่ 9 ก.ย. 64 เว็บไซต์ข่าวอัลจาซีราห์ รายงานว่า นายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือเป็นประธานในพิธีสวนสนามเฉลิมฉลองวันชาติครบรอบปีที่ 73 ที่ตรงกับวันที่ 9 กันยายน 2564 งานนี้จัดขึ้นที่จัตตุรัสคิม อิลซุง ในกรุงเปียงยาง โดยปีนี้มีขบวนพาเหรดของเหล่าทหารจากกองกำลังต่างๆ รวมทั้งกองกำลังแรงงานชาวนาพิทักษ์แดง (Worker-Peasant Red Guards) มีขบวนทหารที่มาในชุดสีแดงส้มสวมหน้ากากทางการแพทย์ และขบวนตำรวจพร้อมสุนัข และไม่มีการแสดงแสนยานุภาพทางทหารด้วยการโชว์ขีปนาวุธเหมือนปีที่ผ่านมา

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า พิธีสวนสนามวันชาติเกาหลีเหนือในปีนี้มีการจัดชุดการแสดงในธีมที่เปลี่ยนไป โดยหันไปเน้นสื่อถึงปัญหาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน อย่างการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความมั่นคงภายใน

อย่างไรก็ตาม ในปีนี้มีอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมไปถึงเครื่องยิงจรวด และมีรถบรรทุกขีปนาวุธต่อต้านรถถัง แต่ไม่มีขีปนาวุธร้ายแรงที่เคยปรากฏตามข่าว ขณะเดียวกันผู้นำเกาหลีเหนือก็ไม่ได้กล่าวสุนทรพจน์ปลุกใจเหมือนปีที่ผ่านมา

ในส่วนของนายคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือมาในชุดสูทสีครีม และมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าเขามีรูปร่างที่ดูผอมเพรียวลงอย่างมาก และสีหน้าดูสดชื่น ไม่ได้แสดงออกไปในเชิงว่าน้ำหนักลดลงเพราะป่วยด้วยโรคภัยแต่อย่างใด

ที่มา: Aljazeera

“ซูเปอร์ไต้ฝุ่นจันทู” จ่อถล่มไต้หวันสุดสัปดาห์นี้

พายุไต้ฝุ่นจันทูเพิ่มกำลังเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่น ซึ่งรุนแรงเท่ากับเฮอริเคนระดับ 5 ภายในเวลา 48 ชั่วโมง เตรียมเคลื่อนผ่านดินแดนปลายสุดทางตะวันออกเฉียงเหนือของฟิลิปปินส์มุ่งหน้าสู่เกาะไต้หวัน คาดจะทำให้เกิดลมพายุและฝนตกหนักสุดสัปดาห์นี้

รายงานของเอเอฟพีอ้างข้อมูลจากสำนักอุตุนิยมวิทยากลางของไต้หวันว่า ช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 10 กันยายน พายุไต้ฝุ่นลูกนี้อยู่ห่างจากตอนใต้สุดของเกาะไต้หวันราว 580 กิโลเมตรทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความเร็วลมสูงสุด 234 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ขณะที่สำนักงานสภาพอากาศของฟิลิปปินส์กล่าวว่า พยากรณ์อากาศคาดว่าพายุลูกนี้จะเคลื่อนเฉียดพื้นที่ส่วนปลายสุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือภายในวันศุกร์นี้ พร้อมกับเตือนประชาชนในเมืองซานตาอานาซึ่งมีอยู่ประมาณ 35,000 คน และพื้นที่ฝั่งตะวันออกของหมู่เกาะบาบูยันที่อยู่ไกลฝั่ง ให้เตรียมรับมือกับลมพายุรุนแรงระดับทำลายล้าง โดยทะเลอาจมีคลื่นสูง 2.5-10 เมตร

พยากรณ์อากาศส่วนใหญ่คาดว่าพายุลูกนี้จะเคลื่อนต่อไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือและจะเข้าถล่มไต้หวันช่วงสุดสัปดาห์นี้ จากนั้นจะมุ่งหน้าไปยังมณฑลเจ้อเจียงของจีน

นักอุตุนิยมวิทยาหลายคนมีความประหลาดใจที่พายุจันทูเพิ่มกำลังเป็นพายุรุนแรงอย่างรวดเร็วหลังจากพายุลูกนี้เริ่มก่อตัวกลางทะเลระหว่างเกาะกวมกับฟิลิปปินส์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

แซม ลิลโล นักวิจัยจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ เขียนลงทวิตเตอร์ว่า จันทูเปลี่ยนจากพายุดีเปรสชันเป็นไต้ฝุ่นระดับ 5 ภายในเวลา 48 ชั่วโมง ซึ่งตลอดทั้งศตวรรษนี้เพิ่งมาพายุเพียง 5 ลูกที่เพิ่มกำลังรุนแรงในเวลารวดเร็วถึงระดับนี้

เมื่อ 2 วันก่อนหน้านี้ ความเร็วลมของจันทูเพิ่มจาก 48 กิโลเมตร/ชั่วโมง เป็น 257 กิโลเมตร/ชั่วโมงในช่วงที่มีกำลังแรงที่สุด

นักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนไว้นานแล้วว่าพายุไต้ฝุ่นกำลังกลายเป็นพายุที่ทรงพลังมากขึ้นและทวีกำลังขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากโลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นเพราะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเป็นผลจากการกระทำของมนุษย์

องค์การนาซาของสหรัฐฯ เขียนในบทความเกี่ยวกับพายุลงในบล็อก “หอสังเกตการณ์โลก” ว่า สัปดาห์นี้ซูเปอร์ไต้ฝุ่นจันทูเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนว่าพายุสามารถทวีกำลังได้รวดเร็วเพียงใด

ซูเปอร์ไต้ฝุ่นนั้นมีความรุนแรงเทียบเท่ากับพายุเฮอริเคนระดับ 5 ในสหรัฐฯ ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วแต่ละปีโลกจะเจอกับพายุรุนแรงระดับนี้ประมาณ 5 ลูก

นักอุตุนิยมวิทยากล่าวกันว่า ถึงแม้ไต้ฝุ่นจันทูจะทรงพลัง แต่มันก็มีขนาดเล็กและคาดเดาไม่ได้

โดยปกติแล้วไต้หวันจะเผชิญกับพายุโซนร้อนหลายลูกในช่วงฤดูร้อน แต่ปีที่แล้วกลับมีข้อยกเว้นเมื่อไม่มีพายุไต้ฝุ่นขึ้นฝั่งไต้หวันเลยแม้แต่ลูกเดียว ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปี แต่นั่นทำให้ไต้หวันประสบกับภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี จนกระทั่งเริ่มมีฝนตกหนักเมื่อไม่ 2-3 เดือนที่ผ่านมาที่ช่วยบรรเทาภัยแล้งได้

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาของฮ่องกงคาดการณ์ว่าจันทูจะอ่อนกำลังจากซูเปอร์ไต้ฝุ่นเป็นไต้ฝุ่นระดับรุนแรงในวันอาทิตย์ เมื่อเคลื่อนมาใกล้ชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของฮ่องกง