ข่าว
หมาวัดสุดแนว ตัดขนทรงโมฮอว์กสีชมพู

5 มิ.ย. 2556 ภายในวัดบาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร นอกจากมีประชาชนจำนวนมากเข้ามาสักการบูชา หลวงพ่อเพชร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของกำแพงเพชรแล้ว เป็นที่น่าสังเกตว่าได้มีสิ่งหนึ่งสร้างความสนใจให้กับผู้คนที่มาทำบุญในวัด ซึ่งเป็นสุนัขพันทาง เพศผู้ตัวหนึ่ง ชื่อเจ้าโค้ก ที่ทั้งตัวถูกย้อมเป็นสีชมพู มีขนเฉพาะส่วนบนลำตัวเพียงหย่อมเดียวเป็นแนวยาวถึงปลายหางเหมือนทรงผมโมฮอว์ก โดยในอดีตน่าจะมีขนสีขาวปนน้ำตาล แต่ที่ผ่านมาด้วยอากาศร้อนทำให้เป็นขี้เรื้อนเช่นเดียวกับสุนัขตัวอื่นในวัด จึงถูกตัดขนเพื่อรักษาโรคเรื้อน และด้วยเพราะเจ้าโค้กเป็นสุนัขไม่ดุร้าย ผู้คนที่พบเห็นจึงเข้าไปหยอกล้อและถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกจนเป็นที่ร่ำลือถึงความน่ารัก

ด้านพระเทวิน อินทะญาโน พระลูกวัด กล่าวว่า 'เจ้าโค้ก' ถูกนำมาทิ้งในวัดประมาณ 4 ปีที่แล้ว โดยกินอยู่ในวัดจนเติบโต ซึ่งพระในวัดต่างเอ็นดูเพราะเจ้าโค้กไม่ดุร้าย ใครเรียกไปทางไหนก็ไป ส่วนสาเหตุที่เจ้าโค้กถูกตัดขน เพราะเป็นโรคขี้เรื้อน เด็กวัดจึงทายาทรักษาแต่เจ้าโค้กขนยาวยาทาไม่ถึงผิวหนัง จึงใช้ปัตตาเลี่ยนไถขนออกเพื่อให้สะดวกต่อการทายารักษา และหลังจากไถขนออกทำให้อาการดีขึ้น เริ่มมีขนบริเวณส่วนบนลำตัวจนเหมือนทรงโมฮอก ขอยืนยันว่าเด็กวัดไม่ได้ทรมานสัตว์ เพราะทั้งเด็กวัดรวมทั้งพระและชาวบ้านต่างรักและเอ็นดูเจ้าโค้ก รวมถึงญาติโยมที่มาทำบุญที่ต่างให้อาหารเจ้าโค้กมากกว่าสุนัขตัวอื่น.

โครงการ บิ๊กเบิ้ม โครงการ จำนำ ′ข้าว′ ในมือ บิ๊กบุญทรง

หาก มูดีส์ ไม่คอมเมนต์ว่าอาจลดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศ จากการขาดทุนสะสมเนื่องแต่โครงการรับจำนำข้าวร่วม 200,000 ล้านบาท

เราคงไม่รับรู้ถึง "ปัญหา" อันดำรงอยู่

คำว่าปัญหาในที่นี้มิได้หมายถึงจำนวนการขาดทุนสะสมว่าจะอยู่ระหว่าง 200,000 หรือ 260,000 ล้านบาทแน่ ประการเดียว

หากแต่อยู่ที่การบริหารจัดการเป็นประการสำคัญ

ขณะเดียวกัน คำว่า "บริหารจัดการ" ก็มิได้หมายเพียงที่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ "ภายใน" กระทรวงพาณิชย์เท่านั้น

หากที่ต้องเน้นก็คือ ยังดำรงอยู่ภายใน "รัฐบาล"

ที่จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างเป็นพิเศษ 1 คือ แถลงจาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

และ 1 คือ แถลงจาก นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์

น่าสนใจอย่างเป็นพิเศษอยู่ตรงที่ไม่มีอาการขยับขับเคลื่อนจาก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ แม้จะดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

แปลกอย่างประหลาด

ต่อข้อสังเกตอันมาจากมูดีส์ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของโลก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง กล่าวอย่างแบ่งรับแบ่งสู้

"น่าจะเป็นตัวเลขสะสมมาตั้งแต่สมัยไหนไม่รู้"

"ดูเหมือนว่าทางมูดีส์ได้ข้อมูลสาธารณชนทั่วไปมากกว่าข้อมูลที่เป็นทางการ ไม่น่าจะเป็นตัวเลขที่ตรงกับตัวเลขทางการ"

ยิ่งฟังคำของ นางวัชรี วิมุกตายน ยิ่งชวนให้น่าสงสัย

"ยังไม่ทราบข้อมูลที่ชัดเจนว่า คณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตร กระทรวงการคลังคำนวณตัวเลขอย่างไร เพราะข้าวในสต๊อกจากโครงการรับจำนำปี 2554/55 และปี 2555/56 ยังขายไม่หมด"

ที่น่าแคลงใจมากยิ่งไปกว่านั้นยังอยู่ที่

"ได้พยายามขอข้อมูลกระทรวงการคลัง แต่ได้รับคำตอบว่าผู้ใหญ่ไม่ให้ จึงทำให้ไม่ทราบว่าคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำผลผลิตการเกษตรคำนวณอย่างไร"

เพราะคำนวณไปคำนวณมาขาดทุนมากถึง 260,000 ล้านบาท

ทั้งๆ ที่กระทรวงการคลังมี นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ก็เคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

"ผู้ใหญ่" ที่ว่านั้นเป็นใคร

หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของชินคอร์ปอเรชั่นและรวมถึงเอสซี แอสเสทมาก่อน

ก็ไม่มีใครสงสัย

และหาก นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ไม่เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาก่อน

ก็ไม่มีใครสงสัย

แต่นี่ภาพของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาพร้อมกับภาพของกระบวนการบริหารจัดการแบบใหม่

จึงน่าสงสัย

ไม่เพียงเป็นความสงสัยต่อความรู้ในเรื่องการบริหารจัดการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง หากแต่ยังเป็นความคลางแคลงว่าปล่อยให้การบริหารจัดการเดินมาเป็นเวลาเกือบ 2 ปีได้อย่างไร

โดยไม่มีการประสานระหว่าง "คลัง" กับ "พาณิชย์"

โดยเจ้ากระทรวงพาณิชย์ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ นิ่งเหมือนทองไม่รู้ร้อน ปล่อยให้คนอื่นวิ่งพล่านกันถ้วนหน้า

ทั้งๆ ที่มิได้รับผิดชอบโดยตรง

อาจเป็นเพราะหลังพิงของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เป็นเหมือนผนังทองแดง กำแพงเหล็ก

1 เคยเป็นคนใกล้ชิดสนิทสนมกับ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 1 เป็นนักการเมืองอาวุโสทางภาคเหนือที่นายกรัฐมนตรีให้ความเกรงใจเป็นอย่างสูง

จึงไม่รู้ร้อน จึงไม่รู้หนาว


"มหิดล"วิจัยพบ"น้ำพริกตาแดง" มีสารต้าน"มะเร็ง-เบาหวาน-ความดัน-หัวใจ"

นักโภชนาการมหิดลเผยวิจัยพบสารต้านอนุมูลอิสระใน "น้ำพริกตาแดง" ชี้กินเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงเป็น "มะเร็ง-เบาหวาน-หัวใจ-ความดันโลหิต"ได้

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน นายเอกราช เกตวัลห์ นักวิชาการประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า อาหารไทยถือว่าเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารหลากหลาย โดยเฉพาะน้ำพริกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นอาหารติดบ้านเรือนของคนไทย ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ได้มีการวิจัยคุณค่าทางอาหารในน้ำพริกตาแดง พบว่าเป็นน้ำพริกที่มีส่วนประกอบจากเครื่องเทศและสมุนไพรสดหลายชนิด ซึ่งล้วนมีสารสำคัญที่ช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสารก่อโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ

"จากการวิจัยได้ใช้น้ำพริกตาแดงที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ ศึกษาปริมาณสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในหลอดทดลอง โดยใช้ 3 วิธีทดสอบทางวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่มีหลักการแตกต่างกัน พบว่าน้ำพริกตาแดงตำรับสุขภาพมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) และลูทีน (Lutein) อยู่ในปริมาณสูง ซึ่งสารเหล่านี้สามารถต้านอนุมูลอิสระได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังได้นำไปทดสอบฤทธิ์ต้านออกซิเดทีพ สเตรส (Oxidative Stress) ซึ่งเป็นภาวะที่ไม่สามารถต้านสารอนุมูลอิสระได้ และฤทธิ์ต้านการอักเสบในร่างกายของหนูทดลองที่ได้รับการเหนี่ยวนำด้วยควันบุหรี่ เป็นเวลา 2 เดือน พบว่าหนูกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่และได้รับอาหารผสมน้ำพริกตาแดง 1 หน่วย และ 2 หน่วย เทียบกับหน่วยบริโภคของคนน้ำหนัก 50 กิโลกรัม และน้ำหนักหนู สามารถต้านสารอนุมูลอิสระ และการเกิดออกซิเดชั่นของไขมันได้ดีกว่ากลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่เอนไซม์ที่ทำหน้าที่ต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกายมีค่าเพิ่มขึ้น เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับควันบุหรี่อย่างเดียว และกลุ่มควบคุม" นายเอกราชกล่าว

จากผลการวิจัยดังกล่าว นายเอกราชกล่าวว่า สรุปได้ว่าน้ำพริกตาแดงประกอบด้วยสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพที่สามารถต้านอนุมูลอิสระทั้งในหลอดทดลอง และในร่างกายของหนู นอกจากนี้ ยังสามารถลดการอักเสบจากการได้รับควันบุหรี่อีกด้วย ดังนั้น หากมีการบริโภคน้ำพริกตาแดงเป็นประจำ อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ ที่เกิดจากสารอนุมูลอิสระได้ อาทิ เบาหวาน ความดันโลหิต หัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ ด้าน รศ.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันโภชนาการ มหิดล กล่าวว่า อาหารไทยมักมีส่วนประกอบพวกเครื่องแกง พริกต่างๆ ซึ่งล้วนมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น พริก มีคุณสมบัติช่วยระบบไหลเวียนของเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นช้า ป้องกันการเกิดมะเร็ง กระเทียม มีฤทธิ์ในการลดระดับคอเลสเตอรอลและน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ตะไคร้ มีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด หอมแดง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ข่า มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แบคทีเรีย และยีสต์ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกมะเร็ง ผิวมะกรูด ลดความดันโลหิต เป็นต้น จึงแนะนำให้ทุกบ้านบริโภคน้ำพริกเป็นอาหารหลัก

จับรองสารวัตรสืบสวน สภ.ท่าหิน คาบ้านพัก บุกเดี่ยวปล้นทองบิ๊กซีแจ้งวัฒนะ 209 บาท

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 5 มิถุนายน พล.ต.ท.นเรศ นันทโชติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 (ผบช.ภ.1) แถลง พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง และ พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รอง ผบช.ภ.1 นำกำลังฝ่ายสืบสวน สภ.ปากเกร็ด และ บก.สส.ภ.1 เข้าจับกุม ร.ต.อ.ปองภพ ปิ่นจันทาบัว อายุ 35 ปี รอง สว.สส.สภ.ท่าหิน จ.ลพบุรี ผู้ต้องหาชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ

ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี พร้อมของกลางทองคำรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 53 บาท รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า แบบ 4 ประตู รุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน กธ 487 สระบุรี เครื่องแต่งกายที่ใช้ก่อเหตุ อาวุธปืนพกสั้น แบบรีวอลเวอร์ ขนาด.38 ของทางราชการ 1 กระบอก

พล.ต.ท.นเรศกล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เวลา 19.10 น.คนร้ายชายหนึ่งคน ใช้อาวุธปืนก่อเหตุชิงทรัพย์ร้านทองออโรร่า ตั้งอยู่บนห้างบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า สาขาถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ได้ทองคำรูปพรรณ น้ำหนักประมาณ 209 บาท มูลค่า 4,970,515 บาท และเงินสดประมาณ 161,580 บาท ใช้รถยนต์กระบะคันดังกล่าวขนของกลางหลบหนีไป

ต่อมา พล.ต.ต.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบก.ภ.จว.นนทบุรี พ.ต.อ.นฤนาท พุทไธสง ผกก.สภ.ปากเกร็ด และฝ่ายสืบสวน สภ.ปากเกร็ด สืบทราบว่า รถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นรถของแฟนสาว ร.ต.อ.ปองภพ ที่ ร.ต.อ.ปองภพ ใช้ขับขี่ประจำ จากการรวบรวมพยานหลักฐาน พยานแวดล้อมต่างๆ เชื่อว่า ร.ต.อ.ปองภพ เป็นผู้ก่อเหตุ จึงนำภาพถ่ายให้พยานพนักงานของร้านค้าทองดู ยืนยันว่า ร.ต.อ.ปองภพ เป็นคนร้ายก่อเหตุ จึงออกหมายจับและจับกุมได้ที่บ้านพัก สภ.ท่าหิน อ.เมืองลพบุรี

พล.ต.ต.เมธีกล่าวว่า การสืบสวนเริ่มผิดปกติตั้งแต่รถยนต์คนร้ายที่ใช้ก่อเหตุ แบบ 4 ประตู รุ่นวีโก้ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ทั้งด้านหน้าและหลัง สันนิษฐานว่าคนร้ายน่าจะเป็นคนในพื้นที่เพราะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนลักษณะแบบนี้น่าจะรู้จักคุ้นเคยคนในพื้นที่และเส้นทางหลบหนีของคนร้ายรู้ละเอียด หากคนร้ายที่จะใช้ก่อเหตุไม่น่าจะใช้รถกระบะชิงทอง รู้ช่องทางอย่างดี

ต่อมาฝ่ายสืบสวน สภ.ปากเกร็ดทราบว่า รถยนต์คนร้ายที่มาก่อเหตุจากตำหนิรูปพรรณ เห็นมาจอดบริเวณแฟลตเยื้อง สภ.ปากเกร็ด จึงตรวจสอบพบว่าเป็นของแฟนสาว ร.ต.อ.ปองภพ และยังเปิดเฟซบุ๊กของ ร.ต.อ.ปองภพ พบการแต่งกายลักษณะคนร้ายที่ก่อเหตุ จึงเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวจนพบความผิดปกติของ ร.ต.อ.ปองภพ ว่าหลังจากที่ร้านทองถูกปล้น ร.ต.อ.ปองภพ มีเงินมาไถ่ถอนอาวุธปืนจำนวน 2 กระบอก ราคา 200,000 บาท จากเพื่อนและชำระหนี้สินที่ติดค้างในกลุ่มเพื่อนๆ โดยใช้เงินฟุ่มเฟือย จากการสอบถามเจ้าของร้านทองว่าเคยผู้ก่อเหตุคุ้นหน้าคุ้นตาคนร้าย และยืนยันว่า ร.ต.อ.ปองภพ เป็นผู้ก่อเหตุ

พล.ต.ต.เมธีกล่าวอีกว่า ช่วงเช้าวันเดียวกันตน พร้อมกับ พล.ต.ต.ชยุตจึงนำกำลังแยกย้ายเข้าพื้นที่โดยแบ่งไปที่จังหวัดสระบุรี บ้านแฟนสาว และลพบุรี บ้านพักของผู้ต้องหา เมื่อพบตัวจึงแสดงหมายจับกุม ผู้ต้องหาให้การรับสภาพ ซึ่งขณะนั้น ผู้ต้องหาได้ขึ้นลำอาวุธปืนไว้ จึงสั่งให้วางปืน ว่าเราพบกันคนละครึ่งทางแล้วจะขออะไรก็ว่ามา จากนั้นผู้ต้องหาพาขึ้นไปเอาทองคำรูปพรรณของกลางที่ตรวจยึดมาได้ และที่ผู้ต้องหาใส่อีก พร้อมกับตรวจพบของกลางเสื้อผ้าที่ใส่ในวันที่ก่อเหตุ

“ผู้ต้องหานั้นติดการพนัน มีหนี้สินเต็มตัว ตั้งแต่เป็นชั้นประทวนอยู่ สภ.ปากเกร็ด จากนั้นสอบได้เป็น ร.ต.ต.อยู่ที่ สภ.ท่าหิน ก่อนย้ายกลับมาที่ สภ.ปากเกร็ด และล่าสุดมาที่ สภ.ท่าหิน จนมาถูกจับกุม ถึงแม้การสืบสวนว่าคนร้ายเป็นตำรวจทาง บช.ภ.1 ก็ไม่ได้ทำงานแบบสองมาตรฐานไม่ทิ้งงานในหน้าที่ใครทำผิดต้องรับผิดชอบ” พล.ต.ต.เมธีกล่าว