ข่าว
ปะทุอีกที่ ภูเขาไฟคิลาเวในฮาวายปะทุพ่นน้ำพุลาวา

ภูเขาไฟคิลาเว หนึ่งในภูเขาไฟที่ยังคงมีความเคลื่อนไหวถี่ที่สุดลูกหนึ่งของโลก เกิดการปะทุพ่น น้ำพุลาวาอีกรอบ พร้อมส่งกลุ่มแก๊สลอยขึ้นมาในอากาศ

เจ้าหน้าที่จากหน่วยสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐอเมริกา พบการปะทุพ่นลาวาของภูเขาไฟคิลาเว บนเกาะฮาวายของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธตามเวลาในท้องถิ่น โดยจะเห็นน้ำพุลาวาพ่นปกคลุมไปทั่วบริเวณปากปล่อง พร้อมส่งกลุ่มแก๊สลอยขึ้นมาในอากาศ โดยในพื้นที่ดังกล่าวมีทะเลสาบลาวาขนาดใหญ่รองรับอยู่ ซึ่งล้วนเป็นลาวาที่ปะทุออกมาจากการปะทุของภูเขาไฟครั้งก่อน

อย่างไรก็ตาม การปะทุในครั้งนี้ไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะ เนื่องจากเป็นการปะทุในพื้นที่ที่ห่างไกลจากชุมชน โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การปะทุของลาวาน่าจะอยู่ภายในปล่องภูเขาไฟและอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูเขาไฟฮาวายเท่านั้น และยังไม่เห็นสัญญาณว่าลาวาจะเคลื่อนตัวไปยังชุมชนแต่อย่างใด

โดยในขณะนี้ มีการประกาศเตือนภัยภูเขาไฟ ในระดับเฝ้าระวัง ขณะที่รหัสการบินถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง หลังจากตรวจพบความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดแผ่นดินไหว และตรวจจับพบการโก่งตัวของพื้นผิว ภูเขาไฟคิลาเวลูกนี้เคยเกิดการปะทุรุนแรงเมื่อปี 2018 ทำลายบ้านเรือนประชาชนพังเสียหายไปถึงมากกว่า 700 หลังคาเรือน และทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพย้ายที่อยู่ โดยก่อนหน้าที่จะเกิดการระเบิดรุนแรงครั้งนั้น คิลาเวเคยระเบิดเมื่อปี 1983 พ่นลาวาจำนวนมากออกจากปากปล่อง ทำให้พื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายเช่นกัน

ที่มา : เอบีซีดอทเน็ต

ออสเตรเลียเตรียมเปิดพรมแดน พ.ย. 64 หลังล็อกสกัดโควิดนาน 18 เดือน

1 ต.ค. 64 เว็บไซต์อัลจาซีราและแชนเนลนิวส์เอเชีย รายงาน นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน แห่งออสเตรเลียเตรียมผ่อนปรนมาตรการ เพื่อเปิดพรมแดนระหว่างประเทศอีกครั้งตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ หลังจากได้สั่งปิดพรมแดน ห้ามไม่ให้ชาวออสเตรเลียเดินทางออกนอกประเทศหากไม่ได้รับอนุญาต และขณะเดียวกันก็ทำให้พลเมืองชาวออสเตรเลียต้องติดค้างอยู่ในต่างประเทศมานานนับ 18 เดือน ตั้งแต่มีนาคม 2563

นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันกล่าวระหว่างการแถลงข่าวว่า ชาวออสเตรเลียจะสามารถเดินทางกลับมาประเทศและเดินทางไปต่างประเทศได้ ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า หากสามารถฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชน 80% ของจำนวนประชากรในประเทศ

“ถึงเวลาที่จะให้ชีวิตของชาวออสเตรเลียกลับคืนมาแล้ว พวกเราพร้อมแล้ว และออสเตรเลียจะพร้อมที่จะเทคออฟ เหินฟ้าในเร็วๆ นี้” นายกรัฐมนตรีมอร์ริสันกล่าวให้ความหวังแก่ชาวออสเตรเลีย

ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการออสเตรเลีย กล่าวด้วยว่า รัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นรัฐที่เร่งฉีดวัคซีนต้านโควิดให้แก่ประชาชนถึง 80% แล้ว อาจเป็นรัฐนำร่องทดสอบในแผนนี้

สำหรับเฟสแรกของการเปิดพรมแดนนี้ จะโฟกัส มุ่งไปที่ชาวออสเตรเลียที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วและผู้มีที่พำนักถาวรในออสเตรเลียที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในประเทศออสเตรเลียได้ ทว่ารัฐบาลออสเตรเลียจะยังคงมีการกำหนดจำนวนผู้ที่จะได้เดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งเมื่อเข้ามาแล้วจะต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน

ทั้งนี้ สถานการณ์โควิด-19 ระบาดในออสเตรเลีย ยังพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เมื่อ30 ก.ย. จำนวน 2,005 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 18 ศพ หลังจากเมื่อ 29 ก.ย. 2,400 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 12 ศพ ทำให้ยอดสะสมผู้ติดเชื้อโควิดในออสเตรเลียเพิ่มเป็น 107,128 ราย และเสียชีวิต 1,309 ศพ

เจ้าหญิงมาโกะเตรียมเสกสมรสเดือนนี้ ฝ่าขวากหนามรักจนเป็นโรคเครียด

BBC:วังญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ เจ้าหญิงมาโกะเตรียมเสกสมรสกับคู่หมั้นหนุ่มสามัญชน เดือนนี้ อีกทั้งยังระบุว่าเจ้าหญิงมาโกะทรงเป็นโรคเครียดหลังถูกสื่อขุดคุ้ยครอบครัวแฟนต่อเนื่องหลายปีจนต้องเลื่อนเสกสมรส

1 ต.ค. 64 สำนักพระราชวังอิมพีเรียลแห่งญี่ปุ่นออกแถลงการณ์ เจ้าหญิงมาโกะ พระราชนัดดาในสมเด็จพระจักรพรรดินารุฮิโตะแห่งญี่ปุ่น มีกำหนดการจะเสกสมรสกับนายเคโอะ โคมุโระ คู่หมั้นหนุ่มสามัญชน ในวันที่ 26 ตุลาคม นี้ และเจ้าหญิงมาโกะจะทรงสละฐานันดรศักดิ์

ขณะที่สำนักข่าวเกียวโดในญี่ปุ่นยังรายงาน สำนักพระราชวังอิมพีเรียลมีการระบุด้วยว่า จากการที่สื่อได้รายงานชีวิตรักของเจ้าหญิงมาโกะและได้ขุดคุ้ยโจมตีครอบครัวของนายโคมุโระ พระคู่หมั้นต่อเนื่องหลายปี ได้ทำให้เจ้าหญิงมาโกะทรงมีพระอาการโรคเครียด post-traumatic stress disorder ซึ่งเป็นสภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากประสบเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรงโดยที่ไม่คาดฝัน

บีบีซี รายงานด้วยว่าหลังจากเสกสมรสแล้ว คาดว่าเจ้าหญิงมาโกะ ซึ่งเป็นพระธิดาองค์โต ในเจ้าชายฟุมิฮิโตะ มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น และเจ้าหญิงคิโกะ จะย้ายไปสร้างครอบครัวใหม่ในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากนายโคมุโระทำงานเป็นทนายความที่นั่น

สำหรับพิธีเสกสมรสระหว่างเจ้าหญิงมาโกะ กับนายโคมุโระ ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียน ได้ถูกเลื่อนมาตั้งแต่ปี 2561 แล้ว หลังจากได้หมั้นหมายกันตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากครอบครัวของนายโคมุโระถูกสื่อในญี่ปุ่นขุดคุ้ยโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องที่แม่ของนายคุโมโระถูกครหาว่าได้ยืมเงินจากอดีตคู่หมั้นมากว่า 4 ล้านเยน ซึ่งส่วนหนึ่งนำไปเป็นค่าเล่าเรียนของโคมุโระในสหรัฐอเมริกา ทว่ามารดาของนายโคมุโระยังไม่คืนเงินจำนวนนี้

ทั้งนี้ จากการที่สำนักพระราชวังอิมพีเรียลระบุว่าเจ้าหญิงมาโกะประชวรด้วยโรคเครียดอันเกิดจากการที่จิตใจถูกกระทบกระเทือนอย่างแรงนั้น ถือว่า คล้ายกับจักรพรรดินีมาซาโกะ พระมาตุจฉา (ป้า) ของเจ้าหญิงมาโกะ ที่เคยประชวรด้วยโรคเครียดจากการต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในราชวงศ์ญี่ปุ่น

ลำดับเหตุการณ์ เจ้าหญิงฝ่าอุปสรรครัก กว่าจะได้ฤกษ์วิวาห์

3 ก.ย. 2560 สำนักพระราชวังอิมพีเรียลประกาศว่า เจ้าหญิงมาโกะทรงหมั้นกับนายเค โคมูโระ ธ.ค. 2560 นิตยสารรายสัปดาห์หลายเล่มรายงานว่า มารดาของนายโคมูโระประสบปัญหาด้านการเงิน

6 ก.พ. 2561 สำนักพระราชวังอิมพีเรียลประกาศเลื่อนพิธีแต่งงาน หลังจากมีรายงานข่าวปัญหาด้านการเงินของแม่ฝ่ายชายและคนรักเก่าของแม่

7 ส.ค. 2561 นายโคมูโระไปศึกษาต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา พ.ย. 2561 มกุฎราชกุมารฟูมิฮิโตะ พระบิดาของเจ้าหญิงมาโกะ ตรัสว่าครอบครัวของโคมูโระควรแก้ไขปัญหาด้านการเงินเสียก่อน การแต่งงานจึงจะเดินหน้าต่อไปได้

22 ม.ค. 2562 นายโคมูโระกล่าวในแถลงการณ์ว่า ครอบครัวของเขาเชื่อว่าแก้ปัญหาทางการเงินเรียบร้อยแล้ว

13 พ.ย. 2563 เจ้าหญิงมาซาโกะทรงออกแถลงการณ์ว่าพระองค์และพระคู่หมั้นคิดว่าการแต่งงานเป็น “ตัวเลือกที่จำเป็น”สำหรับทั้งคู่ พ.ย. 2563 มกุฎราชกุมารฟูมิฮิโตะทรงพระอนุญาตให้เจ้าหญิงมาซาโกะแต่งงานได้ แต่ทรงย้ำว่าจะต้องงแก้ปัญหาความขัดแย้งให้ได้

8 เม.ย. 2564 นายโคมูโระออกแถลงการณ์ลงรายละเอียดของความขัดแย้ง และแสดงความมุ่งมั่นที่จะแต่งงานกับเจ้าหญิงมาโกกะ

12 เม.ย. 2564 นายโคมูโระแสดงความตั้งใจที่จะจ่ายเงินให้กับอดีตคู่หมั้นของมารดาเพื่อยุติความขัดแย้ง พ.ค. 2564 นายโคมูโระจบการศึกษานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม

ก.ค. 2564 นายโคมูโระสอบบาร์ในรัฐนิวยอร์กเพื่อได้รับใบอนุญาตทนายความ

27 ก.ย. 2564 นายโคมูโระกลับมาญี่ปุ่นเพื่อเตรียมจดทะเบียนสมรส

1 ต.ค. 2564 สำนักพระราชวังอิมพีเรียลประกาศว่าเจ้าหญิงมาโกะจะแต่งงานกับนายโคมูโระและจะมีการแถลงข่าวในวันที่ 26 ต.ค. 2564 หรือวันแต่งงานของทั้งสอง


ช็อก ผู้ว่าฯ นิวเซาท์เวลส์ลาออก เซ่นปมทุจริต

ผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ ของออสเตรเลีย ประกาศลาออก หลังถูกกล่าวหาทุจริต ขณะที่สถานการณ์ การระบาดยังหนักหน่วง

1 ต.ค. 2564: นางเกลดีส์ เบเรจิเคลียน ผู้ว่าการหญิงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ที่มีบทบาทอย่างมากในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ประกาศลาออกในวันนี้ หลังจากคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต หรือ ICAC กลุ่มวอตช์ด็อกด้านคอร์รัปชันระบุว่า กำลังเร่งสืบสวนว่านางเบเรจิเคลียนมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายหรือไม่

โดยการลาออกกะทันหันในครั้งนี้ ได้สร้างความตกใจให้แก่ชาวนิวเซาท์เวลส์เป็นอย่างมาก เนื่องจากที่ผ่านมา นางเบเรจิเคลียน ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการระบาดของโควิด-19 ในรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดหนักในช่วงเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่เธอเข้ามารับตำแหน่งเมื่อปี 2017 โดยนับเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับการเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐ เนื่องจากออสเตรเลียกำลังจะยุติการล็อกดาวน์ และจะเปิดประเทศรับชาวต่างชาติในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้

นางเบเรจิเคลียนเปิดใจว่า การพิสูจน์ข้อกล่าวหาครั้งนี้จะนับเป็นเรื่องราวที่ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ต่อไป ซึ่งแม้ว่าประเด็นนี้จะอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน แต่เธอก็รู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ลาออก เพราะกรอบระยะเวลาในการสืบสวนยังต้องใช้เวลาอีกนาน อีกทั้งรัฐนิวเซาท์เวลส์จะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวผู้นำ ถึงจะทำให้สามารถต่อสู้ผ่านพ้นการระบาดครั้งนี้ไปได้ โดยเธอยังเน้นย้ำว่าเธอได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ที่สุดตลอดเวลา ในการทำหน้าที่ที่ผ่านมา

นับว่านางเบเรจิเคลียนเป็นผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์คนที่ 2 ที่ลาออกจากตำแหน่ง เพราะข้อกล่าวหาของคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต หลังจากนายแบร์รี่ โอ ฟาร์เรล อดีตผู้ว่าการรัฐนิวเซาท์เวลส์ลาออกไปตั้งแต่ปี 2014 เนื่องจากมีหลักฐานว่าเขาไม่ได้แจ้งหลักฐานต่อคณะกรรมาธิการ เกี่ยวกับการรับของขวัญเป็นไวน์มูลค่า 3,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

ทั้งนี้ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา การติดเชื้อรายวันในรัฐนิวเซาท์เวลส์ถือว่าเริ่มลดลง หลังจากที่ประชากรได้รับวัคซีนเกือบจะถึงเป้าที่ 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว โดยคาดว่าหากสถานการณ์เป็นเช่นนี้จะสามารถคลายล็อกดาวน์ได้ในช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยในวันศุกร์รัฐนิวเซาท์เวลส์มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 864 ราย และเสียชีวิตเพิ่มอีก 15 ศพ แต่เจ้าหน้าที่ยังคงเตือนโรงพยาบาลต่างๆ ให้เตรียมรับมือกับจำนวนผู้ป่วยที่อาจจะเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเดือนตุลาคม เนื่องจากเริ่มมีการคลายมาตรการต่างๆ ลงแล้ว

ที่มา : แชนแนลนิวส์เอเชีย


จีนเชิญธงฉลองวันชาติ ก่อตั้ง “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ครบ 72 ปี

จีนเชิญธงฉลองวันชาติ ครบรอบการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน 72 ปี ที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในกรุงปักกิ่ง

เมื่อ 1 ต.ค. 64 สำนักข่าวซินหัวรายงานทางการจีนมีพิธีเชิญธงชาติของสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นสู่ยอดเสา ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน ใจกลางกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของจีน เมื่อช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 1 ต.ค. 2564 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 72 ปี การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีประชาชนมาร่วมในพิธีจำนวนมาก

ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2492 ในพิธีที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองวันชาติทั่วจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และมาเก๊า ในขณะที่ทางการยังประกาศให้เป็นช่วงวันหยุดยาวสัปดาห์ทอง “โกลเดนวีก” นานถึง 7 วัน เพื่อให้ประชาชนได้เดินทางท่องเที่ยวพักผ่อนอย่างมีความสุขด้วย

ที่มาข้อมูล-ภาพ : Xinhuathai

คิมจองอึนมาแปลก เสนอฟื้นสายด่วนติดต่อกับเกาหลีใต้

วันศุกร์ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 เปียงยาง/โซล (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์) - คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือกล่าวว่า เขามีความตั้งใจที่จะรื้อฟื้นโทรศัพท์สายด่วนระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในเดือนหน้า หลังจากสายด่วนดังกล่าวถูกตัดขาดไป พร้อมกล่าวหาสหรัฐฯ ว่า เสนอเปิดเจรจากับเกาหลีเหนือโดยไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เป็นปรปักษ์กับเกาหลีเหนือ

สำนักข่าวกลางเกาหลี หรือเคซีเอ็นเอ ของทางการเกาหลีเหนือ รายงานว่า คิม จอง อึน กล่าวเรื่องนี้ในระหว่างการประชุมสมัชชาประชาชนสูงสุด หรือรัฐสภาเกาหลีเหนือที่เป็นเสมือนสภาตรายาง ซึ่งประชุมกันเป็นวันที่สองในวันพฤหัสบดี เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ คิมกล่าวแสดงความตั้งใจว่า อยากจะให้มีการกลับไปต่อโทรศัพท์สายตรงกับเกาหลีใต้ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป พร้อมกับวิพากษ์ตำหนิเกาหลีใต้ว่าคิดไปเองกับสิ่งที่เกาหลีใต้เรียกว่าเป็นการยั่วยุทางทหารจากเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือตัดการติดต่อทางโทรศัพท์สายด่วนกับเกาหลีใต้เมื่อต้นเดือนสิงหาคม เพื่อเป็นการประท้วงที่เกาหลีใต้และสหรัฐฯจัดการซ้อมรบ หลังจากที่เพิ่งจะกลับมาต่อสายด่วนติดต่อกันเพียงไม่กี่วัน

คิม จอง อึน กล่าวว่า การตัดสินใจเปิดสายด่วนอีกครั้งเพื่อช่วยไห้เข้าใจถึงความคาดหวังและความปรารถนาของชาวเกาหลีทั้งชาติ เพื่อฟื้นฟูสันติภาพที่ยืนยาวและความสัมพันธ์ระหว่างสองเกาหลี พร้อมกับกล่าวว่า เกาหลีเหนือไม่เคยมีเจตนาหรือมีเหตุผลใดที่จะยั่วยุเกาหลีใต้และไม่มีแนวคิดที่จะทำร้ายด้วย อย่างไรก็ดี คิมมีท่าทีแข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ โดยกล่าวหาประธานาธิบดีโจ ไบเดนว่าใช้หนทางและวิธีการที่เจ้าเล่ห์ในการสร้างภัยคุกคามทางทหารและมีนโยบายที่เป็นปรปักษ์ต่อเกาหลีเหนือ ในขณะที่ยื่นข้อเสนอขอเจรจา ซึ่งเป็นเพียงการปิดบังนโยบายความเป็นศัตรูที่ใช้มาอย่างยาวนานของทางสหรัฐฯ เท่านั้น

ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าคิม โย จอง น้องสาวของคิม จอง อึน ได้รับการปรับตำแหน่งขึ้นเป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการกิจการแห่งชาติ ซึ่งมีอำนาจเด็ดขาดเชิงนโยบายและการเมือง จากที่ก่อนหน้านี้ คิม โย จอง ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ หลายตำแหน่ง รวมถึงที่ปรึกษาของพี่ชาย และถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ดีตำแหน่งคณะกรรมาธิการกิจการแห่งชาติ ถือว่าเป็นตำแหน่งสูงสุดที่เธอได้รับ

คิม โย จอง เข้ารับตำแหน่งใหม่นี้พร้อมกับคนอื่นๆ อีก 7 คน ที่มาแทนที่สมาชิกชุดเดิมที่ถูกลดตำแหน่ง หรือเกษียณอายุ แต่คิม โย จอง เป็นผู้หญิงคนเดียวในคณะกรรมาธิการชุดใหม่นี้ โดยหนึ่งในสมาชิกคณะกรรมาธิการที่ถูกลดตำแหน่ง คือ รี พยอง โชล วัย 82 ปีผู้บัญชาการทหารสูงสุด และปัก ปอง จู วัย 82 ปี ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของคิม จอง อึน ตลอด 10 ปีมานี้ ส่วนผู้ที่มาดำรงตำแหน่งแทนที่ รี พยอง โชล คือ นายพลปัก จง ชอน ที่รับผิดชอบโครงการพัฒนาอาวุธ ซึ่งเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เขาเป็นผู้ควบคุมการทดสอบอาวุธที่เกาหลีเหนืออ้างว่า เป็นขีปนาวุธความเร็วเสียงลำแรกของเกาหลีเหนือ