เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 ตามเวลาประเทศไทย ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่อยู่ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 78 (UNGA78) โดยอินสตาแกรม sretthathavisin ได้เผยคลิป นายกฯ สวมชุดสูท เนกไทสีแดง ถุงเท้าสีแดง เดินบนถนนและข้ามทางม้าลาย พร้อมข้อความว่า "มานิวยอร์กเจอรถติด เลยเดินมาประชุมแทน อากาศกำลังเย็นสบายเหมือนเปิดแอร์เบาๆ เลยครับ"

จากกรณีเมื่อเวลา 11.25 น.วันที่ 20 ก.ย. 66 พ.ต.ต.นิมะอามิง วาเต๊ะ สารวัตรสอบสวน สภ.ระแงะ จ.นราธิวาส รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลระแงะ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกยิงเสียชีวิต จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.อาภากร วิรูปักษ์อารักษ์ ผกก.สภ.ระแงะ พ.อ.ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผบ.ฉก.ทพ.45 และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง รุดเดินทางไปตรวจสอบ ทราบชื่อผู้เสียชีวิตคือ ส.ต.อ.วิศิษฐ์ แก้วพิภพ อายุ 32 ปี ผบ.หมู่ นปพ.ภ.จว.นราธิวาส มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืน เอ็ม.16 ที่บริเวณด้านหลังทะลุหน้าอกตัดขั้วหัวใจ จำนวน 4 นัด และทราบว่าจุดเกิดเหตุเป็นฐานปฏิบัติการบ้านลาลู ม.8 ต.ตันหยงลิมอ

พ.ต.อ.อาภากร วิรูปักษ์อารักษ์ ผกก.สภ.ระแงะ ได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส ร่วมสนับสนุนเดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบฐานปฏิบัติการดังกล่าวตั้งอยู่ในสวนยางพาราของชาวบ้านริมถนนในหมู่บ้านลาลู โดยจุดเกิดเหตุเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวของกองบังคับการของหน่วย ซึ่งปลูกสร้างอยู่ใจกลางของที่ตั้งฐาน ซึ่งประตูทางเข้าอาคารกองบังคับการ มีรถ จยย.จอดอยู่ 1 คัน และมีโต๊ะไม้ขนาดใหญ่พร้อมเก้าอี้ตั้งอยู่ 1 ชุด โดยที่บริเวณพื้นปูนของอาคารมีกองเลือดจำนวนหนึ่งตกอยู่ พร้อมปลอกกระสุนปืน เอ็ม.16 ตกอยู่ จำนวน 2 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบสวนทราบว่า ในระหว่างที่ ส.ต.อ.วิศิษฐ์ ผู้เสียชีวิต กำลังปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรยามรักษาการณ์ที่อาคารกองบังคับการอยู่นั้น ได้มีเพื่อนตำรวจอีก ประมาณ 4 ถึง 5 นาย นั่งคุยกันอยู่ที่บริเวณโต๊ะไม้ จู่ๆ ส.ต.อ.ทัชรินทร์ แก้วคง อายุ 32 ปี ได้ถืออาวุธปืนเอ็ม.16 แบบ M4 เดินเข้าไปในอาคารกองบังคับการ แล้วใช้อาวุธปืนยิงใส่ ส.ต.อ.วิศิษฐ์ ที่กำลังนั่งเข้าเวรรักษาการณ์ จำนวน 4 นัดซ้อน จากบริเวณด้านหลังทะลุหน้าอกตัดขั้วหัวใจ ส่วนเพื่อนๆต่างพากันวิ่งหลบหนีออกจากอาคารกองบังคับการกันอย่างชุนละมุน

แหล่งข่าวเผยว่า หลังจากที่ ส.ต.อ.ทัชรินทร์ ได้ใช้อาวุธปืนก่อเหตุ ส.ต.อ.วิศิษฐ์ แล้ว ได้ถืออาวุธปืนวิ่งหลบหนีออกจากฐาน โดยเข้าไปยังสวนยางพาราฝั่งตรงข้ามกับฐาน จากนั้นได้ซุกซ่อนอาวุธปืนในป่า ก่อนที่จะเดินเข้าไปยังร้านนน้ำชาในหมู่บ้าน เมื่อตั้งสติได้จึงได้เดินทางไปยังฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4504 และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เจ้าหน้าที่ทหารพรานฟัง แต่ไม่กล้าที่จะเดินทางกลับไปยังฐาน เนื่องจากกลัวจะถูกเพื่อนตำรวจด้วยกันยิงจนเสียชีวิต จึงมีความคิดเดินทางพบกับเจ้าหน้าที่ทหารพราน ช่วยเป็นสื่อกลางในการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อขอมอบตัวกับเหตุที่ตนได้ก่อไว้

ต่อมา พ.ต.ต.นิมะอามิง สารวัตรสอบสวน สภ.ระแงะ และเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง หลังรับได้รับการประสานกับเจ้าหน้าที่ทหารพรานกองร้อยทหารพรานที่ 4504 ได้เดินทางไปยังฐานปฏิบัติการกองร้อยทหารพรานที่ 4504 เพื่อมารับตัว ส.ต.อ.ทัชรินทร์ พร้อมได้ควบคุมตัวไปเอาอาวุธปืน เอ็ม.16 ของกลางที่ใช้ยิง ส.ต.อ.วิศิษฐ์ เสียชีวิต ที่ซุกซ่อนไว้ในป่า และได้ควบคุมมาสอบสวนที่ สภ.ระแงะ ซึ่ง ส.ต.อ.ทัชรินทร์ อยู่ในอาการเซื่องซึมไม่พูดไม่จากับผู้ใด

แหล่งข่าวยังระบุว่า ส.ต.อ.ทัชรินทร์ ผู้ก่อเหตุเคยถูกส่งตัวไปปฏิบัติหน้าที่หลายแห่ง ในสังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธร จ.นราธิวาส แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวกลับสังกัดเดิม และล่าสุดประจำอยู่ฐานปฏิบัติการบ้านลาลู ทางผู้บังคับบัญชาได้อนุญาตให้เดินทางกลับภูมิลำเนาที่ จ.พัทลุง เพื่อเข้าบำบัดยาเสพติดและเข้ารักษาอาการทางจิตอยู่เป็นเวลานาน และล่าสุด ส.ต.อ.ทัชรินทร์ ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ดั่งเดิมที่ฐานปฏิบัติการบ้านลาลู ซึ่งทราบว่าหลังกลับมาปฏิบัติหน้าที่ ส.ต.อ.ทัชรินทร์เมื่อปฏิบัติหน้าที่เข้าเวรยามมักจะแอบหลับอยู่เสมอ และ ส.ต.อ.วิศิษฐ์ ก็จะแอบถ่ายรูปส่งไปยังห้องไลน์ของหน่วย จนเคยมีปากเสียงต่อกัน และเกิดเรื่องร้ายขึ้นในครั้งนี้

นอกจากนี้ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ระแงะ และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส กำลังร่วมตรวจสอบจุดเกิดเหตุอยู่นั้น พล.ต.ต.นิตินัย หลังยาหน่าย รอง ผบช.ภ.9 ได้เดินทางมายังจุดเกิดเหตุ และได้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งก่อนเดินทางกลับผู้สื่อข่าวได้สอบถามเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะขอสัมภาษณ์ แต่ พล.ต.ต.นิตินัย ขอปฏิเสธให้สัมภาษณ์ทุกกรณี

วันที่ 20 กันยายน 2566 สำนักข่าว Deutsche Welle ของเยอรมนี เสนอรายงานพิเศษ Thailand: What next for reformist Pita after failed PM bid? ว่าด้วยเส้นทางชีวิตของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (Pita Limjaroenrat) หลังลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล แม้จะนำพรรคชนะการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2566 แต่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เนื่องจากความพยายามแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทำให้พรรคถูกสกัดขัดขวางอย่างหนักจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่แต่งตั้งในยุครัฐบาลทหาร รวมถึงตัวเขาเองยังถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส.

ในเดือน ก.ค. 2566 พิธาถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างที่มีการพิจารณาคดีถือหุ้นสื่อ จนถึงปัจจุบันที่ยังไม่มีคำตัดสินใดๆ ออกมา ทำให้เขาตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคก้าวไกล เพื่อเปิดทางให้บุคคลอื่นขึ้นมานำพรรคและทำหน้าที่ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อย่างไรก็ตาม เขายืนยันจะทำงานร่วมกับพรรคต่อไป ซึ่ง ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ (Thitinan Pongsudhirak) อาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้พึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้นำเพียงคนเดียว

“พรรคก้าวไกลอาจมีตัวตนของพิธา แต่พรรคนี้เป็นแนวราบมาก ไม่มีลำดับชั้น ไม่ใช่พรรคจากบนลงล่างและไม่ได้ดำเนินการหรือควบคุมโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง การลาออกของเขาแสดงให้เห็นว่าพรรคมีขนาดใหญ่กว่าบุคคลมาก จะมีใครสักคนขึ้นมา และบุคคลนั้นจะเป็นศัตรูคนต่อไปของกองกำลังจัดตั้ง (Establishment Forces) แต่มันไม่เกี่ยวกับผู้นำ มันเกี่ยวกับพรรคและจุดยืนของพรรค” ศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว

ประชากรไทยกว่าร้อยละ 75 ออกไปเลือกตั้งเมื่อเดือน พ.ค. 2566 การเลือกตั้งถูกมองว่ามีความสำคัญสำหรับประเทศไทยเนื่องจากประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลกระทบจากการทำรัฐประหาร การประท้วง และการเนรเทศ แต่พรรคก้าวไกลถูก สว. ขัดขวางการจัดตั้งรัฐบาล โดยสนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยร่วมกับพรรคการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับกองทัพ ซึ่งพรรคก้าวไกลเรียกรัฐบาลผสมนี้ว่าเป็นการบิดเบือนผลการเลือกตั้ง

หลังการลาออกของ พิธา สื่อท้องถิ่นในไทยคาดการณ์ว่า ชัยธวัช ตุลาธน (Chaithawat Tulathon) เลขาธิการพรรค จะได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่ ในเบื้องต้น พรรคก้าวไกลให้คำมั่นว่าจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา ถึงกระนั้น สถานะของพรรคยังน่ากังวล เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องกรณีความพยายามของพรรคในการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่ไว้พิจารณา

ถึงกระนั้น ศ.ดร.ฐิตินันท์ ก็มองว่า พรรคก้าวไกลมีโอกาสรอดจากข้อหาดังกล่าว เพราะศาลรัฐธรรมนูญอาจมองว่ายังไม่ใช่ภัยคุกคามโดยตรง ขณะที่ พิธา ชายวัย 41 ปี ก็น่าจะยังมีอนาคตทางการเมืองที่สดใส จากการเป็นนักการเมืองที่มีพรสวรรค์ในการเป็นตัวแทนของผู้คน มีความสามารถในการเชื่อมโยงกับผู้คนและชนะใจพวกเขา ความสามารถนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถซื้อได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขามีนโยบาย การเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปที่คนอยากได้ยิน

แต่อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า พิธาอาจถอยห่างจากการเมืองไทยและหันไปทำงานในองค์กรระหว่างประเทศ หากภูมิทัศน์ทางการเมืองของไทยยังคงขัดขวางความทะเยอทะยานทางการเมืองของเขา พิธาก็ยังมีเวลา ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไทยจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เขาจะไม่ออกไป เขาสามารถพักแล้วยังกลับมาได้ ทั้งนี้ การรณรงค์หาเสียงปฏิรูปของพรรคก้าวไกลยังคงโดนใจประชาชนชาวไทย คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิรูปควบคู่ไปกับเสน่ห์ดึงดูดใจของวัยรุ่นเป็นที่ชื่นชอบของคนรุ่นใหม่ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมในชุดสีส้มหรือแคมเปญบนพื้นที่ออนไลน์

ฐิติพล ภักดีวานิช (Titipol Phakdeewanich) คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ให้ความเห็นว่า ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตอบสนองต่อนโยบายของพรรคก้าวไกล มากกว่าในฐานะที่พิธาเป็นบุคคลสำคัญทางการเมือง ดังนั้นการลาออกของพิธาจะไม่ส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อพรรคก้าวไกล เพราะผู้สนับสนุนเลือกสนับสนุนที่นโยบาย พรรคนี้ยังสามารถรักษาความนิยมในหมู่ประชาชนชาวไทยได้

พิธาไม่ใช่นักการเมืองหนุ่มคนแรกของไทยที่เป็นผู้นำพรรคปฏิรูปใหม่และลงสมัครรับตำแหน่งรัฐบาล ก่อนหน้านี้ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (Thanathorn Juangroongruangkit) เป็นผู้นำพรรคอนาคตใหม่) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองรุ่นก่อนหน้าของพรรคก้าวไกล ลงสนามเลือกตั้งของประเทศไทยในปี 2562 ครั้งนั้นพรรคอนาคตใหม่ไม่ชนะการเลือกตั้ง และธนาธรก็ถูกตัดสิทธิ์การเป็น สส. ในคดีถือหุ้นสื่อ อีกทั้งพรรคยังถูกยุบในคดีเงินกู้ผิดกฎหมาย ทำให้ธนาธรและแกนนำคนอื่นๆ ของพรรคอนาคตใหม่ถูกแบนจากการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

สื่อเยอรมนีทิ้งท้ายด้วยความเห็นของ ฐิติพล ว่า ชะตากรรมของพิธาน่าจะคล้ายกับธนาธร ถูกให้ออกจากสนามการเมืองโดยศาล แต่ตนก็ยังเชื่อว่าเขาจะยังมีอนาคตบนเส้นทางสายนี้ พิธาจะอยู่ในการเมืองในรูปแบบที่รองรับ