ข่าว
‘แนนซี เพโลซี’ ตามนัด นั่งประธานสภาล่างสหรัฐต่ออีกสมัย

วันศุกร์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563: วอชิงตัน (เอพี/รอยเตอร์) - สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จากพรรคเดโมแครตลงมติเลือกนางแนนซี เพโลซี ให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐต่ออีกหนึ่งสมัย ภายใต้รัฐบาลใหม่ของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรคเดโมแครต ลงมติเลือกนางแนนซี เพโลซี ให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐต่ออีกหนึ่งสมัยตามคาด ก่อนที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐทั้งหมด จะร่วมเสนอชื่อประธานสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นทางการเมื่อสมาชิกรัฐสภาชุดใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ในช่วงต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งนางเพโลซีจะได้ดำรงตำแหน่งต่ออย่างไร้ปัญหา เนื่องจากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด 435 ที่นั่ง แม้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจากพรรครีพับลิกันจะเสนอชื่อคนของตัวเองลงแข่งกับนางเพโลซีก็ตาม

ขณะที่ สส.สเตนีย์ ฮอยเออร์ จากพรรคเดโมแครต และ สส.จิม คลายเบิร์น ก็ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้นำเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และประธานวิปฝ่ายรัฐบาลอีกสมัยตามลำดับเช่นกัน

ที่ผ่านมา นางเพโลซี วัย 80 ปีผู้สร้างประวัติศาสตร์เป็นสตรีคนแรกที่ได้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้รับการยอมรับอย่างสูงในหมู่สมาชิกพรรคเดโมแครต ในบทบาทผู้นำการคัดค้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในหลายประเด็น ตั้งแต่นโยบายคนเข้าเมือง ประกันสุขภาพ ไปจนถึงความพยายามถอดถอนประธานาธิบดีทรัมป์ออกจากตำแหน่ง จนทำให้ผู้นำสหรัฐไม่พอใจและเคยเรียกเธอว่า Crazy Nancy หรือ “แนนซีผู้สติไม่ดี” มาแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่การนับคะแนนเลือกตั้งในบางพื้นที่ยังไม่เสร็จสิ้นมีการคาดหมายว่าพรรคเดโมแครตอาจมีจำนวนที่นั่งในสภาล่างสหรัฐ ลดลงเหลือ 222 ที่นั่ง จากเดิม 232 ที่นั่ง ขณะที่พรรครีพับลิกันจะมีที่นั่งเพิ่มขึ้นเป็น 213 ที่นั่ง จากเดิมที่มีเพียง 197 ที่นั่ง ซึ่งจะถือเป็นจำนวนที่นั่งที่ต่างกันน้อยที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยมีมา ทำให้พรรคเดโมแครตอาจประสบความยากลำบากกว่าเดิมในการผลักดันร่างกฎหมายต่างๆ ให้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

ในอีกด้านหนึ่ง นางแคที ฮอบบ์ส เลขานุการรัฐแอริโซนา ผู้มีหน้าที่รับรองผลการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน เผยว่า ผู้ประท้วงผลการเลือกตั้งแวะเวียนไปประท้วงหน้าบ้านเธออยู่บ่อยครั้ง ช่วงหลายวันมานี้เธอถูกข่มขู่ทั้งทางออนไลน์และที่สำนักงาน สื่อท้องถิ่นเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นกลุ่มผู้ประท้วงเล่นดนตรีและตะโกนอยู่หน้าบ้านเธอว่าต้องการตรวจสอบผลการเลือกตั้ง เพื่อนบ้านเผยว่า ผู้ประท้วงบางคนถ่ายภาพบ้านนางฮอบบ์สและตะโกนท้าทายให้เธอออกมา โดยบอกว่ากำลังเฝ้าจับตาดูอยู่ นอกจากนางฮอบบ์สแล้ว เจ้าหน้าที่จัดการเลือกตั้งของรัฐแอริโซนาอีกหลายคนก็ถูกข่มขู่คุกคามในลักษณะเดียวกัน

อย่างไรก็ดี นางฮอบบ์สยืนยันว่า การใช้วิธีข่มขู่คุกคามจะไม่สามารถขัดขวางไม่ให้เธอปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้ให้สัตย์สาบาน ประชาธิปไตยของสหรัฐถูกทดสอบอย่างต่อเนื่อง แต่จะยืนยงต่อไปและจะไม่มีวันสะดุดหากเธอยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่

โดยผลการนับคะแนนในรัฐแอริโซนาชี้ว่า นายไบเดน จากพรรคเดโมแครต เอาชนะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากฝั่งรีพับลิกัน ด้วยคะแนนเสียงเกินกว่า 10,000 คะแนน เป็นครั้งแรกที่พรรคเดโมแครตชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีในรัฐนี้ในรอบหลายทศวรรษ

รัฐจอร์เจียเผยผลนับคะแนนใหม่ด้วยมือทั้งหมดกว่า 5 ล้านใบ ยืนยันไบเดนชนะ

20 พ.ย. 2563 : ในที่สุด รัฐจอร์เจียก็สามารถยืนยันผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดี หลังผ่านการนับ 2 รอบทั้งเครื่องอัตโนมัติ และนับด้วยมือทั้งหมดกว่า 5 ล้านใบ ยืนยันตามเดิม “โจ ไบเดน” เป็นผู้ชนะ

เมื่อวันที่ 19 พ.ย. สำนักข่าว CNN รายงานว่า สำนักงานการปกครองท้องถิ่นรัฐจอร์เจีย ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลการนับคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีทั้งหมดกว่า 5 ล้านใบ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบและนับคะแนนใหม่ด้วยมือ และเครื่องนับคะแนนอิเล็กทรอนิกส์ (Dominion Voting Systems) โดยปรากฏว่า ในการนับด้วยมือสามารถยืนยันผลการนับคะแนนด้วยเครื่องอัตโนมัติ ที่ระบุว่า นายโจ ไบเดน ผู้แทนพรรคเดโมแครต เป็นผู้ชนะในรัฐจอร์เจีย

ผลคะแนนล่าสุดทำให้คะแนนของนายไบเดนลดลงเล็กน้อย โดยได้ไป 2,475,141 คะแนน ส่วนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ได้ไป 2,462,857 คะแนน นายไบเดนนำประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 12,284 คะแนน เฉือนกันไปเพียง 0.5% และในส่วนของค่าความคลาดเคลื่อนของผลคะแนนอยู่ที่เพียง 0.73% และยังยืนยันได้ว่า ไม่พบการฉ้อฉลหรือทุจริตในการเลือกตั้งครั้งนี้

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งนี้ จอร์เจีย ซึ่งมีคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 16 คะแนน เป็นหนึ่งในรัฐสมรภูมิชี้ขาด และเป็นฐานเสียงเก่าแก่ของพรรครีพับลิกัน โดยชัยชนะของนายไบเดนในรัฐจอร์เจีย นับเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี ที่พรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะในรัฐนี้

ล่าสุด นายไบเดน ออกมาประณามประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ยังไม่ยอมออกมาประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ และยังคงเดินหน้าต่อสู้เพื่อพยายามพลิกผลการเลือกตั้ง แม้ว่าเขาจะชนะด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 306 ต่อ 232 คะแนน


สู้ยิบตาทรัมป์ขอศาลช่วยประกาศชัยรัฐตัวแปร

20 พ.ย. 2563 : ทีมหาเสียงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ผู้พิพากษาประกาศให้ทรัมป์เป็นผู้ชนะในเพนซิลเวเนีย ทั้งที่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีจากเดโมแครตเป็นผู้ชนะด้วยคะแนนนำเหนือทรัมป์ประมาณ 82,000 เสียง (จากข้อมูลของเอดิสัน รีเสิร์ช) ทำให้ไบเดนมีคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งทั่วประเทศ 306 เสียง ทรัมป์มี 232 เสียง โดยทรัมป์ต้องการคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งจากเพนซิลเวเนียและอีก 2 รัฐ เพื่อชนะการเลือกตั้ง

ทีมกฎหมายของทรัมป์ซึ่งนำโดย รูดี จูเลียนี ทนายความส่วนตัวของผู้นำสหรัฐฯ ได้ขออนุญาตจากผู้พิพากษาเขตของสหรัฐฯ นายแมทธิว บรานน์ เพื่อยื่นฟ้องหลังจากที่ขอถอนฟ้องไปเมื่อวันที่ 15 พ.ย อ้างว่าการเลือกตั้งมีข้อบกพร่อง ผู้สังเกตการณ์ของรีพับลิกันถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าถึงการนับบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์ และมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันของเจ้าหน้าที่ในแต่ละเขต ขณะที่บรานน์แสดงความสงสัยในการพิจารณาคดีเมื่อวันที่ 17 พ.ย.

ด้านนักกฎหมายอย่างจัสติน เลวิตต์ ศาสตราจารย์จากคณะนิติศาสตร์ โลโยลา ม.ชิคาโก ให้ความเห็นว่าการยื่นฟ้องของทรัมป์มีข้อบกพร่องอย่างมากและไม่มีความเป็นไปได้ที่จะพลิกผลการเลือกตั้ง ที่ผ่านมาทีมหาเสียงของรีพับลิกันได้ยื่นฟ้องอย่างวุ่นวายเพื่อหวังพลิกผลเลือกตั้ง ทรัมป์อ้างโดยไม่มีหลักฐานบ่อยครั้งว่าถูกโกงและคะแนนเสียงของเขาถูกขโมย จากการสำรวจความคิดเห็นของรอยเตอร์เมื่อวันพุธที่ 18 พ.ย. แสดงให้เห็นว่าสมาชิกรีพับลิกันประมาณครึ่งหนึ่งเชื่อว่าทรัมป์ถูกโกง

ขณะที่ในจอร์เจีย รัฐสมรภูมิที่สำคัญในการเลือกตั้งประธานาธิบดี คาดว่าจะสามารถยืนยันชัยชนะของไบเดนเหนือผู้นำสหรัฐฯ จากการนับคะแนนใหม่ได้ในวันที่ 19 พ.ย. เจ้าหน้าที่การเลือกตั้งระดับสูงของจอร์เจียซึ่งเป็นรีพับลิกันกล่าวว่าการนับคะแนนใหม่มีผลไม่ต่างจากผลการนับคะแนนเดิม ไม่อาจพลิกผลให้ทรัมป์เป็นผู้ชนะ

นอกจากนี้ทีมหาเสียงของทรัมป์ยังยื่นฟ้องต่อศาลให้มีการนับคะแนนใหม่ในมิลวอกี และเดน 2 เขตที่ใหญ่ที่สุดในรัฐวิสคอนซินเมื่อวันที่ 18 พ.ย. โดยยอมจ่ายเงิน 3 ล้านดอลลาร์เป็นค่าใช้จ่าย อ้างว่าเป็นที่ที่มีความผิดปกติที่เลวร้ายที่สุด โดยไม่มีหลักฐานการกระทำผิดกฎหมาย ในคืนวันเดียวกันคณะกรรมการการเลือกตั้งของวิสคอนซินได้ลงมติอนุมัติการนับคะแนนใหม่หลังจากถกเถียงนาน 5 ชั่วโมง โดยจะเริ่มในวันที่ 20 พ.ย. เวลาท้องถิ่น ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 ธ.ค. โดยใน 2 เขตนี้ ไบเดนมีคะแนน 577,455 เสียง ขณะที่ทรัมป์มี 213,157 เสียง และไบเดนเป็นผู้ชนะในรัฐนี้ ด้วยคะแนนเสียงที่มากกว่าทรัมป์ ทั้งนี้ทางการวิสคอนซินจะถ่ายทอดสดการนับคะแนนใหม่ และจัดที่สำหรับผู้สังเกตการณ์ พร้อมกล่าวว่าผลการนับคะแนนจะออกมาเหมือนเดิม


พระฉายาลักษณ์คู่ ควีนเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ฉลองอภิเษกสมรส 73 ปี

เผยพระฉายาลักษณ์คู่ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป เนื่องในโอกาสสุดพิเศษ ครบรอบ 73 ปี อภิเษกสมรส

เมื่อวันที่ 20 พ.ย. สำนักพระราชวังอังกฤษ เผยแพร่พระฉายาลักษณ์คู่อย่างเป็นทางการของ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเจ้าชายฟิลิป ดยุคแห่งเอดินเบอระ ในโอกาสครบรอบ 73 ปี อภิเษกสมรส โดยเป็นภาพในอิริยาบถสบายๆ ของทั้งสองพระองค์ ประทับบนโซฟาภายในห้องโอ๊ครูม พระตำหนักเบิร์คไชร์ ภายในพระราชวังวินด์เซอร์ ในขณะที่ทรงกำลังทอดพระเนตรการ์ดถวายพระพรที่มีตัวเลข 73 อยู่ด้านหน้า เป็นการ์ดที่เจ้าชายจอร์จ และเจ้าหญิงชาร์ล็อต สองพระราชปนัดดา ทรงนำมาถวาย

เว็บไซต์ข่าว Mirror รายงานว่า พระฉายาลักษณ์คู่นี้เป็นผลงานการถ่ายภาพของนายคริส แจ็คสัน ช่างภาพข่าวราชวงศ์ ของเก็ตตี้ อิมเมจ โดยเป็นการบันทึกภาพในขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงใช้เวลาร่วมกันในพระราชวัง ช่วงล็อกดาวน์ครั้งที่ 2 ของอังกฤษ ท่ามกลางสถาณการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ และร้อยโทฟิลิป เมาต์แบตเทน ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรส ที่มหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ ในกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2490 หรือเพียง 2 ปี หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในขณะนั้นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงมีพระชนมพรรษา 21 พรรษา ขณะที่เจ้าชายฟิลิป อายุ 26 ปี นับว่าทั้งสองพระองค์ทรงครองคู่อย่างยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อังกฤษ

ที่มา: Mirror


ไปถึงไหนกันแล้ว ส่องสถานะวัคซีนโควิดทั่วโลก มีเริ่มใช้แล้ว 6 รุ่น

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกเร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งกำลังแพร่กระจายไปทั่วโลก มีผู้ติดเชื้อมากกว่า 56 ล้าน เสียชีวิตกว่า 1.3 ล้านศพ

ปัจจุบัน มีวัคซีนอย่างน้อย 13 รุ่นแล้ว ที่กำลังเข้าสู่การทดสอบขั้นสุดท้าย ซึ่งเป็นความหวังในการยุติการระบาดของไวรัสมรณะชนิดนี้

ตอนนี้มีวัคซีนอย่างน้อย 6 รุ่นที่ได้รับอนุญาตให้ใช้งานได้อย่างจำกัดในบางประกาศ สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ และเสี่ยงต่อการสัมผัสกับไวรัสมากกว่าคนอื่นๆ

การผลิตวัคซีนต้านไวรัสหรือแบคทีเรียขึ้นมาสักชนิดหนึ่ง ตามปกติแล้วต้องใช้เวลาวิจัยและทดสอบนานหลายปี ก่อนจะไปถึงขั้นการทดสอบใช้จริง แต่ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังพยายามทำสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพื่อผลิตวัคซีนต้านทานไวรัสโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยให้ได้ภายในปีหน้า หรือราว 2 ปี หลังจากไวรัสมรณะตัวนี้เริ่มระบาดไปทั่วโลก ซึ่งทำให้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกมากกว่า 56 ล้านคน และเสียชีวิตแล้วกว่า 1.3 ล้านศพในตอนนี้

การพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ เริ่มขึ้นมาตั้งแต่เดือนมกราคม และการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม โดยจนถึงตอนนี้นักวิจัยของบริษัทยาและสถาบันสาธารณสุขทั่วโลก กำลังดำเนินการทดสอบวัคซีนโควิด 54 รุ่นในมนุษย์ และอีก 87 รุ่นในสัตว์ แต่มีวัคซีน 13 รุ่นที่กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของการทดสอบเฟส 3 และเป็นความหวังในการยุติการระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัทที่ผลิตวัคซีนเหล่านั้นได้แก่ โมเดอร์นา กับ สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) กำลังทดสอบ : เฟส 3

บริษัท โมเดอร์นา ของสหรัฐฯ กำลังพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 โดยใช้กรดไรโบนิวคลีอิก (RNA) เป็นฐาน เพื่อสร้างโปรตีนไวรัสในร่างกายผู้รับเพื่อกระตุ้นให้สร้างภูมิคุ้มกัน เริ่มต้นพัฒนาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์ และเป็นหุ้นส่วนกับสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH)

หลังจาการทดสอบเบื้องต้นพบว่า วัคซีนซึ่งมีชื่อในการทดสอบว่า mRNA-1273 สามารถป้องกันลิงจากไวรัสโคโรนาได้ พวกเขาก็เริ่มการทดลองในมนุษย์ในเดือนมีนาคม และเริ่มทดสอบเฟสที่ 3 กับอาสาสมัครกว่า 30,000 คนในวันที่ 27 ก.ค.

ล่าสุดเมื่อ 16 พ.ย. โมเดอร์นาก็ประกาศข่าวดีว่า ผลวิเคราะห์การทดสอบเฟส 3 ขั้นต้นชี้ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสได้ถึง 94.5% รวมทั้งปกป้องผู้ติดเชื้อไม่ให้มีอาการป่วยรุนแรงได้ โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากอาสาสมัคร 95 รายที่ติดเชื้อโควิด-19 และตอนนี้โมเดอร์นากำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปขั้นสุดท้าย และมีแผนจะยื่นเรื่องขออนุญาตใช้วัคซีนในกรณีฉุกเฉินภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า

กำลังทดสอบ : เฟส 2 ควบเฟส 3

ในเดือนพฤษภาคม บริษัท ไฟเซอร์ ของสหรัฐฯ กับบริษัท ไบโอเทค ของเยอรมนี ดำเนินการทดสอบวัคซีน RNA จำนวน 2 รุ่นในเฟสที่ 1 (มีอาสาสมัครหลักร้อย) และเฟสที่ 2 (มีอาสาสมัครหลักพัน) ไปพร้อมๆ กัน และพบว่าวัคซีนทั้ง 2 รุ่นทำให้อาสาสมัครสารภูมิคุ้มกันไวรัสโควิด-19 และเซลล์ภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า ที-เซลล์ ขึ้นมา แต่รุ่นที่มีชื่อว่า ‘BNT162b2’ มีผลข้างเคียงน้อยกว่า

จากนั้นในวันที่ 27 ก.ค. ไฟเซอร์ก็เริ่มการทดสอบควบเฟส 2 และเฟส 3 กับอาสาสมัคร 30,000 คนทั้งในสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ เช่น อาร์เจนตินา, บราซิล และเยอรมนี ก่อนที่ในเดือนกันยายน พวกเขาจะประกาศเพิ่มจำนวนอาสาสมัครในสหรัฐฯ เป็น 43,000 คน และได้รับอนุญาตให้ทดสอบวัคซีนในเด็กอายุไม่

ต่ำกว่า 12 ปีได้เป็นครั้งแรกในสหรัฐฯ

ในวันที่ 8 พ.ย. ไฟเซอร์ กับ ไบโอเทค ก็สร้างประวัติศาสตร์ ด้วยการเผยผลการทดสอบเฟส 3 เบื้องต้นชี้ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพป้องกันไวรัสมากกว่า 90% ซึ่งเป็นวัคซีนตัวแรกที่ทำได้ ก่อนที่พวกเขาจะเผยผลวิเคราะห์การทดสอบขั้นสุดท้ายเมื่อ 18 พ.ย. ว่า วัคซีนของพวกเขามีประสิทธิภาพสูงถึง 95% เมื่อวิเคราะห์จากอาสาสมัครที่ติดเชื้อ 170 ราย และมีผลดีในทุกช่วงอายุ ร่วมทั้งมีผลข้างเคียงน้อยมากด้วย

ไฟเซอร์คาดการณ์ว่า พวกเขาจะสามารถผลิตวัคซีนได้มากที่สุด 50 ล้านโดสภายในปีนี้ และผลิตได้สูงสุด 1.3 พันล้านโดสภายในปี 2564 แต่วัคซีนจาก RNA ไม่ว่าจะของไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์นา จำเป็นต้องเก็บในอุณหภูมิเย็นจัด -70 องศาเซลเซียส ซึ่งตู้แช่แข็งมาตรฐานทำความเย็นระดับนี้ไม่ได้ ไฟเซอร์จึงกำลังพัฒนากล่องเก็บพิเศษขึ้นมาเพื่อการขนส่ง

แคนซีโน ไบโอ กำลังทดสอบ : เฟซ 3 / อนุมัติใช้อย่างจำกัดในจีน

บริษัท แคนซีโน ไบโอโลจิกส์ ของจีน กำลังพัฒนาวัคซีนโดยใช้อะดีโนไวรัส รูปแบบที่ 5 หรือ ‘Ad5’ โดยเป็นหุ้นส่วนกับสถาบันชีววิทยาของ สถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์กองทัพของจีน โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม พวกเขาเปิดเผยว่า ผลการทดสอบความปลอดภัยในเฟสที่ 1 ออกมาดูดีมีอนาคต จากนั้นในเดือนกรกฎาคม แคนซีโน ก็พบว่า วัคซีนของพวกเขาสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงแก่อาสาสมัครในการทดสอบเฟสที่ 2

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. กองทัพจีนมีคำสั่งอนุมัติการใช้วัคซีนของ แคนซีโน เป็นเวลา 1 ปี โดยอ้างเหตุผลว่า มีความต้องการยาเป็นพิเศษ ขณะที่ แคนซีโน ไม่ได้เปิดเผยว่า การฉีดวัคซีนเป็นคำสั่งที่ทหารทุกคนต้องปฏิบัติตาม หรือเป็นทางเลือก จากนั้นในเดือนสิงหาคม แคนซีโนก็เริ่มการทดสอบเฟส 3 ในหลายประเทศรวมถึง ซาอุดีอาระเบีย, ปากีสถาน และรัสเซีย

“รัฐแคลิฟอร์เนีย” เคอร์ฟิว 1เดือน หลังโควิดระบาดเร็วแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

วันศุกร์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563: สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐประกาศห้ามประชาชนออกนอกเคหสถานยามค่ำคืนหรือเคอร์ฟิว เพื่อควบคุมยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่พุ่งสูงขึ้น

นายกาวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ประกาศว่า นับตั้งแต่วันเสาร์ที่ 21 พ.ย. นี้เป็นต้นไป ประชาชนใน 41 จากทั้งหมด 58 เขตของรัฐแคลิฟอร์เนีย คิดเป็นประมาณ 40 ล้านคน จะไม่สามารถออกนอกเคหสถานได้ ระหว่างเวลา 22.00 น. ถึง 05.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น มีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 21 ธ.ค. นี้ เป็นอย่างน้อย โดยเขากล่าวด้วยว่า เชื้อไวรัสโรคโควิด-19 กำลังระบาดอย่างรวดเร็วในระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และในอีกไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการหยุดยั้งการระบาด

ทั้งนี้ แคลิฟอร์เนียซึ่งเป็นรัฐมีประชากรมาที่สุดในสหรัฐ ล็อกดาวน์ครั้งแรกเมื่อกลางเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา แล้วมีการผ่อนคลาย 2 ครั้ง ในเดือน พ.ค. และเดือน มิ.ย. ก่อนหวนกลับมาล็อกดาวน์เป็นครั้งที่สอง เมื่อกลางเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา แล้วค่อยผ่อนคลายเป็นระยะตามสถานการณ์

ปัจจุบันรัฐแคลิฟอร์เนียมีสถิติผู้ป่วยสะสมจากโรคโควิด-19 อย่างน้อย 1,047,789 คน เพิ่มขึ้น 9,811 คนในรอบ 24 ชั่วโมงล่าสุด โดยช่วงอายุของผู้ป่วยสะสมมากกว่าครึ่งอยู่ที่ระหว่าง 18 ปี ถึง 49 ปี ส่วนสถิติสะสมของผู้เสียชีวิตมีจำนวนอย่างน้อย 18,360 คน เพิ่มขึ้น 61 คน

ขณะที่ยอดสะสมทั่วประเทศมีผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 11,698,661 คน และผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 252,419 คน

ที่มา : แนวหน้า