ข่าว
‘ลุงตู่-พี่ตูน’เนื้อหอมสุดๆ ยืนหนึ่งคนดังปชช.อยากร่วมเคาท์ดาวน์ฉลองขึ้นปีใหม่

27 ธันวาคม 2562 “กรุงเทพโพลล์” โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง “คนกรุงกับการท่องเที่ยวปีใหม่ 2020” เก็บข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 1,145 คน

จากการสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 74.6 มีแผนจะเดินทางในช่วงหยุดยาวปีใหม่ที่จะถึงนี้(28 ธันวาคม 2562-1 มกราคม 2563) โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 49.4 จะไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด / กลับบ้านเกิด เยี่ยมญาติ รองลงมาร้อยละ 41 จะไปเข้าวัดทำบุญ และร้อยละ 22.2 จะไปช้อปปิ้ง กินข้าวตามร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ขณะที่ร้อยละ 25.4 ไม่มีแผนที่จะไปไหน จะอยู่บ้าน

สำหรับเรื่องที่กังวล หากต้องเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงหยุดยาวปีใหม่ พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 67.6 กังวลเรื่องการจราจรที่ติดขัด เป็นอัมพาต รองลงมา คือ เรื่องอุบัติเหตุ รถชน บนท้องถนน คิดเป็นร้อยละ 60.7 และความแออัดของคนในสถานที่เที่ยว คิดเป็นร้อยละ 40

ส่วนเรื่องที่อยากให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเข้มงวดดูแลเกี่ยวกับการเดินทางไปท่องเที่ยวเพื่อความปลอดภัยมากที่สุด คือ การเข้มงวดตรวจตราคนเมาแล้วขับ คิดเป็นร้อยละ 80.3 รองลงมา คือ การเข้มงวดผู้ขับขี่รถเร็วเกินมาตรฐานที่กำหนดคิดเป็นร้อยละ 57.3 และเส้นทาง ถนนหนทางที่ดี ทั้งทางหลักและทางเลี่ยงเมือง คิดเป็นร้อยละ 42.5

เมื่อถามความเห็นต่อมาตรการทั้งชิมช้อปใช้ และ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทย จะกระตุ้นเศรษฐกิจการใช้จ่ายในช่วงปีใหม่ได้มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 75.7 เห็นว่าจะกระตุ้นได้ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด ขณะที่ร้อยละ 24.3 เห็นว่าจะกระตุ้นได้ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด

ด้านสถานที่ที่อยากไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ 2020 มากที่สุด คือ วัดที่จัดให้มีสวดมนต์ข้ามปีตามวิถีพุทธ คิดเป็นร้อยละ 31 รองลงมา คือ ลานประตูท่าแพ เชียงใหม่ คิดเป็นร้อยละ 19.1 เซ็นทรัล เวิลด์ กทม. คิดเป็นร้อยละ 13.6 พัทยา ชลบุรี คิดเป็นร้อยละ 11.7 และภูเก็ต คิดเป็นร้อยละ 11.2

เมื่อถามถึงความตั้งใจจะไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่ 2020 พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 63.1 ตั้งใจว่าจะไม่ไป ขณะที่ร้อยละ 36.9 ตั้งใจว่าจะไป

สุดท้ายเมื่อถามคำถามปลายเปิดว่าคนดัง นักการเมือง นักร้อง นักแสดงไทย ที่อยากเคาท์ดาวน์ร่วมฉลองขึ้นปีใหม่ 2020 พบว่า นักการเมืองที่อยากเคาท์ดาวน์ร่วมฉลองขึ้นปีใหม่ด้วยมากที่สุด คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คิดเป็นร้อยละ 15.1 รองลงมา คือ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คิดเป็นร้อยละ 7.6 และนายทักษิณ ชินวัตรคิดเป็นร้อยละ 1.8

ส่วนดารา นักร้อง นักแสดงไทยที่อยากเคาท์ดาวน์ร่วมฉลองขึ้นปีใหม่ด้วยมากที่สุด คือ นายอาทิวราห์ คงมาลัย (ตูน บอดี้สแลม) คิดเป็นร้อยละ 8.2 รองลงมา คือ พัชราภา ไชยเชื้อ (อั้ม) คิดเป็นร้อยละ 7.2 และธงไชย แมคอินไตย์ (เบิร์ด) คิดเป็นร้อยละ 6.8

'กรมสมเด็จพระเทพฯ'พระราชทานพรปีใหม่2563 'แมวไม่อยู่ หนูระเริง'

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานพรเนื่องในวันปีใหม่ ปีประจำพุทธศักราช 2563 ความว่า สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๓ ปีชวดหนู "แมวไม่อยู่ หนูระเริง"

แมวไม่อยู่หนูระเริงโบราณว่า แต่แมวมาเมื่อไหร่รู้แน่
อาจถูกกินสิ้นชีพไม่ทันแก่ ต้องพ่ายแพ้เพราะประมาทอาจถึงตาย
คนเหมือนหนูตั้งใจดูให้พร้อมสรรพ เผื่อแมวกลับสู้ได้ดั่งใจหมาย
อยู่ทั้งปีไม่มีอันตราย ท่านทั้งหลายจงสุขทุกคืนวัน


ฎีกาคุก 2 ปีไม่รอลงอาญา เบญจา หลุยเจริญ ช่วยลูกแม้วเลี่ยงภาษีหมื่นล.

ศาลฎีกาแก้ลดโทษจำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา “เบญจา หลุยเจริญ”อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากรกับพวกระดับ ผอ.สำนักกฎหมาย ช่วย “โอ๊ค-เอม”เลี่ยงภาษีโอนหุ้นชินคอร์ปฯเมื่อปี 2549 ส่วนคนสนิทเลขาฯ“หญิงอ้อ” โดน 2 ปี เท่าเดิมศาลชี้พฤติการณ์ร้ายแรง ทำรัฐสูญรายได้ภาษีนับหมื่นล้าน ญาติร้องระงมตามไปเยี่ยมในคุก

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 26 ธันวาคม ที่ห้องพิจารณา 703 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางถ.นครไชยศรีศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีเลี่ยงภาษีหุ้น หมายเลขดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร , น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย , นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-5 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.157 กรณีพวกจำเลยได้ช่วยเหลือนายพานทองแท้ หรือโอ๊ค และ น.ส.พินทองทา หรือเอม ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เลี่ยงเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย ในการซื้อหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งถือเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาทรวม 15,883,900,000 บาทรวมโดย

จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 3 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่กรมสรรพากร ตาม ป.อ.มาตรา 157 ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี ฐานเป็นผู้สนับสนุนฯ

ต่อมา จำเลยทั้งหมดยื่นฎีกาสู้คดี พร้อมขอให้ศาลพิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญา โดยระหว่างฎีกา จำเลยทั้งหมดได้ประกันตัวคนละ 5แสนบาท วันนี้ทั้งหมดเดินทางมาพร้อมฟังคำพิพากษาศาลฎีกา โดยมีครอบครัว ญาติสนิท และเพื่อนๆ มาร่วมให้กำลังใจกว่า 30 คนจนเต็มห้องพิจารณา

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดเรียบร้อยแล้วเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1-4 ในการ ตอบข้อหารือการประเมินภาษี การซื้อขายหุ้นชินคอร์ปฯ ระหว่างบริษัทแอมเพิลริช กับนายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา ให้กับจำเลยที่ 5 รับทราบนั้น เป็นการแนะนำแอบแฝงเจตนาโดยไม่สุจริต เป็นข้อพิรุธ อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ช่วยให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ต้องแจ้งรายได้ที่เป็นส่วนต่างการซื้อขายหุ้นที่ราคาพาร์ต่ำกว่าทุน ซึ่งมีมูลค่า 15,883,900,000 บาท ซึ่งแนวการตอบข้อหารือนั้น ก็ไม่ตรงกับข้อหารือที่กรมสรรพากรเคยวินิจฉัยเกี่ยวกับการซื้อขายหุ้นบางประการไว้ ทั้งๆที่จำเลยที่ 1 -4 สามารถชะลอ หรือไม่ตอบข้อหารือของจำเลยที่5 ก็ย่อมกระทำได้

ทั้งนี้ยังฟังได้ว่า การที่จำเลยที่ 5 มีหนังสือแจ้งถามข้อหารือมายังกรมสรรพากร ก็เป็นการตระเตรียมวางแผนไว้ในการขายหุ้นกลุ่มชินคอร์ปฯ ให้กับกลุ่มเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ ที่ศาลฏีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยวินิจฉัยว่า เจ้าของหุ้นที่แท้จริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งจำเลยที่ 1-4 เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรระดับสูง เคยวินิจฉัยข้อกฎหมายต่าง ๆ มา และถือเป็นมันสมองของกรมสรรพากร ขณะที่จำเลยที่ 5 ก็เคยทำงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีและตรวจสอบการประเมินภาษี จึงย่อมรู้ดีว่าการมีหนังสือถามข้อหารือดังกล่าว นายพานทองแท้และ น.ส.พินทองทา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการยื่นแบบรายการประเมินภาษีได้ และหากมีคดีความเกิดขึ้นทั้งอาญาหรือแพ่ง ก็สามารถนำหนังสือตอบข้อหารือนี้ไปใช้อ้างเพื่อเป็นประโยชน์ได้ ขณะที่ข้อสงสัยในการประเมินภาษีลักษณะดังกล่าวยังไม่เคยมีแนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกา ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษว่าจำเลยที่ 1-4 กระทำความผิดนั้น ศาลฏีกาเห็นพ้องด้วยใน

ส่วนที่จำเลยทั้ง5ขอให้ศาลลงโทษสถานเบาหรือรอลงอาญานั้น ศาลฏีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 5 คน ตามที่วินิจฉัยมาถือว่ามีพฤติการณ์ร้ายแรง จึงไม่สมควรให้รอการลงโทษ แต่เมื่อพิเคราะห์จากคำให้การของจำเลยที่ 1-4 แล้ว เห็นว่า ยังมีประโยชน์ต่อการพิจารณาอยู่บ้าง เห็นควรลดโทษให้คนละ 1 ใน 3 จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังศาลฎีกา พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้า โดยไม่รอลงอาญา จำเลยทั้งหมดมีสีหน้าเคร่งเครียด เสียใจ โดยญาติได้รีบเข้าไปโอบกอดร่ำไหั และให้กำลังใจ ขณะที่จำเลยบางคนพยายามกลั้นน้ำตาและกล่าวขอบคุณเสียงสั่นเครือ

ส่วนจำเลยที่ 5 ที่มีอายุมากและมีอาการป่วย ญาติก็แสดงความกังวลใจเกี่ยวกับสุขภาพ ได้มีการนำยารักษาโรคประจำตัวมาให้ด้วย ก่อนเตรียมส่งตัวเข้าเรือนจำ ซึ่งในส่วนของจำเลยผู้ชาย จะถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนจำเลยผู้หญิง จะเข้าทัณฑสถานหญิงกลาง โดยกลุ่มญาติ และเพื่อนๆก็ได้มีการพูดคุยกับจำเลย ได้แสดงห่วงใยและจะติดตามไปเยี่ยมถึงเรือนจำด้วย


เกษตรฯอัดงบปั้น Young Smart Farmer หวังผลปฏิรูปภาคเกษตรยั่งยืน

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยหลังเยี่ยมชมการดำเนินงานของเครือข่าย Young Smart Farmer 17 จังหวัดภาคเหนือ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงสับปะรดสีและไม้ประดับหายากที่จ.เชียงใหม่ว่า กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรเริ่มดำเนินโครงการ Young Smart Farmer (YSF) ตั้งแต่ปี 2557 พัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่สู่การเป็น Young Smart Farmer ด้วยดีมาตลอด ซึ่งปัจจุบันมี Young Smart Farmer ในความรับผิดชอบของสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จังหวัดเชียงใหม่ 2,822 ราย จากทั้งสิ้น 17 จังหวัดภาคเหนือ

“กระทรวงเกษตรฯมุ่งสร้าง YoungSmart Farmer ให้เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิรูปภาคการเกษตรของประเทศไทย ต้องทำงานต่อเนื่องชัดเจน ซึ่งกระทรวงพร้อมสนับสนุนงบประมาณ อีกทั้ง ต้องหาช่องทางการตลาดที่ชัดเจน ตั้งเป้าหมายเดียวกันและต้องเดินไปให้ถึง ซึ่งการทำการเกษตรต้องมีคุณภาพ ลดต้นทุนการผลิต และผลิตตามที่ตลาดต้องการ ทำงานเป็นทีม รวมถึงนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการผลิตเข้ามาอยู่ในกระบวนการการผลิตด้วย” นายเฉลิมชัย กล่าว

ด้านนายเข้มแข็ง ยุติธรรมดํารงอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมฯกำหนดเป้าหมายขับเคลื่อนพัฒนาโครงการ Young Smart Farmer 4 ขั้นคือ 1.Getting Idea เพื่อปรับ Mind set ของเกษตรกรรุ่นใหม่ในกระบวนการพัฒนาสู่การเป็น Young Smart Farmer ซึ่งดำเนินการโดยจังหวัด 3 ครั้ง ครั้งละ 2 วัน จากนั้นจะประเมินว่าผ่านหรือไม่ เพื่อเป็น Young Smart Farmer 2.Set upproject เพื่อพัฒนา Young SmartFarmer ให้มีความรู้และทักษะเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีการเกษตร รวมถึงการตลาดในรูปแบบที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าสูงสุด ดำเนินการโดยสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 6 จ.เชียงใหม่ 1 ครั้ง ครั้งละ 4 วัน และยังเป็นเวทีเครือข่าย Young Smart Farmer ระดับเขต เพื่อนำผลงานและผลิตภัณฑ์เด่นของแต่ละจังหวัดมาจัดแสดง และจำหน่าย พร้อมเชื่อมโยงด้านความรู้ การผลิตการตลาด ถึงการทำมาตรฐานเพื่อส่งออก 3.Start upเพื่อพัฒนา Young Smart Farmer ที่ผ่านกระบวนการทั้งระดับจังหวัดและเขตแล้ว และพร้อมพัฒนาสู่การเป็นผู้ประกอบการเกษตร ซึ่งดำเนินการโดยกรมส่งเสริมการเกษตร และ 4. Go to global ในขั้นตอนนี้ กรมจะเชื่อมโยงกับหลายภาคส่วนเพื่อพัฒนาให้ Young Smart Farmer ที่มีความพร้อมพัฒนาเพื่อส่งออกผลผลิตและผลิตภัณฑ์ต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นจุดเด่นของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้ปลูกเลี้ยงสับปะรดสีและไม้ประดับหายากนี้ คือ 1.ผลิตและพัฒนาสายพันธ์สับปะรดสี เพื่อส่งออก 2.รวบรวมตั้งกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกเลี้ยงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและอำนาจต่อรอง เพื่อลดปัญหาตัดราคากันเอง 3.การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ทางทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพการผลิตไม้ประดับ รวมถึงการทำเกษตรอินทรีย์ และ 4.เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อก้าวให้ทันโลกปัจจุบันและรักษาสมดุลระหว่างการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่กับทำเกษตรอินทรีย์วิถีธรรมชาติ

อุตสาหกรรมไทย พ.ย.62 กำลังผลิตแผ่วลงกว่าที่คาด หวังปีหน้าดีขึ้น

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2562 สำนักข่าวรอยเตอร์ เสนอข่าว “Thai Nov factory output falls 8.27% y/y, worse than forecast” อ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรมของประเทศไทย ที่ระบุว่า ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MPI) ประจำเดือน พ.ย.2562 ลดลงร้อยละ 8.27 เมื่อเทียบกับเดือน พ.ย.2561 โดยได้รับผลกระทบจากภาวะชะลอตัวในกลุ่มยานยนต์ ปิโตรเลียม ยางและเหล็กกล้า

การลดลงดังกล่าวย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ร้อยละ 7.1 จากการสำรวจของรอยเตอร์ อีกทั้งยังลดลงมากกว่าในเดือน ต.ค.2562 ที่ลดลงร้อยละ 8.13 ขณะที่การใช้กำลังการผลิตในเดือน พ.ย.2562 อยู่ที่ร้อยละ 63.17 มากกว่าเดือน ต.ค.ปีเดียวกันที่ร้อยละ 63 โดยกระทรวงอุตสาหกรรมของไทย คาดการณ์ว่า ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม จะลดลงร้อยละ 3 - 8 ในปี 2562 ก่อนจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 - 3 ในปี 2563