ข่าว
“บิ๊กตู่” ทึ่ง เวิร์คช็อป 3 กลุ่มธุรกิจ ระดมความคิด ชมใส่ใจอนาคตประเทศ

วันที่ 4 ก.ย. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ภายหลังวานนี้ (3 ก.ย.) ได้ประชุม workshop กับภาคธุรกิจต่างๆ ตามแนวทางรวมไทยสร้างชาติ เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคเอกชน โดยกลุ่มแรกคือ ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ตามด้วยภาคธุรกิจค้าปลีก และภาคธุรกิจอีคอมเมิร์ซและโลจิสติกส์ โดยระบุว่า

“เมื่อวานนี้ ผมได้พบกับกลุ่มคนที่เป็นสุดยอดของภาคธุรกิจต่างๆ ในการทำ workshop ของผมกับ 3 กลุ่มธุรกิจ คือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอีคอมเมิร์ซกับโลจิสติกส์ เพื่อระดมความคิดและวิธีขับเคลื่อนภาคธุรกิจต่างๆ ไปสู่อนาคต พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้า

แต่ละท่านน่าทึ่งมากครับ ภาครัฐควรต้องเจอกับคนแบบนี้ คนที่เก่งที่สุดจากทุกภาคส่วน และจากทุกระดับของสังคม ผมคิดว่าผมตัดสินใจถูกต้องที่จัด workshop นี้ และได้พบกับทุกท่าน ผมประทับใจการนำเสนอของทุกท่าน ที่เตรียมข้อมูล ความคิด และข้อเสนอแนะต่างๆ มาเป็นอย่างดี เมื่อวานนี้จึงเป็น 8-9 ชั่วโมงที่ได้เนื้อหาสาระดีมาก

อีกอย่างหนึ่งที่ผมประทับใจมากก็คือ ทุกคนใส่ใจ โดยไม่ได้มองเฉพาะแค่ภาคธุรกิจของตัวเองเท่านั้น แต่ในที่สุดแล้วสิ่งที่ทุกคนใส่ใจก็คือเพื่ออนาคตที่ดีของประเทศไทยของเรา ผมกำลังพิจารณาสิ่งที่นำเสนอนะครับ และบางเรื่องผมจะดึงมาขับเคลี่อนด้วยตัวของผมเองครับ #รวมไทยสร้างชาติ”

ทรัมป์ป่วนอีก บอก ปชช.โหวตเลือกตั้ง ปธน. 2 ครั้ง อ้างทดสอบระบบ

โดนัลด์ ทรัมป์ แนะนำให้ประชาชนในรัฐนอร์ท แคโรไลนา ใช้สิทธิ์เลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายนนี้ 2 ครั้งผ่านไปรษณีย์ และไปลงคะแนนด้วยตัวเอง แม้จะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 3 ก.ย. 2563 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ บอกกับสถานีโทรทัศน์ WECT-TV ของรัฐนอร์ท แคโรไลนา ว่า ให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนเสียงผ่านไปรษณีย์ และไปลงคะแนนเสียงด้วยตัวเอง อ้างว่าทำเพื่อทดสอบระบบ หลังจากเขาอ้างมาตลอดว่า การโหวตผ่านไปรษณีย์ง่ายต่อการโกงผลคะแนน แต่ไม่เคยให้หลักฐาน

“ให้พวกเขาส่งเข้ามาและให้พวกเขาไปโหวต” นายทรัมป์กล่าว “และถ้าระบบมันดีจริงอย่างที่เขาว่า พวกเขาก็ต้องไม่สามารถลงคะแนนเสียงด้วยตัวเองได้” เขายังทวีตข้อความคล้ายกันผ่านทวิตเตอร์ด้วยว่า คนที่ลงคะแนนผ่านไปรษณีย์ควรไปที่หน่วยเลือกตั้งด้วย เพื่อดูว่า คะแนนโหวตของพวกเขาถูกนับรวมไปแล้วหรือไม่ และจำเป็นต้องลงคะแนนเสียงด้วยตัวเองหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนายทรัมป์มีข้อเสนอแนะดังกล่าวออกมา นายจอช สเตน อัยการสูงสุดรัฐนอร์ท แคโรไลนา ออกมาทวีตข้อความตอบโต้ทันทีว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระตุ้นประชาชนในรัฐของเขาอย่างอุกอาจ ให้ทำเรื่องผิดกฎหมาย เพื่อช่วยเขาสร้างความสับสนวุ่นวายในการเลือกตั้งของเรา

ขณะที่ฝ่ายเดโมแครตออกมากล่าวหานายทรัมป์ กับพรรครีพับลิกันว่า พยายามยับยั้งการลงคะแนน เพื่อช่วยเหลือฝ่ายตัวเองในการเลือกตั้ง ด้าน นายวิลเลียม บาร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กล่าวว่า ยังไม่ชัดเจนว่าคำพูดของประธานาธิบดีหมายความว่าอย่างไร

ที่มา: BBC


ผ่านไปกี่ยุค การเมืองไทยไม่เปลี่ยน อยู่ในวังวนวงจรอุบาทว์ รัฐประหารซ้ำๆ

4 ก.ย. 2563 08:05 น. การเมืองไทย จมอยู่กับวังวน “วงจรอุบาทว์” ดูเหมือนว่าการเมืองไทยจะจมกับวังวนความขัดแย้งมาโดยตลอด เกือบถอยหลังเข้าคลองมาแล้วหลายครั้ง จนอาจไม่มีความแตกต่างจากอดีตก็เป็นไปได้ และในความเห็นของ “รศ.ดร.ธนภัทร ปัจฉิมม์” คณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต กล่าวกับ “ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์” ว่า การเมืองไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแทบไม่มีความแตกต่าง จะเป็นแบบเดิมๆ ที่เคยเป็นมาแบบไทยๆ ดั้งเดิมที่เป็นอำนาจผูกขาด มองข้ามสิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน ไม่เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตย เช่น การยึดอำนาจ “รัฐประหาร” ยังคงวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ในการเมืองไทย ตั้งแต่ปี 2475 และรูปแบบที่มาของนายกรัฐมนตรี มาจากทหารมากกว่าพลเรือน จากการยึดอำนาจรัฐประหารซึ่งมีมาตลอดไม่จบสิ้น

ขณะที่สิทธิเสรีภาพของประชาชน มักมีการถูกหยิบยกให้เป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ กลับกลายเป็นข้ออ้างของนักการเมืองมาโดยตลอดเวลาไม่มีความจริงจัง และยังคงฝักใฝ่ในเรื่องของตัวเอง โดยมองข้ามประชาชนที่เลือกตนเองเข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชน ทั้งๆ ที่ต้องจัดการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ทั้งในเรื่องการศึกษาและสังคม แต่ไม่เคยดำเนินการตามเป้าหมายของรัฐธรรมนูญ

แสดงให้เห็นจริยธรรมของนักการเมืองยังไม่ดีขึ้น และประชาชนไม่สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจได้

“ไม่มีการเมืองยุคไหนดีที่สุด เพราะไม่มีความแตกต่าง มีแต่ความเหมือนที่เคยทำๆ กันมา ไม่เปิดกว้างให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม หากมองแล้วรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด มีการแบ่งแยกอำนาจ ส.ส.กับฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน แต่ใช้ได้ไม่ถึง 10 ปีก็เปลี่ยน ทำให้มองว่าการเมืองไทยในแต่ละยุคสมัยแทบไม่มีความแตกต่างจากอดีต มีความพยายามปรับเปลี่ยนรัฐธรรมนูญให้เข้ากับกระแสประชาธิปไตย แต่เรากลับพยายามจัดการวางกรอบรัฐธรรมนูญให้สวนกระแสประชาธิปไตย เพื่อบอกว่าเป็นประชาธิปไตยผ่านรัฐธรรมนูญ แต่เอาเข้าจริงๆ ไม่สามารถทำให้รัฐธรรมนูญอยู่ได้อย่างยั่งยืน ถือเป็นความล้มเหลวของการเมืองไทย”

รัฐประหาร ยังไม่หายจากเมืองไทย เกิดขึ้นได้ตลอด

ส่วนตัวการใหญ่ที่ทำลายประชาธิปไตย ล้วนแล้วแต่เป็นพวกชนชั้นทางการเมือง เนื่องจากที่ผ่านมาไม่บูรณาการการทำงานให้เข้าถึงคนรากหญ้า และถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองไทยต้องเรียนรู้มารยาททางการเมือง ต้องหล่อหลอมให้เข้าถึงประชาชน หากไม่ยอมสลัด ไม่ยอมปล่อยหัวโขน ไม่ยอมปล่อยอำนาจ ยิ่งเป็นการทำลายประชาธิปไตย โดยเฉพาะสิ่งที่น่ากลัวมากที่สุด คือ เล่ห์เหลี่ยมนักการเมืองที่ไม่มีความจริงใจกับประเทศชาติ ควรแยกประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ของประเทศชาติ อย่าเอาประโยชน์ส่วนตัวมาปะปน

แม้การเมืองไทยจะเข้าสู่ยุคใดก็ตาม คิดว่ารัฐประหารยังไม่หายจากไป ยังสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยกตัวอย่างปี 2549 มีการก่อรัฐประหาร จะเดินหน้าทำโรดแม็ป แต่กลับไม่สำเร็จ จนมาถึงปี 2557 มีการรัฐประหารอีก จะเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติ กลับไม่ไปหน้ามาหลัง ดังนั้นเราควรนำสถานการณ์ปัญหาในปัจจุบันมาหาทางออกร่วมกัน และหากถามว่า จะเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่ ก็มีความเป็นไปได้ตลอด เนื่องจากรัฐบาลปัจจุบันกับกองทัพมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งตรงนี้เป็นความแตกต่างจากการเมืองในอดีต และจะเป็นเรื่องง่ายมากขึ้นหากจะก่อรัฐประหาร

เมื่อย้อนไปดูบทเรียนในอดีต พบว่า ข้ออ้างในการ "รัฐประหาร" ส่วนใหญ่ จะเกี่ยวข้องกับความแตกแยกของคนในชาติ บ้านเมืองเกิดการคอร์รัปชัน และโดยเฉพาะการดูหมิ่นดูแคลนสถาบันของชาติ ซึ่งรัฐบาลต้องระมัดระวัง อาจนำไปสู่การรัฐประหารได้ จากบทเรียนในการรัฐประหารปี 2557 ที่กองทัพออกมายืนยันจะไม่ออกมารัฐประหาร แต่ท้ายที่สุดก็ต้องออกมา ทำให้เชื่อว่ากองทัพมีความพร้อมตลอดเวลาในการก่อรัฐประหาร เพื่อปกป้องสถาบันของชาติ และไม่ให้คนในชาติเกิดความแตกแยก

ดังนั้นในเดือนกันยายนนี้ มีความน่าสนใจในประเด็นการเคลื่อนไหวของการเมืองภาคประชาชน จะเกิดการชุมนุมจนเป็นวงกว้างหรือไม่ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับปากท้องประชาชน คงต้องจับตาดูต่อไป

ผู้เขียน : ปูรณิมา


สหรัฐฯ คาดยอดตายโควิด-19 อาจทะลุ 4 แสนศพในช่วงปีใหม่นี้

สหรัฐฯ ประเมินยอดตายจากโควิด-19 อาจทะลุ 4 แสนศพในวันขึ้นปีใหม่ ชี้จำนวนผู้เสียชีวิตอาจลดลงกว่า 1 แสนศพ ถ้าเข้มงวดมาตรการป้องกันโรค

เว็บไซต์ The Hill รายงานวันที่ 4 ก.ย. ว่า สถาบันชี้วัดและประเมินผลด้านสาธารณสุขสหรัฐฯ (IHME) คาดการณ์จำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ในสหรัฐฯ ว่า ในวันที่ 1 มกราคม 2564 อาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวในสหรัฐฯ สูงถึง 410,451 ศพ

การประเมินดังกล่าวยังคาดการณ์กรณีทางเลือก เช่น ตัวเลขผู้เสียชีวิตอาจลดลงถึง 122,000 ศพ หากพลเมืองอเมริกันเข้มงวดมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าการบังคับใช้มาตรการต่างๆ ผ่อนคลายลงก็อาจทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสูงขึ้นไปแตะ 620,000 ศพได้

คริสโตเฟอร์ เมอร์เรย์ ผู้อำนวยสารสถาบัน IHME ย้ำว่า สหรัฐฯ ต้องเรียนรู้มาตรการของประเทศอื่น ที่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ ขณะเดียวกันต้องถอดบทเรียนประเทศที่เกิดการระบาดระลอกที่สองด้วย

ปัจจุบันสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีผู้ป่วยโควิด-19 สะสมสูงที่สุดในโลกกว่า 6.3 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 191,000 ศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคระบาด (CDC) เพิ่งออกมาประเมินว่า ในวันที่ 26 กันยายน นี้ สหรัฐฯ อาจมีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็น 211,000 ศพ

พบลูกเรือคนที่ 3 เหตุเรือขนวัวล่มใกล้ญี่ปุ่น เศร้าคนที่ 2 เสียชีวิต

หน่วยยามฝั่งพบลูกเรือขนวัวที่อับปางในทะเลใกล้ประเทศญี่ปุ่นเป็นคนที่ 3 แล้ว ไม่กี่ชั่วโมงหลังพบลูกเรือคนที่ 2 ซึ่งเสียชีวิตในเวลาต่อมา

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า เรือ ‘Gulf Livestock 1’ บรรทุกวัวประมาณ 6,000 ตัวกับลูกเรืออีก 43 คน เดินทางในทะเลจีนตะวันออก ก่อนจะถูกอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น ‘ไมสัก’ ทำให้เรืออับปางเมื่อวันพุธที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา ทำให้หน่วยยามฝั่งของญี่ปุ่นออกระดมค้นหาครั้งใหญ่ และพบผู้รอดชีวิต 1 รายในคืนวันเดียวกันนี้ คือนาย เอดูอาร์โด ซาเรโน หัวหน้าเจ้าหน้าที่ประจำเรือ

ปฏิบัติการค้นหาล่วงเลยมาถึงวันศุกร์ที่ 4 ก.ย. หน่วยยามฝั่งก็พบชายคนหนึ่ง ลอยคอหมดสติคว่ำหน้า ในทะเล จึงให้การช่วยเหลือ แต่เขาเสียชีวิตในเวลาต่อมา

หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ความหวังในการพบผู้รอดชีวิตเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจากพายุลูกใหม่ ไต้ฝั่น ‘ไห่เฉิน’ กำลังแผ่อิทธิพลปกคลุมทะเลจีนตะวันออก อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็พบลูกเรือขนปศุสัตว์อีก 1 คน เป็นชาวฟิลิปปินส์อายุ 30 ปี โดยพบเขาสวมเสื้อชูชีพนั่งอยู่บนเรือยาง ชายคนนี้ยังมีสติดีและสามารถเดินได้หากมีคนช่วยพยุง ทำให้เขากลายเป็นผู้รอดชีวิตรายที่ 2 ในเหตุการณ์นี้

ทั้งนี้ เรือ ‘Gulf Livestock 1’ พร้อมลูกเรือชายฟิลิปปินส์ 39 คน, นิวซีแลนด์ 2 คน และออสเตรเลียอีก 2 คน เดินทางออกจากนิวซีแลนด์เมื่อวันที่ 14 ส.ค. เพื่อมุ่งหน้าไปยังประเทศจีน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่ในวันพุธ เรือลำนี้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปยังเกาะอามามิ โอชิมะ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น หลังจากเผชิญกับอิทธิพลของไต้ฝุ่นไมสัก

ตามการเปิดเผยของนายซาเรโน เครื่องยนต์ของเรือเสียก่อนจะถูกคลื่นซัดจนเรืออับปาง เขาเผยด้วยว่า ลูกเรือทุกคนได้รับคำสั่งให้สวมเสื้อชูชีพ ก่อนที่เขาจะกระโดดลงไปในทะเล แต่เขาไม่เห็นลูกเรือคนอื่นๆ เลยจนกระทั่งได้รับความช่วยเหลือ