ข่าว
อพช.หอบหลักฐานให้ดีเอสไอ เอาผิด “พระพรหมสุธี”อมเงิน

จากกรณีที่นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงานองค์กรเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (อพช.) ร้องขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบพฤติกรรมมิชอบของพระพรหมสุธี (เสนาะ ปญฺญาวชิโร) เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เจ้าคณะภาค 12 กรรมการมหาเถรสมาคม กรณีอนุมัติค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพิธีพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช วงเงินกว่า 67 ล้านบาท โดยไม่พบว่ามีการใช้จ่ายจริง รวมถึงการทุจริตเงินบริจาควัดโสธรวรารามวรวิหาร จ.ฉะเชิงเทรา ที่น่าเชื่อว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้แก่เครือญาติ

วันนี้ (31 ต.ค.) นายชัยธนพล ศรีจิวังษา ผู้ประสานงาน อพช.นำหลักฐานเอกสารภาพถ่าย ที่อ้างว่าเป็นรถยนต์ และทรัพย์สินของพระพรหมสุธี มามอบให้พนักงานสอบสวนสำนักคดีความมั่นคง ดีเอสไอ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา พร้อมให้ปากคำเพิ่มเติม

นายชัยธนพลกล่าวว่า มีพยานหลักฐานสำคัญที่สามารถเอาผิดพระพรหมสุธี แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และหลังจากเรื่องนี้ปรากฏผ่านสื่อมวลชนก็พบว่ามีการเคลื่อนย้ายรถยนต์หรูกว่า 20 คันออกจาดวัดสระเกศ ส่วนพยานหลักฐานทั้งหมดนี้จะส่งให้พนักงานสอบสวน เพื่อนำไปพิจารณาในการรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ต่อไป

ประยุทธ์ รวย128 ล. หม่อมอุ๋ย 1.3 พันล.

วันที่ 31 ต.ค. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 4 ก.ย. จำนวน 33 ราย 35 ตำแหน่ง

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน จำนวน 128,009,790.34 บาท มีหนี้สิน 654,745.06 บาท โดยเป็นเงินฝากกว่า 58 ล้านบาท เงินลงทุนอีกกว่า 23 ล้านบาท

ขณะผู้ที่มีทรัพย์สินมากสุดในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ คือ หม่อมราชวงศ์ ปรีดิยาธร เทวกุล มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,378,394,902.62 บาท ไม่มีหนี้ รองลงมา หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 1,315,332,228 บาท ไม่มีหนี้



ขณะผู้ที่มีทรัพย์สินน้อยสุด คือ พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6,948,378.27 บาท มีหนี้สิน 2,923,942 บาท


บัญชีทรัพย์สินหนี้สิน ทที่คณะครม.ยื่นให้ป.ป.ช.ตรวจสอบ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.

สำหรับ ครม.ประยุทธ์ มีทรัพย์สินดังต่อไปนี้

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 87,373,757.62 บาท

นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 88,674,649.06 บาท

พลเอกธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 186,033,607.07 บาท

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 116,847,346.51 บาท

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 37 ล้านบาท

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 51 ล้านบาท

พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รมช.กลาโหม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 54,634,679.28 บาท มีหนี้สิน 1,920,118.45 บาท


ครม.ประยุทธ์1

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 305,195,196.98 บาท

พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.แรงงาน มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 26,128,345 บาท

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 25,455,772.90 บาท

นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 830,523,789.33 บาท

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รมช.สาธารณสุข มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 38,980,221.52 บาท

นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รมว.อุตสาหกรรม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 51,736,008.82 บาท

นายรัชตะ รัชตะนาวิน รมว.สาธารณสุข มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 140,239,300 บาท

พล.ท.สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 16,830,032.99 บาท

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีทรัพย์สิน 78,989,028 บาท ไม่มีหนี้สิน

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมช.ต่างประเทศ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 138,127,316.10 บาท

นายสมหมาย ภาษี รมว.คลัง มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 113,437,743.09 บาท

นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 21,568,860.10 บาท

นายกฤษณพงศ์ กีรติกร รมช.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 55,162,201.72 บาท

พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 6,948,378.27 บาท

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รมว.วิทยาศาสตร์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 68,436,865.45 บาท

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ รมว.วัฒนธรรม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 27,509,509.24 บาท

นายสุธี มากบุญ รมช.มหาดไทย มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 61,893,427 บาท

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมช.พาณิชย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 29,429,846.21 บาท

พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.พาณิชย์ มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 33,280,755.90 บาท

นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รมว.พลังงาน มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 283,710,881.48 บาท

นายพรชัย รุจิประภา รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 108,989,207.58 บาท

พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 93,959,333.05 บาท

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมช.คมนาคม มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 23,639,580.47 บาท


ศาลปกครองสูงสุด ยกฟ้อง จัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท

วันที่ 31 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษากลับคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้น ยกฟ้องในคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนกับพวกรวม 45 คน ฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ คณะกรรมการนโยบายน้ำ และอุทกภัยแห่งชาติ คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1-4 กับในการออกแผนแม่บทในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อการออกแบบก่อสร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท 9 แผนงาน

โดยเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย เนื่องจากยังเป็นเพียงแผนงานที่จะทำในอนาคต หลายโครงการยังเป็นเพียงกรอบความคิด ที่ยังไม่มีความชัดเจน ยังไม่มีผลบังคับให้ต้องปฏิบัติตาม และยังไม่มีลักษณะเป็นการวาง หรือจัดทำให้เป็นไปตามผังเมืองรวม หรือเป็นการวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ไม่ใช่การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์และการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ในที่ดิน จึงไม่มีลักษณะที่อาจมีผลกระทบต่อส่วนไปเสียสำคัญของประชาชน ที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 มาตรา 57 วรรค 2 และมาตรา 67 วรรค 2 กำหนดให้รัฐต้องจัดทำกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชนอย่างทั่วถึง ก่อนดำเนินโครงการแต่อย่างใด

และแม้จะเล็งเห็นได้ในเบื้องต้นว่า หากมีการกำหนดโครงการ หรือกิจกรรมตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทฯ ได้อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน บางโครงการบางกิจกรรม น่าจะมีผลกระทบคุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพอนามัยของประชาชน ซึ่งถ้าหน่วยรัฐที่เกี่ยวข้องไม่ดำเนินการไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด ก็เป็นเรื่องที่ผู้เดือดร้อนเสียหายจะไปฟ้องศาลให้เพิกถอนเป็นรายโครงการไป

ส่วนที่มีการฟ้องว่า หน่วยงานรัฐให้คู่สัญญาเป็นผู้จัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นประชาชน อาจมีการเบี่ยงเบนผลการรับฟังความคิดเห็นประชาชน ทำให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ ศาลเห็นว่าการให้เอกชนดำเนินการดังกล่าว ย่อมอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐที่เป็นคู่สัญญาอยู่แล้ว หากมีข้อบกพร่อง ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแล ก็ต้องให้เอกชนกลับไปทำให้ครบถ้วน จึงจะเซ็นตรวจรับงานและเบิกจ่ายค่าจ้างทำงาน ดังนั้น การให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการรับฟังความคิดเห็นประชาชน ภายใต้การควบคุมของหน่วยงานรัฐไม่ได้เป็นเหตุชวนให้เกิดความลังเลสงสัยว่า ผลการศึกษาและการจัดให้กระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ไม่น่าเชื่อถือ

สำหรับที่ฟ้องว่า รัฐใช้วิธีการประมูลในลักษณะเหมาะเบ็ดเสร็จ คือ ผู้รับจ้างผู้ประมูลได้ต้องรับโครงการไปจัดการทั้งระบบ เป็นการกระทำไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นการที่รัฐกำหนดจะใช้วิธีการใดในการดำเนินโครงการ เป็นดุลพินิจภายในโดยแท้ของฝ่ายริหาร และไม่ว่าจะเลือกใช้วิธีใด ก็ไม่เป็นเหตุให้แผนบริหารจัดการน้ำไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ขณะที่ประเด็นที่อ้างว่า การดำเนินโครงการของรัฐในเรื่องนี้ เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และส่อทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช. นั้น ศาลเห็นว่า เป็นเรื่องนอกเหนืออำนาจหน้าที่ของศาล และไม่ได้มีการฟ้องตั้งแต่ในศาลชั้นต้น จึงไม่รับพิจารณาในประเด็นนี้

ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ยอมรับว่า เสียใจกับผลคำพิพากษาที่ออกมา แต่ภาคประชาชนยังคงทำหน้าที่ตรวจสอบโครงการและนโยบายของรัฐ ที่อาจก่อให้เกิดผลปกระทบกับประชาชนต่อไป โดยแม้โครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท จะถูกยกเลิกไปแล้ว โดยรัฐบาลปัจจุบัน แต่รัฐบาล โดย พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลป์ยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รับผิดชอบ ก็ได้มีการจัดทำแผนป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง และน้ำเน่าเสีย ซึ่งก็ต้องถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการน้ำเช่นกัน โดยขณะนี้มีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ภาคเหนือแล้ว แต่ไม่ครบทุกจังหวัด ทางสมาคมจึงทำหนังสือท้วงติงไปถึง พล.อ.ฉัตรชัย เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ว่าอยากให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างรอบด้าน ซึ่งถือว่าเป็นการตั้งข้อพิพาทของสมาคมแล้ว หากไม่มีการดำเนินการ สมาคมก็จะฟ้องร้องต่อศาล

“คำพิพากษาศาลที่ออกมาในวันนี้ มีการวางแนวปฏิบัติหลายเรื่อง ซึ่งถือว่าทำให้ภาคประชาชน ต้องเหนื่อยมากขึ้น และศาลก็อาจต้องเหนื่อยมากขึ้น เพราะต่อไปหากเป็นเรื่องของแผนงานโครงการที่จะมีการดำเนินโครงการ การมาฟ้องศาลก็อาจมองว่าเรื่องยังไม่เกิด ชาวบ้านต้องรอให้ตนเองเดือดร้อนจากโครงการก่อน แล้วมาฟ้อง ซึ่งก็ต้องติดตามเป็นรายโครงการ ขณะเดียวกัน ศาลก็ต้องรับฟ้องเป็นรายโครงการ ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ แต่ภาคประชาชนจะติดตามและกัดไม่ปล่อย ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนหากทำ" นายศรีสุวรรณ กล่าว


'ทักษิณ' ควง 'ปู-น้องไปป์' บินกวางโจวไหว้บรรพบุรุษ

“ปู-แม้ว” บินต่อไปกวางโจวไหว้กระดูกบรรพบุรุษพ่อ-แม่ พร้อมขอบคุณทางการจีนช่วยค้นหาต้นกำเนิดบรรพบุรุษจนเจอ

วันที่ 31 ต.ค. ช่วงเช้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยพี่ชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และบุตรชาย ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือน้องไปป์ เดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากกรุงปักกิ่งไปยังมณฑลกวางโจว

ทั้งนี้ในวันเดียวกันได้โพสต์ภาพผ่านทางเฟซบุ๊ก Yingluck Shinawatra ในขณะที่ไปเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เมืองเหมยเซี่ยน มณฑลกวางโจว และโพสต์ข้อความว่า "วันนี้เดินทางมาเพื่อเคารพหลุมฝังศพบรรพบุรุษที่เรียกว่ายายทวด และไปดูบ้านที่แม่เคยอยู่ตอนช่วงอายุ 9 ถึง 13 ขวบตอนตามคุณตามาอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนอพยพไปอยู่ที่ฮ่องกงและนั่งเรือจากฮ่องกงเพื่อมายังประเทศไทย ยังได้มีโอกาสพบญาติที่ยังเหลืออยู่ในรุ่นหลานรุ่นเดียวกับดิฉันและพี่ชาย ท่านทักษิณได้ใช้เวลาในการสืบหาสถานที่นี้ตั้งแต่ก่อนที่ท่านเป็นนายกฯ จากคำบอกเล่าแม่และท่านเคยเดินทางมาแล้วครั้งหนึ่งสมัยที่มาเยือนเมืองจีนตอนเป็นนายกรัฐมนตรี

ที่สำคัญมาครั้งนี้มีข่าวดีได้ไปเคารพหลุมฝังศพและบ้านที่เคยอยู่ของสายคุณพ่อซึ่งมีอายุเกือบ 300 ปี ต้องขอขอบคุณฝ่ายทางการจีนที่ช่วยสืบหาให้จนพบต้นกำเนิดบรรพบุรุษสายทางคุณพ่อด้วย เป็นเรื่องแปลกที่บรรพบุรุษสายคุณพ่อและคุณแม่ มาจากมณฑลเดียวกัน อยู่ห่างกันเดินทางไปเพียง 3 ชั่วโมง หากเดินทางโดยรถยนต์” ทั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้ขออนุญาต คสช. เดินทางออกนอกประเทศไว้ถึงวันที่ 3 พ.ย."


"จิม แมคดอนเนลล์" ขอเสียงคนไทย 4 พ.ย.นี้ ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น L.A. County Sheriff

หัวหน้าตำรวจเมืองลองบีช พบชุมชนไทย ขอคะแนนเสียง 4 พ.ย. เป็น L.A. County Sheriff ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายรักษากฎหมายไทยทั้ง พีท เพิ่มแสงงาม และ คิด ฉัตรประภาชัย

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 29 ตุลาคม 2557 ที่ไทยแลนด์พลาซ่า ไทยทาวน์ ฮอลลีวูด คิด ฉัตรประภาชัย ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีจาก BOE และเป็นเชอร์รีฟสำรอง ได้ประสานงานให้สื่อมวลชนไทยท้องถิ่นและผู้นำชุมชนพบกับ จิม แมคดอนเนลล์ หัวหน้าตำรวจเมืองลองบีช แคลิฟอร์เนีย กรณีที่นายจิมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น Los Angeles's County Sheriff

ทั้งนี้ เพื่อทราบถึงข้อมูลและนโยบายในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าเชอร์รีฟของแอล.เอ. เคาน์ตี้ โดยการลงคะแนนเสียงจะมีขึ้นในวันอังคารที่ 4 พ.ย. นี้

ชีฟจิม แมคดอนเนลล์ เล่าถึงประวัติความเป็นมา และประสบการณ์การทำงานในสายงานนี้มากกว่า 30 ปี โดยมีความเชื่อมั่นว่าจากประสบการณ์ที่มีนั้น จะทำให้งานในตำแหน่งหัวหน้าเชอร์รีฟของแอล.เอ.ดำเนินไปด้วยดีอย่างแน่นอน

ชีฟแมคดอนเนลล์เริ่มอาชีพตำรวจจากโรงเรียนตำรวจของแอล.เอ.พี.ดี. ปี 1981 ทำงานมาเกือบทุกตำแหน่ง จนตำแหน่งสุดท้ายเป็นรองหัวหน้าตำรวจแอล.เอ.พี.ดี. ในสมัยของ Chief Bill Bratton ก่อนที่จะไปสมัครเป็นหัวหน้าตำรวจลองบีช

ประวัติการทำงานการทำงานมีมาอย่างโชกโชนในการปฏิรูปการทำงานด้านบริหาร เคยเป็นกรรมการดูแลศึกษาการใช้ความรุนแรงในเรือนจำ ทำการแนะนำมาตรการแก้ไขรายงานถึง 63 ข้อ ในเรือนจำของแอล.เอ. เคาน์ตี้ และยังเป็นกรรมการในองค์กรไม่แสวงหากำไรต่างๆ

เรียนจบปริญญาตรีอาชญาวิทยาจากมหาวิทยาลัย St. Anselm ที่เมือง Manchester, New Hampshire ปริญญาโทบริหารรัฐกิจจาก USC อบรมและจบหลักสูตร FBI แต่งงานแล้วกับภรรยาชื่อ Kathy มีลูกสาว 2 คน Kelly อายุ 23 ปี และ Megan อายุ 21 ปี โดย Kelly จะเข้าเรียนต่อโรงเรียนกฎหมาย และ Megan จะจบปริญญาตรีในปีหน้า

การพบประชุมชนในครั้งนี้ พีท เพิ่มแสงงาม เจ้าหน้าที่ตำรวจแอล.เอ.พี.ดี. ฝ่ายปราบปรามการก่อการร้ายในหน่วย K-9 และเคยทำงานร่วมกับจิมว่า ท่านเป็นตำรวจที่เข้าถึงชุมชนไทย ตัวอย่างจากกรณีเมื่อ 2007 ที่มีเด็กหญิงวัย 9 ขวบถูกยิงเสียชีวิตในเขตแรมพาร์ต ชีฟแมครดอนเนลล์ ให้ความสนใจในคดีนี้มาก ยังไปร่วมในงานสวดศพของ "น้องจ๋า" ที่วัดไทยอีกด้วย

ชีฟจิมได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายทั้งนักการเมืองและประชาชน เพราะเขามีชื่อเสียงไปทั่วประเทศในด้านการรักษากฎหมาย สำหรับคู่แข่งของเขาคือ พอล ทานากะ อดีตรองเชอร์รีฟ

ในการพบปะครั้งนี้ มีผู้ให้การสนับสนุนมากมายนอกจากสื่อมวลชนแล้วยังมีสภาที่ปรึกษาไทย-อเมริกัน แอล.เอ. เชอร์รีฟ เคาน์ตี้ ที่นำโดย สมหมาย ปัทมะคันธิน เป็นประธานฯ พร้อมด้วยสมาชิก อาทิเช่น ดนัย เงาจีนานันทน์ รังสิต คงจันทร์ ธีระ ศุกพิพัฒน์วงศ์ ณอน ปัทมะคันธิน เป็นต้น

‘น้องมายด์’วัย18 สวมมงกุฎมิสทีน

ดาวดวงใหม่เกิดมาประดับวงการบันเทิงแล้ว หลัง “น้องมายด์-พัฒนิดา พุ่มชูแสง” สาวใสวัย 18 คว้าตำแหน่งมิสทีน “ไทยแลนด์ 2014 บาย โซล ซีเครท” รับรางวัลเงินสด 300,000 บาท พร้อมทั้งมงกุฎเพชร ของรางวัลต่างๆ มีมูลค่ารวมกว่า 1 ล้านบาท ทำคะแนนเฉือนน้องน้ำหวาน-ชนนันท์ เลิศปัญญาพรชัย หมายเลข 33 ให้กลายเป็นรองอันดับ 1 ท่ามกลางบรรยากาศคึกคักและกองเชียร์แน่นเวทีการประกวด

สาววัยใสดาวดวงใหม่จะเกิดขึ้นมาประดับวงการบันเทิงอีกคน จากการประกวดในเวทีมิสทีน ไทยแลนด์ รอบตัดสิน ที่มีขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 30 ต.ค. ที่ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว โดยบริษัท อินสไพร์ เอนเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ร่วมกับสถานีโทรทัศน์สี กองทัพบกช่อง 7 และบริษัท ยูลิฮัน กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้จัดการประกวด “มิสทีน ไทยแลนด์ 2014 บาย โซล ซีเครท” ซึ่งการประกวดเริ่มด้วยความคึกคักของการแสดงเปิดตัวของผู้เข้าประกวดทั้ง 50 คน ที่โชว์ความสดใสน่ารัก ในการแสดงชุด Hello Girls และการแสดงชุด Be Yourself

จากนั้น 2 พิธีกรชื่อดัง เชียร์-ฑิฆัมพร ฤทธิ์ธาอภินันท์ และ เติ้ล-ตะวัน จารุจินดา ได้ประกาศผลผู้เข้ารอบ 15 คน ทำให้บรรยากาศการประกวดเริ่มคึกคักมากขึ้น โดยมีเสียงเชียร์ดังสนั่น เมื่อผู้เข้ารอบทั้ง 15 คนได้ออกมาโชว์ชุดราตรี และมีการแสดงจากศิลปินชื่อดัง บี้ เดอะสตาร์

ก่อนที่จะได้ผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ได้แก่ 1. หมายเลข 24 รมิดา จีรนรภัทร (เจน) อายุ 15 ปี นักเรียน ร.ร.สารสาสน์วิเทศบางบอน ได้รางวัลพิเศษ Miss Seoul Secret Star 2.หมายเลข 26 ภัครมัย ประชาสิริกุล (กิ๊ก) อายุ 16 ปี นักเรียน ร.ร.วชิรปราการวิทยาคม ได้ตำแหน่ง Miss Maxim Contact Lens 3.หมายเลข 33 ชนนันท์ เลิศปัญญาพรชัย (น้ำหวาน) อายุ 16 ปี นักเรียน ร.ร.ศึกษานารี ขวัญใจชาวจันทบุรี ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชนและ Miss AIS ขวัญใจวัยทีน 4.หมายเลข 37 ไพรดา กำทอง (นุ้ย) อายุ 16 ปี นักเรียน ร.ร.อุดมศึกษา 5.หมายเลข 41 พัฒนิดา พุ่มชูแสง (มายด์) อายุ 18 ปี นศ.มทร.รัตนโกสินทร์ ศาลายา เจ้าของตำแหน่ง Miss Elisees

กระทั่งถึงนาทีสำคัญ เมื่อพิธีกรประกาศชื่อผู้ได้ครองตำแหน่งมิสทีน ไทยแลนด์ 2014 บายโซล ซีเครท ได้แก่ หมายเลข 41 น้องมายด์-พัฒนิดา พุ่มชูแสง คว้าเงินรางวัล 3 แสนบาท พร้อมได้รับการเป็นนางแบบนิตยสารต่างประเทศระยะเวลา 4 ปี เป็นเงิน 7 แสนบาท มงกุฎเพชร สายสะพาย เข็มกลัดทองคำ พร้อมเงินรางวัลจากผู้สนับสนุนอีกมากมายรวมมูลค่ากว่า 1 ล้านบาท และได้ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นนักแสดงต่อไป ขณะที่รองอันดับ 1 หมายเลข 33 น้องน้ำหวาน-ชนนันท์ เลิศปัญญาพรชัย ส่วนรองอันดับ 2 ซึ่งมีด้วยกัน 3 คน ได้แก่หมายเลข 24 น้องเจน-รมิดา จีรนรภัทร หมายเลข 26 น้องกิ๊ก-ภัครมัย ประชาสิริกุล และหมายเลข 37 น้องนุ้ย-ไพรดา กำทอง