ข่าว
คำสั่งคสช. ลั่น! รณรงค์รธน, ห้ามใช้ไลน์-ข้อความ-คลิป

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมาย กล่าวถึงผลการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมการทำประชามติ ว่า ได้มีการหารือถึงเรื่องการปลุกระดม ไม่ว่าจะเป็นการปลุกระดมให้ผ่านหรือไม่ผ่าน โดยที่ประชุมไม่สนับสนุนให้ทำเช่นนั้นและต้องห้าม เพราะอาจเข้าข่ายผิดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยนายวิษณุระบุว่า หากมีการส่งไลน์หรือเอสเอ็มเอสในลักษณะยั่วยุ ปลุกระดม ใช้คำพูดหยาบคาย รุนแรง ข่มขู่ ก้าวร้าว คำตอบคือทำไม่ได้ ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับคลิป ที่ส่งกันอย่างผิดกฎหมายถ้าจับได้ก็จับ แต่ หลักอยู่ที่ว่าอย่าเป็นการปลุกระดมยั่วยุ ให้เกิดความแตกแยกหรือไม่ ถ้าเป็นการแสดงความคิดเห็นธรรมดาคงไม่เป็นไร เช่นการร่วมรายการโทรทัศน์แสดงความเห็นนั้นสามารถทำได้

นายกฯ ซัดนักการเมือง ไม่ละอาย ชี้นำคว่ำรธน.

นายกฯ ซัดนักการเมืองไม่ละอายชี้นำคว่ำรธน. ยกเสียงประชาชน 60 ล้านสู้ถามกลัวอะไรกับคปป. ไม่สนพรรคขู่บอยคอตเลือกตั้ง เทียบตัวเป็นนกกระสาทำความสะอาดบ่อให้กบ...

เมื่อวันที่ 28 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. กล่าวภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนประเทศฟิลิปปินส์ ว่า เรื่องสถานการณ์ทางการเมือง ตนได้บอกกับทางฟิลิปปินส์ว่าประเทศไทยกำลังเดินตามโรดแม็ปอยู่ ในเรื่องของการเตรียมการทำรัฐธรรมนูญ เตรียมการทำประชามติ ถ้าขั้นที่ 1 ผ่านก็ขั้นที่ 2 และขั้นที่ 3 สู่การเลือกตั้ง ซึ่งตนยืนยันในเจตนารมณ์ของเราจะไม่ไปฝืนในสิ่งที่ทำไว้เดิมก็คือโรดแม็ป ซึ่งคนที่ทำไม่ให้เป็นไปตามโรดแม็ปก็พวกที่ออกมาพูดจากันอยู่ขณะนี้ และทำให้ประชาชนสับสน

“ฉะนั้นอย่าดูถูกประชาชน อย่าไปชี้นำ ไม่ใช่ผมไม่รับผิดชอบ แต่เคยบอกแล้วว่า บ้านเราเมืองเรา การเมืองเราให้ท่านทำมาตั้งนานแล้ว ท่านก็แก้ไขอะไรไม่ได้สักที ฉะนั้น วันนี้ผมเป็นกรรมการ ก็สามารถกำหนดกติกาออกมาได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคนดู ประชาชนที่รับประโยชน์ว่า เขาโอเคไหม ถ้าเขาโอเคควรที่จะมีกติกาใหม่หรือเปล่า ก็ไปว่ากันมา ไม่ได้ต้องการที่จะมีอำนาจเหนือใครทั้งสิ้น”

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ว่า จะไปกลัวอะไรกันนักหนา สื่อมวลชนเข้าใจไหม อธิบายได้ไหม หรือวิจารณ์อะไรไปเรื่อยเปื่อย เข้าใจเขาเขียนว่ายังไง อ่านหรือยัง แล้วมันดีหรือไม่ดีในความคิดของสื่อ หรือไม่เป็นประชาธิปไตย แล้วประชาธิปไตยที่ผ่านมา มันเป็นอย่างไร คิดให้มันต่อเนื่อง หรือต้องการประชาธิปไตยที่เป็นแบบเก่ามาหลายสิบปี ซึ่งมีรัฐธรรมนูญหลายฉบับมาแล้ว หากฉบับนี้จะเปลี่ยนแปลงก็ให้ขึ้นอยู่กับประชาชน ให้ประชาชนคิดว่า เขาจะได้อะไร หรือไม่ได้อะไร ไม่ใช่เราไปชี้นำ พวกเราต้องออกมาแสดงความคิดเห็นที่เป็นประชาธิปไตย ที่ผ่านมาก็พูดแบบนี้ ตีมาแบบนี้ ก็พูดแบบเดิม

“ไม่รู้จักละอายบ้างนะ ผมว่าคนดีๆ ผมไม่ไปแตะต้องอยู่แล้ว ไม่ไปยุ่งกับท่าน แต่คนที่มีปัญหาชอบมาพูดนี้ พูดโน้น ประชาชนก็ตัดสินเอาแล้วกัน ผมขี้เกียจไปทะเลาะด้วย”

ส่วนกรณีพรรคการเมืองจับมือคว่ำรัฐธรรมนูญ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “จะจับมือคว่ำได้อย่างไร เขามีกี่คน ประชาชนมีกี่คน นักการเมืองมีถึงร้อยไหม หรือสองร้อย ประชาชนที่เหลือมีเท่าไร 60 กว่าล้านคน แล้วท่านจะให้เขาชี้นำในเรื่องที่ทำให้เกิดปัญหาหรือเปล่าไม่รู้ ไปเลือกกันเอาเอง ผมทำมาให้ขนาดนี้แล้ว ก็ไปเลือกกันเอาเอง"

พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวกรณีพรรคการเมืองพรรคใหญ่จะไม่ลงเลือกตั้ง ว่า ถ้าไม่ลงก็อย่าลง ตนไม่ได้ไปเกี่ยวข้อง ไม่ได้ไปลงเลือกตั้ง แต่มีหน้าที่ไปเลือก ถ้าไม่ดีก็กาไม่เลือกใครเท่านั้นเอง เขามีทางเลือกอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องมาขัดแย้ง มาเดินขบวนสู้กันอีก มันก็เกิดมาแล้ว ก่อนวันที่ 22 พ.ค.57 เลือกตั้งครั้งที่แล้วมันเกิดหรือเปล่า ฉะนั้น วันนี้คนที่ออกมาพูดทั้งหมด เปิดเวทีแถลงมาว่า จะไม่เกิดเรื่องราวอย่างเดิมขึ้นมาอีก ทุจริตผิดกฎหมาย ทับซ้อนการใช้อำนาจ ไม่ใช่ปล่อยแล้วให้ตนมาแก้ให้ พอแก้ให้ก็มาเล่นงานตน แล้ววันหน้าเขาก็ไม่รับผิดชอบ คนอย่างนี้ท่านให้เขาพูดได้เหรอ คุณเชื่อเขาหรือเชื่อตน ให้เครดิตเขาหรือตน ท่านตัดสินเอาเอง

“วันนี้ ผมไม่ได้ทำตัวแบบนกระสาที่มาจิกกินกบ มันไม่ใช่ แต่ผมมาทำให้สระนี้สงบเงียบเรียบร้อย พวกเราคือกบ ไม่ได้ดูถูกใครนะ เปรียบเทียบกันง่ายๆ เราก็อยู่กันสงบเรียบร้อย น้ำก็ใส ท่านจะไปหากินที่ไหนก็ได้ แล้วท่านจะไปหานกกระสาที่ไหนมาอีก ถึงเวลาเดี๋ยวเขาก็เลือกกันมาเอง อย่าไปกังวลนักหนาเลย อีกตั้งหลายขั้นตอน ยุ่งกันไปหมดแหละ ก็เหมือนกับการชี้นำ แทนที่จะไปโทษคนพูด ก็มาโทษผมอีกว่าชี้นำ ดีเหมือนกัน”

พร้อมระบุ ที่ตนมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะเขาไม่ทำตามกรอบ เขาไม่ปล่อยให้ทุกคนทำหน้าที่ในทางที่ถูกที่ควร นั่นล่ะคือปัญหา ฉะนั้นวันนี้สิ่งที่เราเป็นห่วงกันเสมอในเรื่องประชาธิปไตย ซึ่งเราไม่เคยคิดจะละเมิด เพียงแต่เขาเสนอควรจะมีกลไก สักกลไกหนึ่งเพื่อดูแลเรื่องการปฏิรูป ดูแลการปรองดองในคดีที่สิ้นสุดแล้วจะทำอย่างไรกันต่อ แต่จะมาเรียกร้องให้รัฐบาลยกโทษ นิรโทษกรรม มันทำไม่ได้ มันต้องเข้าสู่กระบวนการปรองดอง เพราะความขัดแย้งรบกันมาตั้ง 6-7 เดือน

“ถ้าไม่ให้มีตรงนี้ ก็ไปบอกสิทำสัญญากับประชาชนได้ไหม เขาก็ไม่ทำอีก เขาก็บอกประชาธิปไตย เออประชาธิปไตยจะทำผิดก็ได้ ถูกก็ได้บ้านเมืองเสียหายอย่างไรก็ได้หรือไง คนดีๆ มีเยอะที่อยากเข้ามาการเมืองเขาก็ไม่กล้าเข้า ตนมาสภาพแบบนี้หลายๆ คนก็ไม่ยอมรับกติกากัน ไปเอากติกาต่างประเทศมาต้องอย่างนี้อย่างนั้น ทำไมไม่ให้ประชาชนมีความรู้มากขึ้น การจะเป็นประชาธิปไตยส่วนหนึ่งคือการเลือกตั้ง แต่ส่วนหนึ่งท่านต้องรู้ว่าจะเลือกตั้งใครเข้ามาบริหารปกครองบ้านเมือง ที่มีธรรมาภิบาล ที่ผ่านมามีการไปร่วมงานศพ งานแต่งวันนี้มีหรือไม่ นั่นคือการดูแลประชาชนหรือ เอาเงินไปช่วยงานศพ มีพวงหรีดไปทุกวัน เอาเงินที่ไหนไปซื้อ เงินส่วนตัวหรือเปล่า ถ้าเป็นเงินส่วนตัว ผมโอเคชื่นชม ขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าเป็นเงินหลวงตกนรกหมด ผมมีเงินเดือน 7 หมื่น 5 พัน แจกแบบนั้นไหวไหม ทะเลาะกับสื่อค่าแรงก็หมดแล้ว ผมไม่ได้โกรธสื่อเพราะโกรธกันไม่ลง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวในที่สุด


‘บิ๊กตู่’นำครม.-เหล่าทัพอวยพร‘ป๋าเปรม’95ปี

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม 2558 ที่บ้านสี่เสาร์เทเวศร์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ให้ข้าราชการระดับสูง ทหาร ตำรวจ และนักธุรกิจ เข้าอวยพรวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 95 ปีย่างเข้า 96 ปี โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. พร้อมด้วยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี ประกอบไปด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น

ต่อมาเวลา 09.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ นำคณะครม. กล่าวอวยพร พล.อ.เปรม ว่า เรียนประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของท่านที่เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง กระผมและคณะรัฐมนตรี พร้อมด้วยผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร. ขอถือโอกาสอันเป็นมงคลอำนวยพรแด่ท่านด้วยความรักและเคารพยิ่ง พวกกระผมตระหนักอยู่เสมอถึงการอุทิศตนของท่านเพื่อทำคุณประโยชน์กับประเทศชาติอย่างต่อเนื่อง และยาวนาน ดังนั้นเกียรติประวัติคุณงามความดี รวมทั้งการดำรงตนอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรีและเป็นผู้มีความจงรักภักดียิ่งต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ จนทำให้ท่านเป็นที่เคารพยกย่อง เชิดชู และเป็นแบบอย่างให้พวกกระผมยึดถือเป็นต้นแบบในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อตอบแทนคุณแผ่นดิน ตลอดจนการยึดถือความซื่อสัตย์สุจริต พร้อมทั้งยึดถือความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ประกอบกับความมุ่งมั่นทำงานเพื่อประเทศชาติ และประชาชน อย่างเต็มกำลังความสามารถ

ด้าน พล.อ.เปรม กล่าวว่า วันนี้เป็นวันที่ผมภูมิใจ ดีใจ และมั่นใจมาก ที่นายกฯ คุณป้อม และพวกเราเหล่าทัพทั้งหลาย ได้แสดงออกถึงความรัก ความสามัคคี ความเสียสละ ความจงรักภักดีให้ประชาชนได้เห็น ตราบใดที่ในเหล่าทัพ ยังดำรงไว้ซึ่งความเข้มแข็ง ความรักสามัคคีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน ตราบนั้นผมมั่นใจว่าทั้งนายกฯ คุณป้อม และท่านอื่นๆ ที่กำลังดูแลชาติบ้านเมืองจะทำได้ แม้จะยากเพียงใดก็ตาม ผมมั่นใจว่าถ้าพวกเรายังดำรงความรัก ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ร่วมใจกันทำเสียสละความสุขส่วนตัว เพื่อมอบให้ประชาชน เมื่อนั้นมั่นใจว่า ตู่ คุณป้อม คนอื่นๆจะนำความสุขคืนให้ประชาชน และจะทำให้เกิดความปรองดองในชาติได้แน่นอน

พล.เปรม กล่าวต่อว่า ผมขอขอบคุณนายกฯ และคุณป้อม พร้อมทั้งท่านผู้มีเกียรติ ตลอดจน ผบ.เหล่าทัพ ได้โปรดกันต้องร่วมมือกันอย่างนี้ รักกันอย่างนี้ตลอดไป เพราะจะสร้างเกียรติประวัติให้กับกองทัพของเรา และให้กับรัฐบาล อีกทั้งเราก็จะมีความสุขบนความเหน็ดเหนื่ย ความยากลำบาก บนความเสียสละที่เรามีให้ประชาชนคนไทยทุกคน อีกทั้งผมขอชื่นชม และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้มองเห็น ขอให้ประชาชนมองเห็น มองเห็นความเสียสละของพวกเราที่มีต่อประชาชน ขอให้ทุกคนมีความประสบความสำเร็จในหน้าที่ที่ปราถนาอย่างยิ่งให้ชีวิตของเราที่ทำให้ประเทศไทย เกิดความรัก ความสามัคคี ปรองดองกัน แม้ว่ามีความเห็นแตกต่างกันก็รักกันได้

“ผมมั่นใจในตัวผบ.เหล่าทัพ มั่นใจในตัวนายกฯ มั่นใจในตัวคุณป้อม และมั่นใจทุกๆคนว่าจะสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้ ก็ขอให้ช่วยกัน เพื่อนำทางไปสู่ความสำเร็จ เพราะจะเป็นของขวัญให้คนไทยทุกคน และถวายเป็นพระราชกุศุลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ประธานองคมนตรี กล่าว

หลังจากนั้น พล.อ.เปรม ได้กล่าวทักทายคณะรัฐมนตรี และ ผบ.เหล่าทัพก่อนที่ พล.อ.เปรม จะเดินทางเข้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้นำคณะรองนายกรัฐมนตรี ทั้ง 6 คนเข้าพบ พล.อ.เปรม โดยใช้เวลาในการพูดคุยนานกว่า 20 นาที โดย พล.อ.เปรม ได้ฝากให้รองนายกรัฐมนตรี ช่วยงาน พล.อ.ประยุทธ์ ในการแก้ปัญหาของประเทศชาติ โดยร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้ประเทศชาติลุล่วง


โปรดเกล้าฯ ธีรชัย เป็น ผบ.ทบ.คนใหม่

เว็บไซด์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ 831 ตำแหน่ง"บิ๊กหมู" พลเอก ธีรชัย นาควานิช ผงาดนั่งแท่น ผบ.ทบ.ขณะ"บิ๊กติ๊ก"พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ไม่พลิกโผ

วันที่ 28 ส.ค. เว็บไซด์ราชกิจจานุเบกษา http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2558/E/198/1.PDF ได้เผยแพร่ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องให้นายทหารรับราชการ ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2558 โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ รวม 831 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งสำคัญ ได้แก่ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม , พลเอก สมหมาย เกาฏีระ เสนาธิการทหาร เป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เป็นผู้บัญชาการทหารบก , พลเรือเอก ณะ อารีนิจ เสนาธิการทหารเรือ เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ “

'บิ๊กหมู'

พล.อ.ธีรชัย นาควานิช หรือที่สื่อมวลชนเรียกกันว่า "บิ๊กหมู" เกิดเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ.2498 เป็นบุตรชายของ พล.ต.ธวัชชัย นาควานิช จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 14 (ตท.14) และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 25 (จปร.25) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ พล.อ. อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) คนปัจจุบัน

ประวัติการทำงาน พล.อ.ธีรชัย เคยดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการทหารบก ก่อนจะย้ายมาเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แทน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ที่ขยับขึ้นไปเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้น เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2556 หลังจากรัฐประหาร เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 พล.อ.ธีรชัย ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557

'บิ๊กติ๊ก'

พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา หรือที่สื่อมวลชนเรียกว่า"บิ๊กติ๊ก" เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 เป็นบุตรของ พ.อ.ประพัฒน์ กับ นางเข็มเพชร จันทร์โอชา เป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนวัดนวลนรดิศ โรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 15 (ตท.15) และโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 26 (จปร.26)

ประวัติการทำงาน พล.อ.ปรีชา เคยรับราชการในสังกัดกองทัพบก ผ่านการดำรงตำแหน่งหลักๆ อาทิเช่น ประจำศูนย์การทหารราบ ปี 2522 สมัครเป็นศิษย์การบินทหารบก รุ่นที่ 20 จบในปี 2524 จนกระทั่งเข้าเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจำชุดที่ 67 ชีวิตราชการส่วนใหญ่เติบโตในพื้นที่กองทัพภาคที่ 3 มาโดยตลอด และเป็นเสนาธิการกองพลพัฒนาที่ 3 รองผู้บังคับการพัฒนาที่ 3 ปี 2550 ติดยศพลตรีในตำแหน่งเสนาธิการกองทัพภาคที่ 3 เข้าเรียนวปอ.รุ่นที่ 52 ก่อนขยับขึ้นเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 3 ปี 2553 และได้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพน้อยที่ 3 ยศพลโทในปี 2554 ก่อนขยับดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 คนที่ 36 ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารกลางปี เมษายน 2556 และปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2557


“ธีรยุทธ” ห่วง “โปลิตบูโร” กลืนชาติ สมานฉันท์เกิดได้ต้องยอมพร้อมใจ

ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ เพื่อประชาธิปไตย จัดพิธีมอบรางวัลผลงานทางวิชาการที่สร้างสรรค์และสร้างผลสะเทือนทางสังคม จากนั้นนายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีต ผอ.สถาบันสัญญา–ธรรมศักดิ์ฯ กล่าวบรรยายหัวข้อ “สิทธิและอำนาจของประชาชน” ตอนหนึ่งว่า คนไทยจำนวนมากมองประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง มากกว่ามองเป็นส่วนประกอบของวิถีชีวิต จึงไม่ให้คุณค่าในการรักษาประชาธิปไตย มีแนวคิดที่จะยอมรับโปลิตบูโร หรือประชาธิปไตยรวมศูนย์ ขณะที่นักการเมืองต้องการประชาธิปไตยแค่การเลือกตั้งกับตำแหน่งในรัฐสภา ส่วนชาวบ้านต้องการประชาธิปไตยกับการเลือกตั้งให้ได้ตัวแทนเป็น ส.ส.กับผลประโยชน์ของชุมชนที่จะได้จากตัวแทน ส่วนกลุ่มที่ได้ประโยชน์มากสุดจากการเปลี่ยนแปลงคือกลุ่มทุน ที่ได้ประโยชน์มากว่า 50 ปีแล้ว

นายธีรยุทธกล่าวว่า การรัฐประหารโดย คสช.ที่มีความเชื่อว่าปัญหาวิกฤติทางการเมืองจะแก้ได้เมื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นแนวคิดที่น่าห่วง เพราะการสมานฉันท์ไม่สามารถเกิดจากการเขียนกฎหมาย คำสั่ง หรือการร้องเพลง แต่ต้องเกิดจากการยินยอมพร้อมใจและการให้ความจริง ความถูกต้องในทุกด้านกับประชาชน มองปัญหาให้ถูก ซึ่งปัญหาใหญ่ก็คือการคิดต่างกัน ขณะที่ กมธ.ยกร่างฯพูดเรื่องพลเมือง ให้ประชาชนต้องมีความรับผิดชอบ แต่ปัญหาบ้านเราทวีความรุนแรงในทุกเรื่อง ชาวบ้านยังไม่มั่นใจการกระจายอำนาจ รู้สึกต่ำต้อยกว่าชาวกรุง การจะให้ชาวบ้านมาเป็นพลเมืองที่เข้มแข็งนั้น เขาต้องตระหนักและมั่นใจถึงอำนาจของตัวเอง แต่วันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังถูกคุมอำนาจโดยมหาดไทย ทั้งที่ควรกระจายสิทธิการบริหารจัดการชุมชนไปสู่ท้องถิ่น

นายธีรยุทธให้สัมภาษณ์ถึงร่างรัฐธรรมนูญที่บัญญัติให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ซึ่งมีอำนาจคล้ายกับคณะกรรมการโปลิตบูโรว่า กังวลใจว่าสังคมไทยเวลานี้มีความเหนื่อยล้าและเบื่อการชุมนุม ทำให้มีแนวโน้มที่จะยอมรับระบบโปลิตบูโรมากขึ้นเพื่อแลกกับความสงบของบ้านเมือง แต่ระบบนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศ เพราะเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ ซึ่งจะกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหมือนเราย้อนกลับไปในอดีต ตนเป็นห่วงบทเฉพาะกาลแนบท้ายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวกับ คปป. ซึ่งกำหนดวาระยาวนานถึง 5 ปี เพราะยาวนานเกินไป หลายฝ่ายมองว่าอาจเป็นการสืบทอดอำนาจ และยังไม่รู้ว่าจะมี คสช.ไปทำหน้าที่นี้ใน คปป.ด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง

นายธีรยุทธกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมาความนิยมของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นจากการเข้ามาควบคุมสถานการณ์บ้านเมืองไม่ให้เกิดความรุนแรง ประกอบกับบุคลิกส่วนตัวที่ดูตรงไปตรงมา และสังคมเชื่อว่าไม่ใช่คนทุจริต แต่เมื่อเวลาผ่านไปจะเริ่มมีคำถามมากขึ้น เพราะที่ผ่านมายังไม่มีการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรมแม้แต่เรื่องเดียว เมื่อถามว่า กระแสความนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์กำลังจะตีกลับ หรือลดลงใช่หรือไม่ นายธีรยุทธตอบว่า ขณะนี้ยังไม่ถึงจุดนั้น แต่หากทิ้งเวลาผ่านไปอีกและยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คำถามจากสังคมจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่าคิดว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพเช่นนี้ตลอดไป ปัญหาชาติแก้ไขโดยการใช้ร่างรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้ แต่ไม่ขอให้ความเห็นว่าควรหรือไม่ควรที่จะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจ สปช.

บึ้มราชประสงค์ รู้ในใจกลุ่มใดทำ รองผบ.ตร. มั่นใจคลี่คลายคดีได้

รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันไม่กดดันในการคลี่คลายคดีเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ พร้อมยอมรับพอมีข้อมูลว่ากลุ่มใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุอยู่ในใจแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

27ส.ค. - พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าเหตุระเบิดบริเวณสี่แยกราชประสงค์ว่ายังไม่รับรายงานถึงกระแสข่าวที่ว่ามีการนำตัวชายชาวตุรกีมาสอบปากคำซึ่งต้องตรวจสอบข้อมูลจากชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลอีกครั้งยืนยันยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้งเนื่องจากเป็นคดีที่ได้รับความสนใจอย่างมากซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ลงมือก่อเหตุยังคงอยู่ในประเทศไทยหรือไม่แต่ยอมรับว่ามีช่วงเวลาให้สามารถหลบหนีไปได้โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าคนไทยจะมีจิตใจโหดร้ายพอที่จะลงมือก่อเหตุ

ส่วนกลุ่มลัทธิทางศาสนาต่างๆ ที่เคยเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ก็ยังไม่เคยพบว่ามีการก่อเหตุความรุนแรงในประเทศ เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบกระแสข่าวทุกกรณีเพื่อให้สามารถจับกุมคนร้ายให้ได้โดยเร็วที่สุด

พลตำรวจเอกจักรทิพย์ยืนยันไม่มีความกดดันเนื่องจากชุดทำงานได้ทำงานอย่างเต็มความสามารถแล้วส่วนเรื่องการตรวจสอบเบอร์โทรศัพท์นั้นไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากอาจส่งผลต่อการสืบสวนได้พร้อมยอมรับพอมีข้อมูลว่ากลุ่มใดเป็นผู้ลงมือก่อเหตุอยู่ในใจแต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

สำหรับกรณีเหตุระเบิดที่ท่าเรือสาทรกับแยกราชประสงค์จะมีเชื่อมโยงกันหรือไม่นั้นขอเวลาให้การพิสูจน์ตรวจสอบเพิ่มเติมพร้อมย้ำว่าจะยังไม่ออกหมายจับมือวางระเบิดที่ท่าเรือสาทรเนื่องจากต้องการรวบรวมหลักฐานพยานให้รอบคอบก่อน