ข่าว
เปิดตัว "หมอเมย์" แพทย์สาว นักวิ่งข้างกาย "ตูน บอดี้สแลม"

ต้องถือว่าเป็นปรากฏการณ์ไปแล้วสำหรับโครงการวิ่ง "ก้าวคนละก้าว" ของนักร้องหนุ่ม ”ตูน บอดี้สแลม” หรือ “อาทิวราห์ คงมาลัย” จากเบตง - แม่สาย ตั้งแต่วันที่ 1 พย - 25 ธค 2560 เป็นระยะทางกว่า 2,191 กิโลเมตรเพื่อหารายได้มอบให้กับ 11 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

ทั้งนี้ในบรรดาทีมงานทั้งหลายทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังที่ร่วมกิจกรรมนี้ หนึ่งในบุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งก็เห็นจะเป็นแพทย์สาวนักวิ่งอย่าง พญ.สมิตดา สังขะโพธิ์ หรือ หมอเมย์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูจากรพ.พระราม 9 ที่ทำหน้าที่ดูแลการวิ่ง การเช็คร่างกายของทีมงาน รวมไปถึงดูแลเรื่องของอาการบาดเจ็บ การทำกายภาพบำบัดตลอดจนฟื้นฟูสภาพกล้ามเนื้อให้กับทีมงานที่ร่วมวิ่งในครั้งนี้ด้วยนั่นเอง

เมืองคอน จ่อ รับ ตูน ยิ่งใหญ่ จิมมี่ มอบเงิน ยอดกว่า 166 ล.

ผู้ว่าฯเมืองคอนเตรียมรับ”ตูน” อย่างยิ่งใหญ่ ขอพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช ร่วมบริจาคเงิน-ขณะ“จิมมี่”เศรษฐีใจบุญ มอบด้วยมือตนเองเงิน16 ล้านบาทให้”ตูน” หลังวิ่งถึงวัดมหาธาตุวรมหาวิหาร ขณะที่ยอดเงินบริจาคล่าสุด พุ่งกว่า 166 ล้าน!

เมื่อ 10 พ.ย. นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผวจ.นครศรีธรรมราช เผยกับผู้สื่อข่าว กำหนดการวิ่งของตูน บอดี้สแลมพรุ่งนี้ (11พย.) จะวิ่งออกจาก อ.ระโนด จ.สงขลา เข้าเขตพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช ไปตามพื้นที่ต่างๆไปตามถนนสายทางหลวง 408 นครศรีธรรมราช-สงขลา และกำหนดจะวิ่งมาถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ประมาณเที่ยงของวันที่ 12 พ.ย.นี้ ซึ่งทางจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้เตรียมรับคณะของ”ตูน”อย่างยิ่งใหญ่ โดยจัดเวทีต้อนรับบริเวณลานโพธิ์วัดพระมหาธาตุมหาวิหาร โดยจะมีการขึ้นป้ายข้อความต้อนรับ ”ตูน” ไปทั่วเมืองนครศรีธรรมราช

สำหรับคุณจิมมี่ ชวาลา เศรษฐีใจบุญชาวนครศรีธรรมราช ที่ได้มีการนำตั๋วแลกเงิน จำนวน 16 ล้านบาทถ้วน มามอบผ่านทางตนแล้วนั้น ซึ่งในวันที่ 12 พ.ย. ตัวคุณจิมมี่ก็จะเดินทางมามอบตั๋วแลกเงินจำนวน 16ล้านบาท ด้วยมือของคุณจิมมี่เอง เพื่อมอบให้คุณตูนบนเวทีอีกด้วย เพื่อเป็นตัวแทนของชาวจังหวัดนครศรีธรรมราชทั้งจังหวัด นอกจากนั้น จะเปิดโอกาสให้ชาวนครศรีธรรมราชร่วมกันบริจาคบนเวที จึงขอเชิญชวนชาวศรีธรรมราช และหน่วยงานต่างๆ ร่วมต้อนรับคณะ ”ตูน บอดี้สแลม” เมื่อวิ่งผ่านพื้นที่ใดก็ขอให้การต้อนรับกันอย่างอบอุ่น และร่วมบริจาคให้สมกับชื่อเสียงของชาวนครศรีธรรมราชในครั้งนี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเดียวกันบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล และข้าราชการลูกจ้างของ รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ได้ร่วมกันรับบริจาคเงินรวมกันในนาม ”รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช” เพื่อมอบให้”ตูน บอดี้สแลม” ในวันที่วิ่งผ่านหน้า รพ.มหาราชนครศรีธรรมราช ในวันที่ 12 พ.ย.นี้ เพื่อแสดงความมีน้ำใจในความเสียสละของ”ตูนบอดี้สแลม”ที่ทำเพื่อ 11 รพ.ทั่วประเทศ ขณะที่ยอดบริจาคล่าสุดพุ่งสูงกว่า 166 ล้านบาท แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงาน คืบหน้ากิจกรรมโครงการ ก้าวคนละก้าว เพื่อ 11 โรงพยาบาล ของนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ ตูน บอดี้สแลม นักร้องชื่อดัง ซึ่งกิจกรรมต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แล้วโดยในวันนี้ ตูนและทีมงาน ได้หยุดพัก ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง (ณิศา รีสอร์ท) ในท้องที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดสงขลา กับจังหวัดนครศรีธรรมราช ก่อนจะมีการเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้

ทั้งนี้ เมื่อคืนที่ผ่านมา ตูน และทีมงาน ได้วิ่งเข้าเขตพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ก่อนจะวิ่งย้อนกลับเข้ามาในพื้นที่อำเภอระโนด จังหวัดสงขลา อันเป็นการวิ่ง ในเซลที่ 5 ตามแผนการวิ่ง โดยมาสิ้นสุดที่ บริเวณร้านหน้าฟาร์ม อ.ระโนด จ.สงขลา ก่อนเดินทางเข้าที่พัก

ตลอด 9 วันที่ผ่านมา ตูนได้วิ่งตามเส้นทางที่กำหนดไว้ แต่มีความล่าช้า เนื่องจากการต้อนรับของประชาชนที่มีตลอดเส้นทาง และร่างกายที่อ้อนล่า สำหรับบรรยากาศในที่พักวันนี้ คณะของตูนไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปในที่พัก ทีมงานของตูน เผยว่า"ตูน บอดี้แสลม"ได้ทำกายภาพ ให้แพทย์ตรวจร่างกาย ก่อนเข้าพักผ่อนส่วนตัว ทั้งนี้ ทีมแพทย์ ระบุว่า ร่างกายของตูน มีความพร้อมในการวิ่งต่อในวันพรุ่งนี้ โดยในการตรวจร่างกาย กายทำกายภาพ ทีมงานของตูนได้ขอความร่วมมือสื่อและประชาชน ให้งดการถ่ายภาพนักร้องดัง

สำหรับเส้นทางการวิ่งในวันพรุ่งนี้ 11 พ.ย.60 มีกำหมดวิ่งออกเป็น 5 ช่วง เริ่มจาก ร้านค้าหน้าฟาร์มอ.ระโนด -ปตท.หัวไทร อ.หัวไทร

ช่วงที่2 จาก ปตท.หัวไทร-ศูนย์ราชการหัวไทร ช่วงที่3 ศูนย์ราชการอำเภอหัวไทร – ร้านน้องโอปากคลอง

ช่วงที่4 ร้านน้องโอปากคลอง-กรีนปาร์ค และช่วงที่ 5 กรีนปาร์ค-ที่พักริมทาง วัดสระไคร ทั้งนี้ จะมีกิจกรรมการบริจาค ที่ รร.วัดสระเพลง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จ.นครศรีธรรมราช สำหรับเวลาจะมีการประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดอีกครั้ง

ทั้งนี้ กำหนดการวิ่ง มีความล่าช้า จากแผนการวิ่งเดิม ซึ่งกำหนดวิ่งถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร อ.เมืองนครศรีธรรมราช ในวันพรุ่งนี้ ช่วงค่ำ แต่กำหนดมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม โดยการมอบเงินให้แก่ ตูน ของนายจิมมี่ ชวาลา นักธุรกิจชื่อดังใน จ.นครศรีธรรมราช จำนวน 16 ล้านบาท จะมีการมอบหลังจากที่ตูนวิ่งมาถึง วัดพระมหาธาตุ วรมหาวิหาร


“ประยุทธ์” ชวนปชช.ตอบ 6 คำถาม แนะพรรคการเมืองปฏิรูปตัวเอง

เมื่อเวลา 20.15 น. วันที่ 10 พฤศจิกายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวผ่านรายการศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ตอนหนึ่งว่า ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านประเทศ มีการปฏิรูปมากมายที่กำลังดำเนินการอยู่ และจะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง มิฉะนั้นแล้วจะได้เฉพาะพื้นฐาน เพราะพื้นฐานจะทำให้เกิดการปฏิรูปในเชิงที่เป็นกิจกรรมขนาดใหญ่ ต้องดำเนินการให้เป็นขั้นเป็นตอนมีระเบียบแบบแผน มีกรอบยุทธศาสตร์ชาติของเรา เพื่อจะมุ่งไปสู่วิสัยทัศน์ของประเทศ คือ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน โบราณท่านกล่าวไว้แล้วว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น สำหรับอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือคำถามอีก 6 ข้อ ที่ขึ้นตามหน้าจอจะเป็นคำถามต่อเนื่องของตน เนื่องจาก 4 ข้อเดิม ที่ได้สอบถามพี่น้องประชาชนไปแล้ว จะรวมเป็น 10 ข้อ ทุกคนสามารถไปให้คำตอบได้ แสดงความคิดเห็นได้ หรืออาจเขียนข้อเสนอแนะเพิ่มเติมความคิดเห็นได้อย่างเป็นอิสระและเปิดกว้าง อยากให้ช่วยกันคิด ช่วยกันแสดงออกมาตามช่องทางนี้ได้

“สำหรับผู้ที่เคยตอบ 4 คำถามแรกมาแล้วสามารถจะตอบใหม่ได้ทั้ง 10 ข้อ เรื่องนี้นายกฯหัวหน้าคสช.ไม่ได้มีเจตนาทางด้านการเมืองหรือจะไปสร้างความขัดแย้งกับบรรดานักการเมือง พรรคการเมืองที่ดีๆ ทำเพื่อชาติบ้านเมือง มีมากมาย เราก็สมควรสนับสนุน ผมเพียงแต่สร้างความเข้าใจ สร้างหลักคิดให้กับพี่น้องประชาชนกับกลุ่มทุกฝ่ายทุกหมู่เหล่า ที่ท่านกล่าวว่าประชาชนย่อมมีสิทธิ์มีเสียงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบการเมืองไทยนั้นคืออะไร นักการเมือง พรรคการเมืองที่ดี คงต้องเห็นชอบด้วยกันในเรื่องนี้ เพราะทุกคน หลายท่านก็ตั้งใจในการที่จะทำให้บ้านเมืองพัฒนาไปข้างหน้า”นายกฯ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า วันนี้ต้องกลับมาสู่ปกติให้ได้ ทั้งนี้จะต้องทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกับพี่น้องประชาชน ทำผิดก็ทำใหม่ได้ หรือทำไม่ดีก็ทำให้ดีขึ้นได้ในโอกาสหน้า อยากให้ประชาชนทั้งประเทศมีความหวัง สมหวัง มองอนาคต แล้วเดินหน้าไปสู่อนาคตของเรา คือประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืน คงจะต้องมุ่งเน้นนโยบายที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติและทำงานร่วมกับนโยบายของพรรคการเมือง ถ้าทุกพรรคการเมืองเดินหน้ายุทธศาสตร์ชาติร่วมกับนโยบายของพรรค ทำในสิ่งที่ควรจะเป็นจะเกิดการปฏิรูปประเทศ ตามที่ทุกคนต้องการในทุกมิติ

“พรรคการเมือง นักการเมืองกับรัฐบาลและคสช.เวลานี้ ควรจะต้องคำนึงถึงคนไทยทั้งประเทศเกือบ 70 ล้านคน ไม่ใช่การหว่านลงไปทั้งหมดก็จะเป็นการบริหารราชการแผ่นดินที่ไม่เป็นธรรมภิบาล ไม่ทั่วถึง ไม่เท่าเทียม ไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้นบรรดานักการเมือง พรรคการเมือง ทุกท่าน ผมไม่ใช่เป็นศัตรูของใคร ผมต้องการทำให้ทุกอย่างมันเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีอนาคต ไม่เกิดความขัดแย้งขึ้นอีก ผมคาดหวังว่า หลายคน หลายท่าน หลายพรรค จะมีการเปลี่ยนแปลง การปรับตัวของทุกท่าน ทุกพรรค หวังว่าจะมีการปฏิรูปตัวเอง ลองฟังที่ผมพูดดูแล้วให้ลองคิดดูว่าผมมีเจตนาอะไร ผมไม่อาจจะไปทะเลาะกับใครได้ ผมจำเป็นต้องสร้างความปรองดอง ความปรองดองคือด้านการเมืองด้วย ทุกคนต้องปฏิรูปตัวเอง ปฏิรูปพรรค เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมาก่อนเสมอ ถ้าทำดีได้อย่างนี้ก็จะอยู่ครบวาระ ไม่ต้องไปเตรียมการเพื่อจะเลือกตั้งใหม่ตลอดเวลา”นายกฯ กล่าว


พระราชทานพระราชานุญาต ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ 'ดิสธร วัชโรทัย'

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พระราชโองการ ประกาศ เรื่อง พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นายดิสธร วัชโรทัย

เรื่อง พระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์

มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระราชานุญาตให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ซึ่ง นายดิสธร วัชโรทัย ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายพลเรือน ตําแหน่งประจําสํานักพระราชวังพิเศษ ระดับ ๑๐ สังกัดราชการบริหารส่วนกลาง สํานักพระราชวัง ได้รับพระราชทาน เนื่องจากถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ ตามคําสั่งสํานักพระราชวัง ที่ ๕๖๘/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เพราะเหตุกระทําผิดวินัย ฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง

โดยมีกรณีความผิดกล่าวคือ นายดิสธร วัชโรทัย ซึ่งได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ อีกหน้าที่หนึ่ง ได้ใช้อํานาจของตนสั่งการให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แสดงเอกสารรับรองว่าบุคคลภายนอกได้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ เป็นจํานวนเงินยี่สิบห้าล้านบาท ซึ่งเงินจํานวนดังกล่าวเป็นส่วนลดในการซื้อสินค้าตามปกติ โดยไม่ได้มีการบริจาคเงินจํานวนดังกล่าวจริงแต่อย่างใด และ นายดิสธร วัชโรทัย ได้นําเอกสารรับรองการบริจาคดังกล่าวเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นทุติยดิเรกคุณาภรณ์ ให้แก่บุคคลภายนอก อันเป็นการฉ้อโกงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และ นายดิสธร วัชโรทัย ในฐานะรองเลขาธิการพระราชวัง ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมดูแลกองพระราชพาหนะ ได้นํารถยนต์ในพระปรมาภิไธยไปใช้จนเกิดอุบัติเหตุ และแอบอ้างพระปรมาภิไธย เพื่อยกเว้นภาษีการนําเข้ารถยนต์จากต่างประเทศแล้วนํารถยนต์ที่นําเข้าจากต่างประเทศไปใช้ทดแทนรถยนต์คันเดิมที่ประสบอุบัติเหตุ โดยไม่ปรากฏหลักฐาน การน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถยนต์คันใหม่ และไม่มีหลักฐาน การขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์คันเดิมแต่อย่างใด

นอกจากนี้ นายดิสธร วัชโรทัยได้มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับหญิงอื่นที่มิใช่ภรรยาของตนเอง เมื่อหญิงตั้งครรภ์กลับพาหญิงคนดังกล่าวไปทําแท้ง นอกจากนั้นเมื่อหญิงคนดังกล่าวตั้งครรภ์เป็นครั้งที่สอง นายดิสธร วัชโรทัย ก็ยังบังคับข่มขืนใจเพื่อให้ไปทําแท้งอีกครั้ง แต่หญิงคนดังกล่าวไม่ยินยอม นายดิสธร วัชโรทัย จึงบังคับหญิงคนดังกล่าวให้แต่งงานกับชายอื่น ซึ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์กัน

อีกทั้ง นายดิสธร วัชโรทัย ได้นําดินที่ขุดทิ้งจากพื้นที่โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ ซึ่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ ขอรับบริจาคจากสภาผู้แทนราษฎรเพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในกิจการของมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ แต่ นายดิสธร วัชโรทัย กลับนําดินดังกล่าวไปขายให้แก่โครงการหมู่บ้านจัดสรรและยังนําดินส่วนหนึ่งไปถมในพื้นที่ของครอบครัวตนเอง ซึ่งมิได้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ขอรับบริจาค พฤติกรรมดังกล่าวของ นายดิสธร วัชโรทัย เป็นการกระทําผิดราชสวัสดิ์และเป็นความผิดวินัยฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงเห็นสมควรได้รับโทษไล่ออกจากราชการ ซึ่งสํานักพระราชวังพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทําของ นายดิสธร วัชโรทัย เป็นความผิดวินัยฐานกระทําการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง จึงเห็นควรลงโทษไล่ออกจากราชการ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๕ และมาตรา ๑๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. ๒๕๖๐ จึงลงโทษไล่ นายดิสธร วัชโรทัย ออกจากราชการ และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๐

ซึ่งมีเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ต้องเรียกคืนตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประกอบด้วย ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก มหาวชิรมงกุฎ ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย ปฐมดิเรกคุณาภรณ์ ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก ทวีติยาภรณ์มงกุฎไทย ทุติยจุลจอมเกล้า ตติยจุลจอมเกล้าวิเศษ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย เหรียญเงินดิเรกคุณาภรณ์ เหรียญจักรพรรดิมาลา และเหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ ๙ ชั้นที่ ๕.


หิ้ว IPHONE X เข้าเมืองไทย เสียภาษีก่อนไม่งั้นปรับอ่วม

หอบหิ้วIPHONE X จากอเมริกากลับเมืองไทย ต้องชาระค่าภาษีที่ศุลกากรก่อนออกไปจากสนามบิน เพราะมีราคาเกิน 20,000 บาท ถ้าเดินออกช่องเขียวแล้วจับได้ โดนปรับ 4 เท่ายึดโทรศัพท์ด้วย

ช่วงนี้คนไทยในอเมริกานิยมซื้อโทรศัพท์ IPHONE X กลับไปฝากคนทางเมืองไทย ซึ่งเจ้าหน้าที่แผนกศุลกากรที่สนามบินสามารถจับกุมผู้ลักลอบนำเข้าเมืองไทยโดยไม่เสียภาษีวันละกว่า 10 ราย จึงได้ออกประกาศเตือนให้ผู้เดินทางจากต่างประเทศให้ทราบว่า การนำสิ่งของที่มีมูลค่าเกิน 20,000 บาทนั้น จะต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ราคา IPHONE X 38,000 บาท ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 2,660 บาท

หากผู้นำ IPHONE X จากต่างประเทศเข้าไปแล้วไม่เดินเข้าช่องแดง หากเข้าช่องเขียวจะถือว่าเข้าข่ายเลี่ยงภาษี มีโทษปรับ 4 เท่าของราคาโทรศัพท์ พร้อมทั้งยึดโทรศัพท์เป็นของกลางด้วย เช่นโทรศัพท์ราคา 38,000 บาท บวกภาษีมูลเพิ่ม 2,660 บาท รวมเป็นราคา 40,660 บาท โดนปรับ 4 เท่าเป็นเงิน 162,640 บาท และยังมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี แต่โทษจำคุกสามารถผ่อนผันกันได้

วิธีเลี่ยงปัญหาในการนำ IPHONE X เข้าเมืองไทยก็คือ ทำให้ดูว่าเป็นของใช้ส่วนตัว เช่นมีการเมมเบอร์ และโหลดแอป มีการโทรเข้าโทรออก เท่านี้ท่านก็จะรอดพ้นจากความผิดต่างๆ แต่ถ้าเป็นของใหม่เอี่ยมยังไม่เคยใช้เลย ขอแนะนำให้ไปเสียภาษี 2,660 บาทแล้วผ่านตลอด

สลดเศรษฐีอังกฤษฆ่ารัดคอ ลูกสาว วัย 7 ขวบ ลูกครึ่งไทย

เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เดลีเมล์ รายงานการคดีอาชญกรรมสะเทือนขวัญที่พ่อฆ่าลูกสาวอายุ 7 ขวบในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ว่า ศาลอาญากลางเปิดไต่สวนจำเลยและยกเลิกระเบียบห้ามรายงานข่าวทำให้สื่อมวลชนเปิดเผยรูปเหยื่อและครอบครัวได้เป็นครั้งแรก

เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเวลาสองโมงเช้าของวันศุกร์ที่ 3 พ.ย.ที่บ้านหรูมูลค่า 1 ล้านปอนด์ หรือราว 43 ล้านบาทของครอบครัวนี้ ที่เรย์นส์พาร์ก ย่านวิมเบิลดัน ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน ขณะที่แม่ของเด็กซึ่งเป็นชาวไทย ชื่อ กิตติยา พรหมศาสตร์ ไม่อยู่ที่บ้าน

นายโรเบิร์ต ปีเตอรส์ อายุ 55 ปี เศรษฐีเจ้าของธุรกิจซื้อขายโบราณวัตถุ ใช้เชือกของเสื้อคลุม รัดคอด.ญ.โซเฟีย ลูกสาวอายุ 7 ขวบจนเด็กแน่นิ่ง จากนั้นโทร.แจ้งตำรวจอังกฤษด้วยตนเอง ขณะที่ตำรวจพร้อมด้วยหน่วยปฐมพยาบาลรุดมานำเด็กไปโรงพยาบาลเซนต์จอร์จ แต่เด็กอาการหนักมากและเสียชีวิตในวันที่ 4 พ.ย. ตำรวจจับกุมนายปีเตอรส์ และตั้งข้อหาฆาตกรรม

อัยการ ดีนนา เฮียร์ ระบุคำฟ้องว่า จำเลยเตรียมการสังหารด้วยการใช้เชือกจากเสื้อคลุม ซึ่งปรากฏผูกรัดอยู่ที่คอด.ญ.โซเฟีย”

สาวน้อยผู้เคราะห์ร้าย

รายงานระบุว่า นางกิตติยาเขียนไว้อาลัยลูกสาวในเพจเฟซบุ๊กว่า “แม่รักหนูมาก และจะรักหนูตลอดไปดวงใจของแม่” ส่วนเพื่อนคนหนึ่งเข้ามาเขียนว่า “นางฟ้าน้อย ใครจะลืมหนูได้”

สำหรับนายปีเตอรส์มีทรัพย์สินราว 1.3 ล้านปอนด์ หรือ 56 ล้านบาท เคยแต่งงานมาแล้ว 3 ครั้ง ทำธุรกิจค้าขายโบราณวัตถุ หรือแอนทีก กับพี่น้องฝาแฝดชื่อ ริชาร์ด ในย่านเคนซิงตัน

ส่วนสาเหตุที่นายปีเตอรส์ลงมือกับลูกนั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่เปิดเผยและต้องรอการไต่สวนของศาล