ข่าว
เปิดใจผู้สร้างอนิเมชั่น‘2475 Dawn of Revolution’ ย้ำจุดยืนอยากให้เข้าใจความเสียสละของ‘รัชกาลที่7’

วันที่ 21 มีนาคม 2567 นายวิวัธน์ จิโรจน์กุล ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนอนิเมชั่น 2475 Dawn of Revolution กล่าวในรายการ “แนวหน้า Talk” ทางช่องยูทูบ “แนวหน้าออนไลน์” กรณีที่มีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่าอนิเมชั่นเรื่องนี้สร้างขึ้นแบบไม่ยึดโยงกับประวัติศาสตร์บ้าง หรือเลือกนำเสนอประวัติศาสตร์เพียงบางมุมบ้าง ซึ่งบางคนอาจวิพากษ์วิจารณ์ไปโดยยังไม่ได้รับชมเสียด้วยซ้ำไป ว่า ก่อนอื่นอยากให้ไปชมกันก่อน แล้วนำเนื้อหานั้นไปสืบค้นดูว่ามีบันทึกไว้ที่ใดบ้าง เพราะมีการอ้างอิงบันทึกหรือชื่อหนังสือรวมถึงชื่อผุ้เขียน ในการนำมาใช้เป็นข้อมูลสร้างอนิเมชั่นเรื่องนี้

ส่วนกรณีที่ นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2567 ระบุว่า “อาจารย์ปรีดียังคงเป็นเป้าหมายทางการเมืองของฝ่ายต่อต้านขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คณะราษฎรไปอีกนาน หน้าที่ของสถาบันปรีดีฯ มูลนิธิปรีดีฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องนำความจริงทางประวัติศาสตร์ มาเผยแพร่ อย่างอดทน โดยเชื่ิอว่า สุดท้าย ธรรมย่อมชนะอธรรม”

พร้อมกับโพสต์ข้อความที่อ้างว่าเป็นคำชี้แจงจาก น.ส.สุดา พนมยงค์ และนางดุษฎี พนมยงค์ บุญทัศนกุล ทายาทหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ ว่า “ข้อคิดเห็นบางประการเรื่องที่ฝ่ายอธรรมกําลังปลุกกระแส โดยสร้างและเผยแพร่ภาพยนตร์ 2475 อยู่ในขณะนี้ 1.การโต้ตอบโดยตรง อาจไม่เป็นผลดีต่อสถาบันปรีดีฯ ทําให้เข้าทางฝ่ายตรงข้าม ที่หวังสร้างข้อมูลเท็จ บิดเบือนประวัติศาสตร์ ยั่วยุเพื่อให้เกิดกระแสด้านลบต่อฝ่ายธรรมะ

2.สถาบันปรีดีฯ เผยแพร่ความรู้ และข้อเท็จจริงในประเด็นที่เกี่ยวข้อง เพื่อผู้ที่สนใจจะสามารถสืบค้น เข้าถึงได้สะดวกขึ้น 3.เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว เคยมีการสร้างสื่อในลักษณะใส่ร้ายและโจมตีการอภิวัฒน์ 2475 แต่ไม่ได้รับความสนใจจากสังคม จึงไม่ประสบความสําเร็จในการปลุกกระแสดังกล่าว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การต่อสู้ระหว่างฝ่ายธรรมะ กับฝ่ายอธรรมยังคงดำเนินต่อไปในสังคมอีกยาวนาน ขอบคุณกรรมการทุกท่านที่ได้ช่วยกันพิจารณาวิถีทางรับมือกับกระแสดังกล่าว และขอเป็นกําลังใจให้ทุกท่านยืนหยัดอยู่กับความถูกต้องเสมอไป” นั้น

เรื่องดังกล่าว ตนมองว่า นายพิภพจำเป็นต้องชี้แจงว่าข้อความนั้นมาจากไหน เพราะไม่ได้เป็นจดหมายที่ออกมาอย่างเป็นทางการ จึงยังไม่ปักใจเชื่อว่าเป็นจริงหรือไม่จริง ดังนั้นตนก็จะไม่ไปโจมตีใคร ส่วนที่มองว่าตนสร้างอนิเมชั่นเรื่องนี้เพราะต้องการปลุกเร้า เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ เพราะที่ทำคือต้องการให้คนไทยเข้าใจรัชกาลที่ 7 ตามความเป็นจริง เพราะตนก็อ่านประวัติศาสตร์มาแล้วก็เคยเจอความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ วิพากษ์วิจารณ์พระองค์ท่านอย่างไม่ถูกต้อง ตนแค่อยากชี้แจงให้เห็นว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเสียสละเพียงใด

“เราเห็นประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าประวัติศาสตร์ปัจจุบันไม่ค่อยให้ความเป็นธรรมกับรัชกาลที่ 7 เท่าไร คือเราอ่านประวัติศาสตร์ เราเห็นว่าท่านถูกกระทำต่าองๆ มากมาย ด้วยความที่กระแสของประวัติศาสตร์ที่เขาเขียนกันขึ้นมาในยุคหลังๆ มักจะเน้นไปในทางโจมตีทำให้การเสียสละของพระองค์ด้อยค่าลง เราแค่รู้สึกว่าเราอยากคืนความเป็นธรรมให้พระองค์ อยากให้คนไทยรู้ว่าท่านสู้เต็มที่แล้ว ท่านพยายามเต็มที่แล้วที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองมันราบรื่นที่สุด” นายวิวัธน์ กล่าว

นายวิวัธน์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงเริ่มเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดี พนมยงค์ ออกประกาศคณะราษฎร ผู้คนก็รู้สึกโกรธแค้นกันมาก ซึ่งอาจนำไปสู่ทั้งการก่อหวอดทำร้ายคณะราษฎร หรือก่อกบฏหรือปฏิวัติอะไรขึ้นมาอีก ในเวลานั้น รัชกาลที่ 7 ท่านก็ส่งจดหมายไปยังพระประยูรญาติ ขออย่าเคลื่อนไหวใดๆ จากนั้นเมื่อหลวงประดิษฐ์มนูธรรม รวมถึงพระยาพหลพลพยุหเสนา แกนนำคณะราษฎร มาขอพระราชทานอภัยโทษ รัชกาลที่ 7 ท่านก็เขียนจดหมายส่งไปเพิ่มเติมอีกฉบับว่าปรับความเข้าใจกันแล้ว

ซึ่งรัชกาลที่ 7 ได้ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันรักษาความสงบ ให้ประเทศไทย (หรือสยามในเวลานั้น) เดินไปได้ แม้กระทั่งช่วงที่มีการสู้รบระหว่างฝ่ายคณะราษฎรกับฝ่ายพระองค์เจ้าบวรเดช ท่านก็พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกฝ่ายมาเจรจากัน อย่าทะเลาะตีกันเพราะคนไทยไม่ควรมาฆ่ากันเอง ตนจึงมองว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเสียสละให้ทุกอย่างแล้ว แต่ประวัติศาสตร์แนวใหม่ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเหล่านี้

นวดไทยเป็นศาสตร์ที่ได้มาตรฐานตามกฎบังคับของ CAMTC

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2024 ที่เมือง Santa Cruz , CA ทาง California Massage Therapy Council (CAMTC) มีวาระ การประชุมเพื่อลงมติอนุมัติหลักสูตรนวดไทยที่เรียนมาจากประเทศไทยให้ได้รับการรับรองจากองค์กรนี้ซึ่งเป็นผู้ออกใบอนุญาตในการประกอบอาชีพนวดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ผลมติเป็นเอกฉันท์ยอมรับหลักสูตรนวดไทย โดยมีท่านกงสุลใหญ่ ต่อ ศรลัมพ์ และ กงสุลตู้ ร่วมกับนายกสมาคมนวดไทยฯ เจริญพร“จอย” แฮกเกอร์ และ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์คิด ฉัตรประภาชัย และ ทีมงานเข้าให้ข้อมูลให้กับคณะกรรมการจนเป็นที่ประจักษ์ว่าหลักสูตรนวดไทยได้มาตรฐานตาม กฎบังคับของ CAMTC.


สุดพีค!! แม่ลูกอ่อนเอาผ้าห่มผูกเปล ร้องกล่อมลูกกลางรถทัวร์'แม่สอด-กทม.'

ไม่รู้ว่ามีใครเคยเจอบ้างหรือเปล่า ? กับประสบการณ์บนรถโดยสารประจำทาง จากแม่สอดมากรุงเทพฯ ผู้โดยสารรายหนึ่งได้โพสต์เรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊ก Manus Traveller ระบุว่า

จากประสบการณ์ตรงมาเล่าสู่กันฟัง

นั่งรถโดยสารปรับอากาศ บขส ป.1 จากแม่สอด ไป กทม

ผู้โดยสาร 3 ใน 4 เป็นต่างด้าว

ระหว่างทาง แม่ลูกอ่อนต่างด้าว ลูกเกิดร้องไห้ไม่หยุด นางเลยเอาผ้าห่มที่รถแจกบนรถมาทำเป็นเปล แล้วเอาลูกน้อยใส่เปล แล้วไกวเปลไปมา

ยังไม่จบเพียงแค่นี้...

นางร้องเพลงกล่อมลูกด้วย

สรุปผมที่นั่งใกล้ๆก็ได้อานิสงค์ฟังเพลงกล่อมลูกไปด้วย ตลอดทาง

ยังไม่นับ คนต่างด้าวชอบคุยโทรศัพท์เสียงดังตลอดทาง โดยไม่เกรงใจผู้โดยสารร่วมทาง

***ถ่ายตอนรถจอดตรงจุดพักรถ สลกบาตร กำแพงเพชร

*** แม่สอด มีสนามบินนานาชาติแม่สอด แต่ผูกขาดด้วยสายการบินนกแอร์ บินไปกลับดอนเมืองเกือบหมื่นบาท...ไม่ไหว


เหล่าคนบันเทิงโพสต์ภาพ 'เมฆ วินัย ไกรบุตร' สุดอาลัย..พระเอกมากฝีมือ

21 มีนาคม 2567 การจากไปของนักแสดงชายมากฝีมือ "เมฆ วินัย ไกรบุตร" ไปอย่างสงบเมื่อเวลา เวลา 23.49 น. วันที่ 20 มี.ค.2567 ด้วยวัย 54 ปี ที่รักษาอาการโรคตุ่มน้ำพอง และจากภาวะความดันตก ติดเชื้อในกระแสเลือด กระทั่งหัวใจหยุดเต้น สร้างความโศกเศร้าไปยังครอบครัวและเพื่อนร่วมวงการบันเทิง

ขณะที่บนโลกออนไลน์ เหล่าคนในวงการบันเทิงต่างพร้อมใจโพสต์ภาพและข้อความสุดอาลัยถึงพระเอกมากฝีมือ อาทิ นก สินจัย , ป้าแจ๋ว ยุทธนา , ป๋อ ณัฐวุฒิ , ซี ศิวัฒน์ , บอย ภิษณุ , หนุ่ม กรรชัย , สุรวุฑ ไหมกัน , หมู พิมพ์ผกา ฯลฯ


จนท.บุกตรวจชายหาดแหลมฉบัง พบนายทุนรุกล้ำคาตา ติดประกาศสั่งรื้อถอน

เมื่อเวลา 15.00 น.วันนี้ (21มี.ค.67) เจ้าหน้าที่กองนิติกรท่าเรือแหลมฉบัง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แหลมฉบัง ลงพื้นที่ที่มีการปลูกสิ่งก่อสร้างรุกล้ำชายหาดบริเวณชายหาดบ้านแหลมฉบัง ม.3 ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชาจ.ชลบุรี นำโดย นายรุจพงษ์ พรหมประยูร นิติกร 6 ฝ่ายบริหารสัญญาและจัดการทรัพย์สินกองนิติการและจัดการทรัพย์สินท่าเรือแหลมฉบัง นายณัฐพล แสงศิริ ผู้ช่วยหัวหน้าแผนกกฎหมายกองนิติกรและจัดการทรัพย์สินท่าเรือแหลมฉบัง นายปิโย คงหิรัญ หัวหน้าฝ่ายบริหารสัญญาและจัดการทรัพย์สิน นายวิรัช กองทรัพย์ กรรมการสหภาพแรงงาน รัฐวิสาหกิจการท่าเรือแห่งประเทศไทย และจ่าโทพรชัย ชูสิทธิ์ หน.แผนกสวัสดิการปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัยกองบริหารงานท่าเรือแหลมฉบัง

ทั้งนี้ เพื่อตรวจสอบและนำหมายของท่าเรือแหลมฉบังมาปิดประกาศบริเวณสิ่งปลูกสร้าง หลังพบว่ามีนายทุน ทราบต่อมามีตำแหน่งเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และกรรมการชุมชนในพื้นที่แหลมฉบัง กำลังดำเนินการก่อสร้างบ้านจำนวน 3 หลังประกอบด้วยอาคารชั้นเดียวจำนวน 2 หลังและอาคาร 2 ชั้นจำนวน 1 หลังซึ่งปลูกติดทะเลตรงข้ามกับอู่ซ่อมเรือบริษัทยูนิไทยชิปยาร์ด และอยู่ในพื้นที่เวนคืนของการท่าเรือแหลมฉบัง

จากการสำรวจยังพบว่ามีการนำท่อซีเมนส์ขนาดใหญ่มาวางทับถมเป็นแนวในทะเลหน้าสิ่งก่อสร้างเพื่อทำเป็นเขื่อนกั้นคลื่นยาวกว่า 30 เมตร และด้านข้างยังมีการทำเป็นกำแพงปูนสูง 2 เมตรกันเป็นแนวเขต ส่วนพื้นที่ด้านข้างซึ่งเป็นทางเข้าออกจากเดิมจะชาวประมงเรือเล็กและชาวบ้านนำเรือมาขึ้นลงหรือลงไปจับสัตว์น้ำเวลาน้ำลง ก็มีการนำแผ่นปูนเศษวัสดุก่อสร้างมาปิดทับจนชาวบ้านไม่สามารถลงไปในชายหาดได้

โดยก่อนหน้านั้น ทางท่าเรือแหลมฉบังได้มีการนำป้ายประกาศมาติดใว้ในพื้นที่ที่มีการบุกรุกก่อสร้างทั้งฝั่งบกและทะเลให้ทำการรื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปภายใน 15 วันนับแต่วันประกาศ หากพ้นกำหนดท่าเรือจะทำการรื้อถอนออกจากพื้นที่เองและดำเนินคดีทางอาญาและเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมายต่อไป แต่ก็ยังตรวจพบว่าบางรายยังมีการดื้อแพ่งทำการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างอยู่

ทั้งนี้ ท่าเรือแหลมฉบัง มีนโยบายควบคุมจำนวนผู้อยู่อาศัยในพื้นที่เวนคืนไม่ให้มีการเพิ่มจำนวนประชากรรายใหม่ที่เข้ามาบุกรุกจากเดิมตามพระราชกำหนดเวนคืนอย่างเคร่งครัด ดังนั้นท่าเรือแหลมฉบังจึงต้องดำเนินการนำหมายมาปิดประกาศระงับการก่อสร้างและและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปภายในกำหนดเวลาที่ประกาศ หากพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวยังมีการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามถือว่ายินยอมให้ท่าเรือทำการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างโดยไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายแต่ประการใด ทั้งนี้ ท่าเรือขอสงวนสิทธิ์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ในบริเวณนี้ทันทีรวมถึงจะดำเนินคดีทางอาญาและเรียกร้องค่าเสียหายตามกฎหมายต่อไป


ฟินแลนด์ยังครองแชมป์ ประเทศมีความสุขที่สุดในโลก

สหประชาชาติ (รอยเตอร์ส) - ฟินแลนด์ครองแชมป์ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลกเป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน ในรายงาน World Happiness Report ล่าสุด ขณะที่อิสราเอลมีความสุขอันดับ 5 แม้ยังคงสู้รบกับกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา ส่วนไทยเราขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 58 ของโลก

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานดัชนีความสุขโลกของสหประชาชาติ ที่จัดอันดับประเทศมีความสุขที่สุดทั่วโลกประจำปี 2024 และเผยแพร่เมื่อวันที่ 20 มี.ค.

ซึ่งเป็นวันความสุขสากล โดยจากจำนวน 143 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ปรากฏว่าฟินแลนด์ยังคงรั้งตำแหน่งประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก ด้วยคะแนน 7.741 คะแนน เป็นการครองตำแหน่งนี้ยาวนานถึง 7 ปีซ้อนตามมาติดด้วยประเทศเดนมาร์ก ไอซ์แลนด์ และสวีเดน หรือทั้ง 4 ประเทศในกลุ่มนอร์ดิก ส่วนอันดับ 5 เป็นของอิสราเอล ขณะที่สหรัฐฯ กับเยอรมนี หลุดจาก 20 อันดับแรกประเทศมีความสุขที่สุดในโลก โดยปีนี้สหรัฐฯ ร่วงลงไปอยู่อันดับ 23 จากอันดับที่ 15เมื่อปีที่แล้ว ส่วนเยอรมนีหลุดจากท็อป 20 ลงมาอยู่ในอันดับที่ 24 ในปีนี้ ส่วนสหราชอาณาจักรยังติดท็อป 20 ในอันดับที่ 20 สำหรับ 2 ประเทศที่มาแทนที่สหรัฐฯ กับเยอรมนี ติดกลุ่มท็อป 20ครั้งแรก คือ คอสตาริกาและคูเวตในอันดับที่ 12 และ 13 ตามลำดับ

ส่วนไทย ขยับขึ้นจากอันดับที่ 60 เมื่อปีที่แล้ว มาอยู่อันดับที่ 58 ได้คะแนน 5.976 แต่หากแยกเป็นเฉพาะในเอเชีย ไทยอยู่ในอันดับ 7 ประเทศที่มีความสุขที่สุด ในทวีปเอเชีย

ส่วนประเทศที่มีอันดับรั้งท้ายนั้น คืออัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มีความสุขน้อยที่สุดในโลกด้วยคะแนน 1.721 คะแนน ตามมาด้วยเลบานอน และเลโซโทเฉพาะประเทศในเอเชียนั้น กลุ่มอันดับรั้งท้ายมีทั้ง เมียนมา กัมพูชา อินเดียศรีลังกา และบังกลาเทศ

สำหรับปัจจัยต่างๆ ที่นำมาพิจารณาว่าประเทศใดมีความสุขมากน้อยแค่ไหนก็ได้แก่ มูลค่าผลิตมวลรวมในประเทศ หรือจีดีพีต่อหัวประชากร การ กระจายความมั่งคั่ง ความเป็นรัฐสวัสดิการที่ให้การดูแลความมั่นคงทั้งทางจิตใจและการดูแลสุขภาพของประชาชนที่ช่วยให้ประชากรมีอายุขัยยืนยาวขึ้น

รายงานระบุด้วยว่า นอร์เวย์ สวีเดนเยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน เป็นกลุ่มประเทศที่ประชากรสูงวัยมีความสุขมากกว่าคนหนุ่มสาว ขณะที่โปรตุเกสและกรีซคนหนุ่มสาวจะมีความสุขมากกว่าผู้สูงวัย ส่วนในภูมิภาคอเมริกาเหนือพบว่าวัยรุ่นหนุ่มสาวอายุตั้งแต่ 15- 24 ปีมีความสุขลดน้อยลงมาก ตรงข้ามกับในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกที่คนกลุ่มวัยนี้มีความสุขมากขึ้นมากที่สุด ขณะที่ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ พบว่าผู้คนมีความสุขน้อยลง โดยกลุ่มวัยกลางคนจะมีความสุขน้อยกว่าหนุ่มสาวและผู้สูงวัย


‘หวัง อี้’ เยือนออสเตรเลีย หวังฟื้นสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

แคนเบอร์รา (รอยเตอร์ส/ซีซีทีวี) - หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน พบหารือกับ นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซีผู้นำออสเตรเลีย และเพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย ที่กรุงแคนเบอร์รา เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และเตรียมความพร้อมก่อนที่นายกรัฐมนตรีของจีน จะเดินทางเยือนออสเตรเลียในเร็วๆ นี้

นายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบาเนซีผู้นำออสเตรเลีย กล่าวภายหลังพบหารือกับ หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ที่กรุงแคนเบอร์รา วันที่ 20 มี.ค. ว่าออสเตรเลียและจีนจะทำงานร่วมกันเพื่อเตรียมการสำหรับการมาเยืนออสเตรเลียของนายกรัฐมนตรี หลี่ เฉียง ของจีน และทั้งสองประเทศจะเน้นถึงความสำคัญของการทูตแบบตัวต่อตัวเพื่อให้มีความเข้าใจกันและกันที่ดียิ่งขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะขยายการหารือเรื่องมหาสมุทรแปซิฟิก และความร่วมมือเรื่องสภาพภูมิอากาศและพลังงาน

ด้าน เพนนี หว่อง รัฐมนตรีต่างประเทศออสเตรเลีย กล่าวด้วยว่าเธอได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับการกระทำที่ไม่ปลอดภัยในทะเลของจีน และออสเตรเลียต้องการให้เกิดสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวันและในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะเดียวกัน ออสเตรเลียยังได้แสดงความกังวลถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน ทั้งในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ทิเบต และฮ่องกง

ส่วนเรื่องที่จีนตัดสินใจในเบื้องต้นที่จะยกเลิกมาตรการภาษีของไวน์จากออสเตรเลีย หว่องกล่าวว่า ออสเตรเลียอยากให้จีนยกเลิกการปิดกั้นเนื้อวัวและล็อบสเตอร์จากออสเตรเลียด้วย และออสเตรเลียกำลังพิจารณายกเลิกข้อจำกัดที่กำหนดใช้กับสินค้าจีน พร้อมกันนั้นเธอยังได้แสดงความกังวลเรื่องคดี หยาง เหิงจวิน นักเขียนชาวออสเตรเลียเชื้อสายจีน ที่ถูกทางการจับกุมในข้อหาเป็นสายลับและถูกตัดสินประหารชีวิตแต่รอลงอาญาขณะที่ในประเด็นเกี่ยวกับแพนด้า หว่องกล่าวว่า แพนด้า 2 ตัวที่จีนให้ออสเตรเลียยืมมาจัดแสดงตั้งแต่ปี 2009 และมีกำหนดจะต้องส่งคืนในปีนี้ น่าจะได้อยู่ในออสเตรเลียต่อไป โดยจะมีการขยายเวลาการจัดแสดงที่เมืองแอดิเลดเหมือนเดิม

การเดินทางเยือนออสเตรเลียของ หวัง อี้ เป็นการเยือนของรัฐมนตรีต่างประเทศจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปี เกิดขึ้นตามคำเชิญของรัฐบาลนายกรัฐมนตรีอัลบาเนซี ที่ได้ใช้นโยบายปรับความสัมพันธ์กับจีน หลังจากความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างออสเตรเลียและจีนมีความตึงเครียดอย่างรุนแรงตั้งแต่ปี 2018 เมื่อรัฐบาลชุดที่แล้วของออสเตรเลียห้ามบริษัท หัวเว่ย ของจีน จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่าย 5G ในประเทศ และยังตำหนิจีนเรื่องโควิด-19 เรียกร้องให้เปิดสืบสวนอย่างอิสระเกี่ยวกับต้นตอการแพร่ระบาด ขณะที่จีนก็ออกมาตรการจัดเก็บภาษีสินค้าของออสเตรเลียเป็นการตอบโต้

'ก้าวไกล'รุมสับงบฯกระทรวงยุติธรรม ซัดนักโทษทำผิดซ้ำสูงลิ่วกว่า 9 หมื่นราย

21 มี.ค.2567 เมื่อเวลา1 9.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่สอง เรียงตามรายมาตรา จำนวน 41 มาตรา ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้ว เป็นวันที่ 2 โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณามาตรา 21 งบประมาณกระทรวงยุติธรรม จำนวน 13,326 ล้านบาท ซึ่งกมธ.ขอปรับลดลง 107 ล้านบาท

โดยน.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม.พรรคก้าวไกล อภิปรายแผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ ในส่วนงบประมาณสำนักงานศาลยุติธรรม จำนวน 6,973 กว่าล้านบาท ซึ่งเกี่ยวกับการจัดสร้างบ้านพักผู้พิพากษาและรถประจำตำแหน่งของข้าราชการตุลาการ โดยในส่วนนี้เป็นค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งข้าราชการตุลาการ 41 ล้านบาทเศษ ซึ่งเป็นค่าเช่ารถระดับ D Segment ชั้นต้น 3 หมื่นบาทต่อเดือน รวมเป็น 3.6 แสนบาทต่อปี ซึ่งสามารถเช่าได้ 112 คัน แม้ว่าอาชีพตุลาการจะเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แต่ในความเห็นตนทุกอาชีพมีเกียรติเท่าเทียมกัน จึงตั้งคำถามว่าทำไมต้องจัดงบอุดหนุนในส่วนนี้เป็นการเฉพาะ

ด้านที่น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล อภิปรายถึงงบประมาณกรมราชทัณฑ์ปี 67 ไม่ตอบโจทย์การคืนคนดีสู่สังคมว่า มีงบประมาณในการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยผู้ต้องขังคืนสู่สังคมใน 2 โครงการ หลักสูตรแรกเป็นหลักสูตรทั่วไป ตั้งงบไว้ 12 ล้านบาทเศษ หลักสูตรที่สองปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ตั้งงบไว้ 13 ล้านบาทเศษ รวมเป็น 25 ล้านบาทเศษ แต่เมื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของทั้ง 2 หลักสูตร หลักสูตรแรกตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ 4-5 หมื่นคน พื้นที่ดำเนินการ 137 เรือนจำทั่วประเทศ ขณะที่หลักสูตรที่สองตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ 2,200 คน พื้นที่ดำเนินการ 11 แห่ง จะเห็นว่าหลักสูตรแรกใช้เงินน้อยกว่าแต่กลุ่มเป้าหมายมีจำนวนมากกว่า ขณะที่หลักสูตรที่สองใช้เงินมากกว่าแต่กลุ่มเป้าหมายน้อยกว่าหลายสิบเท่า ซึ่งหลักสูตรดังกล่าวใช้เงินมหาศาล แต่ไม่ได้ช่วยเตรียมความพร้อมของผู้ต้องและไม่สอดรับกับตลาดแรงงาน ไม่คำนึงถึงศักยภาพและความต้องการของผู้ต้องขัง ตนสงสัยว่าผู้ตั้งขังที่ถูกปล่อยตัวทุกคนต้องออกมาเป็นเกษตรกร และมีที่ดินที่ของตัวเองที่ในการทำเกษตรหลังพ้นโทษหรือไม่

น.ส.ชลธิชา กล่าวว่า การที่ผู้ต้องขังพ้นโทษออกไปแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพได้จริงก็สุ่มเสี่ยงที่จะทำความผิดซ้ำ จากสถิติของกรมราชทัณฑ์เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 66 รายงานว่าในจำนวนนักโทษ 216,138 ราย มีการทำผิดซ้ำ 94,323 คน คิดเป็น 44 % ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงมาก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากปีก่อนๆ หน้านี้เลย โดยมีผู้ตั้งขัง 10,827 คน หรือ 9% ทำผิดซ้ำภายปีเดียวกันนั้นเอง สะท้อนว่าโครงการของกรมราชทัณฑ์ไม่ตอบโจทย์ในเรื่องนี้

ขณะที่น.ส.วรรณิดา นพสิทธิ์ สส.ชลบุรี พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถึงการตั้งเป้าหมายจำนวนนักโทษสูงเกินจริงแต่งบประมาณไม่เคยเพียงพอต่อต้นทุนการบริหารงานของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งในปี 67 มีการประเมินจำนวนนักโทษอยู่ที่ 2.7 แสนคน แต่จำนวนนักโทษจริงอยู่ที่ 2.8 แสนคน ทุกรัฐบาลที่ผ่านตั้งเป้าหมายนักโทษสูง แต่งบไม่เคยเพียงพอ และไม่ควรให้เกิดปัญหาซ้ำซากเช่นนี้อีก ส่วนที่ควรเพิ่มกลับไม่ได้งบประมาณ เช่น ค่าอาหารที่ไม่เคยเพียงพอกับนักโทษ ขนาดค่าอาหารยังไม่พอ คุณค่าทางโภชนาการยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในขณะที่ค่าไฟกลับเพิ่มสูงขึ้น 421 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 75 ล้านบาท ทั้งที่ปีก่อนหน้าขึ้นมาแค่ 17 ล้านบาท ในขณะที่ค่าไฟฟ้าและค่าเอฟทีลดลง หากจะอ้างว่ามีนักโทษมากขึ้น จากข้อมูลของตนนักโทษเพิ่มขึ้นในอัตราที่ใกล้เคียงกันทุกปี เมื่อเทียบกับสาธารณูปโภคก็เพิ่มในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ในปี 67 สาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นเกือบ 150 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการจัดสรรงบประมาณด้านสาธารณูปโภคอย่างไม่เหมาะสม ตนจึงขอตัดงบประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ จึงไม่รู้ว่าจะมีเงินทอนในส่วนของกรมราชทัณฑ์ส่วนนี้หรือไม่

นายเอกราช อุดมอำนวย สส.กทม.พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีงบแผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพที่ตั้งงบไว้ 2,178,000 ล้านบาท ซึ่งในระหว่างนี้ได้มีการใช้งบปี 66 ไปพลางก่อนราว 448,600 บาท จึงเหลือยอดอีก 1,729,400 บาท จึงถามว่ากับห้วงเวลาที่เหลือของบปี 67 จะใช้งบประมาณจำนวนนี้ทันหรือไม่

ขณะที่นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ ในฐานะกมธ.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นชี้แจงถึงการปรับลดงบรวม 107 ล้านบาทว่า กมธ.พิจารณาโดยรอบคอบโดยเฉพาะในส่วนของกรมราชทัณฑ์เพื่อนสมาชิกท้วงติงว่าค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้น โดยเทียบกับงบปี 66 ที่เคยของบ 500 ล้านบาทเศษ แต่ปี 67 เพิ่มขึ้นเป็น 700 กว่าล้านบาท สะท้อนข้อเท็จจริงในต้นทุนที่สูงขึ้น จึงไม่ได้ปรับลดงบในส่วนนี้เลย

หลังจากอภิปรายครบถ้วนทุกคนแล้ว ที่ประชุมลงมติให้ความเห็นชอบมาตรา 21 ตามที่กมธ.เสียงข้างมากเสนอ ด้วยคะแนน 272 ต่อ 151 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน