ข่าว
"แม่มดดำ" สารภาพผิด ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี

"แม่มดดำ" ยอมรับสารภาพผิด กรณีให้สินบนเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองให้ออกบัตรกรีนคาร์ดให้คนไทย 43 คน ศาลตัดสินจำคุก 5 ปี ผู้ช่วยอัยการสูงสุดเผยถ้าสู้คดีแล้วแพ้อาจถูกจำคุกนานถึง 100 ปี

เมื่อวันจันทร์ที่ 13 พ.ค. 2556 ที่ศาลรัฐบาลกลาง ในเมือง Fort Pierce นางซาร่า ทิพย์ฝน อายุ 63 ปี รับสารภาพยอมรับผิด หลังจากมีการเจรจาระหว่างทนายความกับผู้ช่วยอัยการสูงสุดนาง Shaniek Maynard (Assistant US. Attorney) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินความผิดจากคณะลูกขุน ซึ่งมีโทษจำคุกถึง 100 ปี จากการเป็นนายหน้ารับทำใบเขียวกับคนไทย 43 คน ส่วนใหญ่มาอยู่ในอเมริกาอย่างผิดกฎหมาย วีซ่าหมดอายุ

เมื่อปี 2011 สายลับซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของ I.C.E. (Immigration Customs Enforcement) ทำตัวเป็นเจ้าหน้าที่ที่คอรัปชั่นรับสินบน พบกับนางซารา และอาสาจะจัดหาใบเขียว (จริง) จาก ส.น.ง. อิมมิเกรชั่นให้แก่ คนไทยที่หลงเชื่อโดยผ่านนางซารา ตกลงจ่ายรายละ $25,000 โดยไปกู้ยืมเงินจากเพื่อน ญาติ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ตกเป็นค่านายหน้าให้กับนางซาร่า ตามข้อมูลของผู้ช่วยอัยการสูงสุดที่ได้ยืนกับศาล นาง Shaniek กล่าวว่าเป็นคดีที่น่าสลดที่สุด โดยเฉพาะตัวเลขเงินในการดำเนินคดี นอกจากนี้คนไทยส่วนใหญ่ก็ถูกเนรเทศกลับประเทศไทยไปแล้ว และบางรายก็ยังต้องพลัดพรากพ่อแม่ลูกกันด้วย

นางซารายอมรับผิดในข้อหาที่ได้ให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ และข้อหามีส่วนร่วมในการฉ้อโกงการทำ จัดหาวีซ่าถาวร (ใบเขียว) นางซาร่าได้หาเหยื่อจากคนไทยในฟลอริด้า เวอร์จิเนีย โอไฮโอ และแคลิฟอร์เนีย การสืบสวนซึ่งใช้เวลากว่า 2 ปี สิ้นสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2012 ในระยะหลัง นางซาร่าบอกับสายลับว่าเธอมีโครงการที่จะนำคนไทยจากเมืองไทยเข้าประเทศสหรัฐโดยเสนอเงิน $60,000 ด้วย

ทนายความของนางซาร่า ทิพย์ฝน คือนาง Donnie Murrel ได้ร้องขอความกรุณาจากศาล ขอให้ลงโทษสถานเบาเพราะนางซาร่าไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน เธอต้องขายห้องอาหารในราคา $250,000 บ้านและรถก็ถูกยึดด้วย ทำงานมา 30 ปี ทำงานจากที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ในขณะที่ผู้ช่วยอัยการสูงสุดโต้กลับว่า นางซาร่าใช้ความเชื่อถือ มีผู้คนนับถือ ในการชวนให้คนมาทำผิดกฎหมาย ทำใบเขียวกันโดยไม่ต้องรอเข้าแถวตามปกติเหมือนกับคนเป็นล้านๆ คนที่ต้องรอคิว

ในช่วงหนึ่งนางซาร่าได้ใส่เงินสด 6 ซอง ให้กับสายลับถึง $90,000 เพื่อขอวีซ่าถาวรให้ ซึ่งสายลับได้พบกับนางซาร่าทั้งที่บ้านและที่ร้าน โดยมีการทำประวัติของคนที่จะทำแต่ละคน ถ่ายรูป พิมพ์ลายนิ้วมือ ในขณะที่ทนายความของนางซาร่าบอกว่า สายลับของรัฐบาลเข้ามาหาซาร่าเอง มิฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ก็จะไม่เกิด

‘พ.ต.ท.สมจิต’ มอบตัวแล้ว สังหารปลัดอบจ.ขอนแก่น

จากกรณีนายสุชาติ โคตรทุม ปลัด อบจ.ขอนแก่น ถูกพ.ต.ท.สมจิต แก้วพรม รอง ผกก.ป. สภ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น กับพวกยิงเสียชีวิตหน้าบ้านพัก ถ.กสิกรทุ่งสร้าง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจจับกุมด.ต.วีระศักดิ์ ชำนาญพล สังกัดสภ.หนองเรือ ได้เป็นรายแรกให้การสารภาพและซัดทอดทีมฆ่า ตำรวจจึงออกหมายจับพ.ต.ท.สมจิต และนายประพันธ์ ศรีพิลัย อายุ 41 ปี ลูกน้องที่ร่วมลงมือยิง โดยทั้งคู่หลบหนีออกจากพื้นที่ เบื้องต้นพบปมมาจากความแค้นส่วนตัวโดยให้น้ำหนักที่เรื่องชู้สาว โดยพ.ต.ท.สมจิตลงมือแทนคนอื่น ตามข่าวที่เสนอไปตามลำดับ

ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.ท.กวี สุภานันท์ ผบช.ภาค 4 เป็นประธานการประชุมชุดคลี่คลายคดีสังหารนายสุชาติ มี พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร พล.ต.ต.จตุพล ปานรักษา พล.ต.ต.สุรพล พินิจชอบ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะรองหัวหน้าชุดคลี่คลายคดีสังหาร ปลัด อบจ.ขอนแก่น และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และชุดสืบสวน มีญาติของผู้ตาย พร้อมด้วยข้าราชการ อบจ.ขอนแก่น ประมาณ 10 คน มาร่วมสังเกตการณ์

พล.ต.ท.กวี กล่าวว่า บช.ภาค 4 ตั้งชุดเฉพาะกิจสืบสวนสอบสวนไล่ล่าหาคนร้าย กดดันพ.ต.ท.สมจิต พร้อมกับพวกที่หลบหนีอยู่ให้มามอบตัวให้ได้ ขณะนี้ได้ทราบว่ากลุ่มของพ.ต.ท.สมจิตหลบซ่อนตัวอยู่ในภาคกลาง หรือกรุงเทพฯ ตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบคอยประกบหาข่าวอยู่ตลอดเวลา และประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล กองปราบปราม ไล่ล่า

“ส่วนประเด็นการสังหารขณะนี้บีบแคบลงเหลือเพียงประเด็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับองค์กรภายในและภายนอก หรืองบประมาณ แต่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีและตอบแทนบุญคุณกันอีกด้วย ส่วนจะมีข้อมูลการสอบสวนไปถึงผู้บงการหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ ต้องได้ตัวผู้ต้องหามาก่อน ตอนนี้ใช้เงินส่วนตัว 50,000 บาท ตั้งเป็นเงินรางวัลกับผู้แจ้งเบาะแส” ผบช.ภาค 4 กล่าว

รายงานข่าวแจ้งว่าพนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานทั้งกล้องวงจรปิด หลักฐานในที่เกิดเหตุ ผลพิสูจน์จากศูนย์พิสูจน์หลักฐานด้านวิทยาศาสตร์ และอีก 2-3 ชิ้น ที่เจ้าหน้าที่มีอยู่เป็นหลักฐานที่เอาผิดกับผู้ต้องหาในคดีนี้ได้ทุกคน ส่วนพ.ต.ท.สมจิต และด.ต.วีระศักดิ์ ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น และตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดทางวินัยด้วย

วันเดียวกันที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ผบก.สืบสวนนครบาล เปิดเผยว่าพบตัวพ.ต.ท.สมจิต แล้ว โดยติดต่อขอเข้ามอบตัว จากนั้นก็ขับรถมาที่บช.น.เข้ามอบตัวกับตน เนื่องจากเคยทำงานร่วมกันมาก่อน พ.ต.ท.สมจิต ไม่บอกสาเหตุการสังหารใช้สิทธิ์ขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น เบื้องต้นพบว่าหลังก่อเหตุหลบหนีไปหลายจังหวัดก่อนเข้ามากบดานในกรุงเทพฯ กระทั่งถูกกดดันหนักขึ้นจึงติดต่อมาเพื่อขอเข้ามอบตัว สั่งการให้ตำรวจคุมตัวผู้ต้องหาเดินทางส่งกลับไปที่สภ.เมืองขอนแก่น แล้ว

เวลา 18.20 น. ตำรวจุดสืบสวนบช.น.คุมตัวพ.ต.ท.สมจิตเดินทางมาถึงสภ.เมืองขอนแก่น ซึ่งมีญาติผู้ตายและเจ้าหน้าที่ อบจ.ขอนแก่น ประมาณ 20 คน ซึ่งทราบข่าวเดินทางมารอดูหน้า จากนั้นพล.ต.ท.กวี ,พ.ต.อ.ชัยพร พานิชอัตรา รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และพ.ต.อ.จรูญ นวมทอง ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น นำเข้าห้องสืบสวน แต่พ.ต.ท.สมจิตให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น

"ทักษิณ" ห่วงเงินทุนไหล “ฟองสบู่อสังหาฯ"น่าวิตก!

เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Thaksin Shinawatra ว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม ประเทศญี่ปุ่นประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ว่า จีดีพีโตถึง 3.5% นับเป็นการโตที่มากสำหรับญี่ปุ่น เพราะเศรษฐกิจแย่มานาน ค่อนข้างชัดว่าผลการเติบโตส่วนใหญ่ก็ได้มาจากนโยบายของนายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ที่ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงกว่า 20% รวมทั้งพิมพ์ธนบัตรออกใช้มากขึ้น ญี่ปุ่นทำได้เพราะธนาคารกลาง (แบงก์ชาติ) ของญี่ปุ่นขึ้นตรงกับรัฐบาล จึงสามารถทำยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม (Holistic Approach) โดยประธานนโยบายการเงิน (Monetary Policy) กับนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) ได้เป็นอย่างดี แต่แน่นอนครับญี่ปุ่นยังต้องมีอีกหลายมาตรการ เพื่อให้เศรษฐกิจภายในแข็งแกร่งกว่านี้

"ที่สำคัญโครงสร้างการบริหารประเทศของญี่ปุ่นเขาเป็นประชาธิปไตยจริงๆ เขาถือว่าประชาชนมีอำนาจสูงสุด เมื่อประชาชนเลือกใครเข้ามา ก็ให้โอกาสทำงานเต็มฝีมือ ถ้าทำไม่ดีประชาชนก็ไม่เลือกกลับมาอีก แต่ของเรายังเป็นประชาธิปไตยแบบแค่นๆ คือไม่เต็มใจให้เป็น จึงเกิดความหวาดระแวงตัวแทนอำนาจประชาชน โดยใช้วิธีแยกอำนาจออกเป็นส่วนๆ แทน จนคุยกันไม่ได้ วางยุทธศาสตร์ร่วมกันไม่ได้ ซึ่งผลเสียก็ตกกับประเทศชาติและประชาชน" พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า กรณีธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีกฎหมายของรัฐบาลช่วงรัฐประหารแยกตัวเองออกมา จนไม่ฟังรัฐบาล ซึ่งทำให้ดูน่าวิตก เพราะต่างคนต่างใช้นโยบายของตน มีความเชื่อของตน ตอนนี้เงินจากต่างประเทศไหลเข้าไทยอย่างมากจนน่าวิตก มูลค่าทางตลาด (Market Capitalization) ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รวมกันโตกว่าจีดีพีประเทศ จึงมีคำถามว่าเกิด Asset Pricing Bubble หรือไม่ แล้วเราจะมีมาตรการอะไรร่วมกันไหม ระหว่างกระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย ตนเป็นห่วง ถ้ามองแค่ปัจจุบันกับอนาคตสั้นๆ ภายในปีเดียว ก็ไม่ต้องคิดมาก แต่ถ้าคิดยาวคิดไปล่วงหน้า 2-3 ปี อันตราย

"สิ่งที่กังวลก็คือ เรามีคนดี คนมีความรู้และการศึกษาสูงมาก แต่เป็นพวกมี Knowledge แต่มี Wisdom ไม่พอ จะรู้ไม่เท่าทันโลกทุนนิยม ที่หนักกว่านั้นคือ พวก Wisdom ไม่พอดันขยันพูดอีกต่างหาก ประเทศไทยเราจีดีพีส่วนใหญ่มาจากการส่งออก ซึ่งมีทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร บาทแข็งขึ้น 1 บาท จีดีพีจะหายไปประมาณ 0.7% รัฐบาลจึงจำเป็นต้องใช้นโยบายอัดฉีดเงินลงสู่รากหญ้า และเพิ่มงบลงทุนของรัฐบาล เช่น โครงการ 2 ล้านล้านบาท ถ้านโยบายการคลังถูกใช้เยอะเกินไปก็อันตราย เพราะฉะนั้นนโยบายการเงินต้องช่วย ไม่ใช่เป็นภาระแบบนี้ ตอนผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 2537-2538 ผมก็เห็นสัญญาณไม่ดีหลายอย่าง เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นกรรมการทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งร่วมกับรัฐมนตรีพาณิชย์และรัฐมนตรีคลัง ผมได้เตือนธนาคารแห่งประเทศไทยกับกระทรวงการคลังทุกครั้งในที่ประชุม แต่ก็ได้รับการชี้แจงแก้ตัวตลอดเวลา จนมาถึงเศรษฐกิจพังตอนปี 2540 ผมเป็นคนชอบดูดัชนีต่างๆ และชอบตกใจล่วงหน้า" พ.ต.ท.ทักษิณระบุ