ข่าว
บทเรียนจากแดนภารตะ!เกษตรกรอินเดียฆ่าตัวตายปีละ 7 พันคน เหตุเป็นหนี้เพราะปลูกพืช GMO

19 พ.ย. 2561 โลกออนไลน์มีการแชร์คลิปข่าว “India's Cotton Farmer Suicides” จากเฟซบุ๊คแฟนเพจ “RTD Documentary Channel” ซึ่งเป็นช่องสารคดีในเครือสำนักข่าว RT (Russian Today) ของรัสเซีย เนื้อหาว่าด้วยเกษตรกรชาวอินเดียฆ่าตัวตายปีละ 7,000 คน จากปัญหาหนี้สินทางการเกษตร และการรุกเข้ามาของการเกษตรสมัยใหม่ที่เกษตรกรเสียเปรียบนายทุนอย่างรุนแรง

รายงานข่าวชิ้นนี้ระบุว่า เกษตรกรผู้ทำไร่ฝ้ายในอินเดียตัดสินใจดื่มสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเพื่อปลิดชีพตนเอง แม้จะเจ็บปวดทรมานเป็นเวลานานกว่าจะสิ้นใจก็ตาม ด้วยเหตุไม่อาจแบกรับหนี้สินที่ล้นพ้นตัวประกอบกับราคาฝ้ายที่ตกต่ำ อาทิ วิเจีย กุมารอัศวะ (Vigea Kumaraswa) หญิงหม้ายรายหนึ่ง เล่าว่า เธอได้เห็นสามีกำลังดื่มยาพิษนั้นต่อหน้าต่อตาและเสียชีวิตขณะนำตัวส่งโรงพยาบาล ส่วนชาวบ้านอีกรายเล่าว่า เมื่อเกษตรกรเห็นคนของธนาคาร ด้วยความกลัวถูกยึดทรัพย์สินจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย

อินเดียนั้นมีการปลูกฝ้ายโดยใช้เมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม (GMO) เป็นจำนวนมาก ทั้งที่ต้นทุนมีราคาแพงกว่าเมล็ดพันธุ์ปกติ เพราะต้องการน้ำ ปุ๋ยและสารเคมีกำจัดศัตรูพืชในปริมาณสูง โดย ประภาคาร เยลากนดา (Prabhakar Yelagonda) เกษตรกรรายหนึ่ง เปิดเผยว่า เขาต้องลงทุน 9 หมื่นรูปี หรือราว 45,000 บาท แต่กลับได้ผลตอบแทนกลับมาเพียง 2 หมื่นรูปี หรือราว 10,000 บาทเท่านั้น

รายงานข่าวกล่าวต่อไปว่า บริษัทอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่หลายแห่งมีอิทธิพลอย่างสูงในภาคเกษตรของอินเดีย นายทุนเหล่านี้ขายเมล็ดพันธุ์ GMO ให้เกษตรกรอินเดีย จนเมล็ดพันธุ์ปกติถูกทำให้หายไปจากตลาด โดย คิรันกุมาร วิสสา (Kirankumar Vissa) นักวิทยาศาสตร์การเกษตรของอินเดีย อธิบายว่า ทุนเกษตรยักษ์ใหญ่ได้จ่ายเงินให้ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เจ้าดังในอินเดีย เพื่อให้เขียนบทความและถ่ายภาพในเชิงโฆษณาชวนเชื่อ ทำให้เมล็ดพันธุ์ GMO ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ตัวเลขเกษตรกรที่ฆ่าตัวตายในอินเดียนั้นรัฐบาลแดนภารตะระบุว่าอยู่ที่ 7,000 คนต่อปี แต่องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) เชื่อว่ามีมากกว่านั้น อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ปี 2559 ที่มีการณรงค์ในอินเดียให้เกษตรกรหันมาฟื้นฟูการเพาะปลูกด้วยเมล็ดพันธุ์พื้นเมือง ทุนยักษ์ใหญ่ที่เคยครอบงำก็ค่อยๆ หายไป แต่ก็ต้องแลกมาด้วยค่าใช้จ่ายราว 75 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 พันล้านบาท ในการเปลี่ยนวิธีทำการเกษตรดังกล่าว

"เอรียา" ฟันโบนัส 1 ล้านเหรียญ พ่วงสกอร์ต่ำสุด "เล็กซี" ซิวแชมป์ปิดซีซัน

เล็กซี ธอมป์สัน ขวัญใจเจ้าถิ่น คว้าแชมป์ศึก แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการสุดท้าย "ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิป 2018" ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะที่ เอรียา จุฑานุกาล มือ 1 ของโลก จบฤดูกาล 2018 ด้วยอันดับ 1 เงินรางวัลสูงสุดครั้งที่ 2 รอบ 3 ปี

ศึกกอล์ฟ แอลพีจีเอ ทัวร์ รายการสุดท้าย "ซีเอ็มอี กรุ๊ป ทัวร์ แชมเปียนชิป 2018" ณ สนาม ทิบูรอน กอล์ฟ คลับ เมืองเนเปิลส์ มลรัฐฟลอริดา ระยะ 6,556 หลา พาร์ 72 ชิงเงินรางวัลรวม 2.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 82 ล้านบาท) วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน เป็นการประชันวงสวิง รอบสุดท้าย

ปรากฏว่า เล็กซี ธอมป์สัน ก้านเหล็กมือ 8 ของโลก หวดเพิ่ม 2 อันเดอร์พาร์ 70 จาก 4 เบอร์ดี เสีย 2 โบกี รวม 18 อันเดอร์พาร์ 270 ทิ้งห่างอันดับ 2 เนลลี คอร์ดา เพื่อนร่วมชาติ 4 สโตรก ยืดสถิติหยิบโทรฟีระดับ แอลพีจีเอ ทัวร์ อย่างน้อย 1 รายการ 6 ซีซันติดต่อกัน

ด้าน "โปรเม" เอรียา จุฑานุกาล ความหวังสูงสุดของ ไทย ระเบิดฟอร์มวันสุดท้าย สะสม 8 เบอร์ดี เสีย 2 โบกี จบวันด้วย 6 อันเดอร์พาร์ 66 รวม 4 วัน 12 อันเดอร์พาร์ 276 เข้าป้ายอันดับ 5 ร่วมกับ ลิเดีย โค , มารินา อเล็กซ์ และ คาร์โลตา ซิกานดา

ทำให้ แชมป์เมเจอร์ 2 สมัยชาวไทย ซึ่งการันตีผู้เล่นแห่งปี เรียบร้อยแล้ว ฟันโบนัส 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 33 ล้านบาท) รวมถึงรางวัล "แวร์ โทรฟี" สำหรับสถิติสกอร์เฉลี่ยต่ำสุด 69.415 ตลอดปี 2018 เฉือน ลี มินจี จาก ออสเตรเลีย ที่ทำไป 69.747

เอรียา วัย 22 ปี กล่าว "วันนี้มันวิเศษมาก ฉันภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน บอกตามตรง หลังจบปี 2016 ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ฉันรู้สึกราวกับประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายแล้วตลอดชีวิต ดังนั้นจึงไม่คิดว่าจะทำได้มากกว่านั้น ปีนี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อจริงๆ"

สรุปผลงานโปรสาวไทยคนอื่นๆ ปัณณรัตน์ ธนพลบุญรัศมิ์ แผ่ววันสุดท้าย เก็บ 1 เบอร์ดี เสีย 5 โบกี 1 ดับเบิลโบกี รวมอีเวนพาร์ 288 เท่ากับ พรอนงค์ เพชรล้ำ จบที่ 30 ร่วม , ธิฎาภา สุวัณณะปุระ 3 โอเวอร์พาร์ 291 จบที่ 48 ร่วม , วิชาณี มีชัย 4 โอเวอร์พาร์ 292 จบที่ 55 ร่วม และ โมรียา จุฑานุกาล 5 โอเวอร์พาร์ 293 จบที่ 58 ร่วม


“อัจฉริยะ” จำลองข่มขืนบนขาหยั่ง ยังมีข้อสงสัยทั้งสองฝ่าย

(19 พ.ย.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวถึงกรณีสูตินรีแพทย์ จ.นครสวรรค์ ถูกร้องเรียนเรื่องข่มขืนขณะตรวจภายในในคลินิกว่า เรื่องนี้ยังมีข้อสงสัยหลายเรื่อง ทั้งฝั่งของผู้เสียหายและทางสูติแพทย์ที่ถูกร้อง โดยขอตั้งข้อสังเกตว่าในวันที่เกิดเหตุผู้ป่วยไปรับการตรวจภายในพร้อมกับแฟน เหตุใดจึงไม่ร้องขอความช่วยเหลือ หรือออกมาแล้วทำไมไม่ไปแจ้งความ รวมถึงเรื่องเกี่ยวกับการเรียกรับเงิน 3 แสนบาทด้วย ต้องดูว่าเป็นเรื่องของการสมยอมหรือไม่ ส่วนตัวของสูติแพทย์สงสัยเรื่องของเวลาในการตรวจด้วย

นายอัจฉริยะกล่าวว่า ทั้งนี้ วันที่ 20 พ.ย. ตนพร้อมด้วยอีกหลายหน่วยงานจะเดินทางไปยัง สภ.นครสวรรค์ เวลา 15.30 น. เพื่อหาข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว โดยหลักที่จะต้องตรวจสอบ คือ บาดแผลของผู้เสียหาย ซึ่งก่อนหน้านี้มีการระบุว่าถูกหมอสูติฯ คนดังกล่าวทำอนาจารระหว่างตรวจภายใน โดยทับลงมาทั้งตัว กดหน้าขา ซึ่งจริงๆ การขึ้นขาหยั่งซึ่งฝ่ายผู้หญิงจะมีการกางขา 45 องศา ดังนั้น การข่มขืนบนขาหยั่งจะมีร่องรอยเขียวช้ำแดงบริเวณขาด้านใน จะไม่เกิดบริเวณด้านหน้าหรือด้านนอก อีกทั้งช่วงระยะเวลา 21 ก.ย. - 3 ต.ค. รวม 12 วัน รอยแผลมีความแตกต่างอย่างไร ตรงนี้จะรวบรวมหลักฐานจากภาพถ่าย และจะมีการจำลองสถานการณ์ พร้อมทั้งจะนำผู้เชี่ยวชาญทางทั้งสูติแพทย์และนิติเวชไปร่วมด้วย จะดูทั้งหมดตั้งแต่ความสูงของเตียง ขาหยั่ง ความสูงของแพทย์ รวมถึงพยาน แม่บ้านในวันที่เกิดเหตุด้วยจะดูหมด


'ทักษิณ'อวดนาฬิกา 21 ล้าน! แขวะ'มีใครจะเกาะขอบโต๊ะยืมไหม'

21 พ.ย. 61 เฟจเฟซบุ๊ก “กรุงเทพ กรุงเทพ” ซึ่งมักรายงานความเคลื่อนไหวของ นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร 2 อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาคดีคอร์รัปชั่นที่หลบหนีและอยู่ระหว่างถูกทางการไทยติดตามตัว ได้โพสต์ข้อความระบุว่า

หนาวสะท้านของจริงอยู่ที่นี่!

มาดูนาฬิกา นายกฯทักษิณ เรื่อนที่สามกัน PATEK PHILIPPE MINUTE REPEATER 5074R-001 ราคา 650,000 ดอลลาร์เงินไทยก็ 21 ล้านบาท#จะมีใครมาเกาะขอบโต๊ะยืมป่ะ ประเทศที่นาฬิกา รมต.เป็นของศพ #ประเทศกูมี


มือปืนบุกกราดยิง รพ.ใน'ชิคาโก' เสียชีวิต2ราย-ตำรวจเจ็บหนัก

20 พ.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน เกิดเหตุมือปืนบุกกราดผู้คนที่โรงพยาบาลเมอร์ซี ในเมืองชิคาโก ของสหรัฐฯ เมื่อช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีก 2 คน รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนมือปืนเสียชีวิตโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตายหรือถูกยิงตาย

ขณะเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้เร่งควบคุมสถานการณ์โดยเร็ว เบื้องต้นยังไม่ทราบแรงจูงใจในการก่อเหตุ ด้านผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งคือ นายเอริกซ์ ฮอร์ตัน ซึ่งทำงานในโรงพยาบาลเมอร์ซี บอกกับสำนักข่าว ‘chicagotribune’ ว่า เขากำลังตอกบัตรเลิกงาน ก่อนที่พยาบาลคนหนึ่งจะวิ่งเข้ามาบอกว่าพนักงานคนหนึ่งถูกยิง และให้โทรศัพท์แจ้งตำรวจว่ามีคนร้ายถือปืนกำลังก่อเหตุ ทุกคนจึงหาที่กำบัง และได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 8-9 นัด


ยอดตายไฟป่าพุ่ง 77 คน สูญหายเกือบพัน-ทรัมป์ชมฟินแลนด์จัดการป่า

พาราไดซ์/ลอสแองเจลิส (เอพี/รอยเตอร์/บีบีซี นิวส์) - อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่กู้ภัยออกค้นหาตามซากอาคารบ้านเรือนที่ถูกไฟป่าเผาผลาญในบริเวณตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ เพื่อค้นหาผู้สูญหายกว่า 1,000 คน ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากไฟไหม้ป่าที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดและเสียหายมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของรัฐเพิ่มขึ้นเป็น 77 คน

อาสาสมัครและเจ้าหน้าที่กู้ภัยออกค้นหาเพื่อหวังพบร่องรอยผู้ที่สูญหายจำนวน 993 คน ลดลงจากเดิมรายงานที่อย่างน้อย 1,276 คน ในเมืองพาราไดซ์ ซึ่งบางส่วนอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว เจ้าหน้าที่ยังพบผู้เสียชีวิตอีกศพ ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นจากไฟไหม้ป่าครั้งนี้ที่เรียกชื่อว่าแคมป์ไฟร์ ซึ่งปะทุขึ้นเมื่อ 10 วันก่อน ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 77 คน ขณะที่คาดว่า จะเกิดฝนตกในพื้นที่ดังกล่าวในสัปดาห์นี้ ซึ่งอาจจะช่วยให้ไฟป่าบรรเทาลง แต่ก็จะชะล้างหลักฐานที่หลงเหลืออยู่ไปด้วย รวมถึงอาจเกิดน้ำท่วมและโคลนถล่มตามมา และอาจสร้างความยุ่งยากในการค้นหาศพผู้เสียชีวิตจากกองเพลิง ซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าท้อแท้

ไฟป่าแคมป์ไฟร์ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ในบริเวณตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย คร่าชีวิตผู้คนไปแล้ว 77 คนบ้านเรือนถูกเผาผลาญไปกว่า 9,700 หลังตามเส้นทางไฟป่าที่มีขนาดเท่ากับนครชิคาโก นับเป็นไฟป่าครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย เผาพื้นที่ป่าไปแล้วกว่า 373,000 ไร่ ชุมชนในเมืองพาราไดซ์พังราบจนแทบไม่เหลืออยู่ในแผนที่ ประชาชนหลายพันคนอพยพหนีและหลายคนอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวตามโบสถ์และเต็นท์ ขณะนี้ควบคุมไฟได้แล้วร้อยละ 60 ขณะที่ทางการคาดว่า จะควบคุมไฟป่าได้ทั้งหมดในราววันที่ 30 เดือนนี้ ส่วนสถานการณ์ไฟป่าวูลซีที่ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนียขณะนี้ควบคุมได้แล้วร้อยละ 88 มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน และพื้นที่ป่าถูกเผาไปราว 240,000 ไร่ ซึ่งควันไฟที่หนาทึบจากไฟป่าปกคลุมหลายพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียทำให้เกิดอากาศที่สกปรกที่สุดในโลกขึ้น

ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ซึ่งได้มาตรวจดูสถานการณ์ไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนียด้วยตัวเองเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ทั้งที่เมืองพาราไดซ์และพื้นที่อื่นๆในเมืองมาลิบูทางใต้ ได้มีคำสั่งมอบเงินช่วยเหลือในการต่อสู้ไฟป่าให้แก่ทางการรัฐแคลิฟอร์เนียและสัญญาจะคอยช่วยเหลือต่อไป นอกจากนี้ เขายังได้กล่าวกับนายเจอร์รี บราวน์ ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียที่กำลังจะหมดวาระ กับนายเกวิน นิวซัม ที่จะเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐคนใหม่ว่า ฟินแลนด์ไม่เคยมีปัญหาเรื่องไฟไหม้ป่าเหมือนกับรัฐแคลิฟอร์เนีย เพราะฟินแลนด์ให้ความสำคัญกับการดูแล ทำความสะอาดและรักษาป่าไม้ ถ้อยแถลงดังกล่าวสร้างความสับสนและกังขากับหลายฝ่ายและผู้นำประเทศต่างๆ ทางด้านประธานาธิบดีเซาลี นีนิสโต ของฟินแลนด์ กล่าวว่าเขาได้หารือเรื่องการบริหารจัดการป่าไม้กับนายทรัมป์ระหว่างพบกันที่กรุงปารีส ของฝรั่งเศส เมื่อต้นเดือน แต่ไม่ได้กล่าวในรายละเอียด โดยพูดถึงเรื่องไฟไหม้ป่าที่แคลิฟอร์เนีย และระบบเฝ้าระวังของฟินแลนด์ในการติดตามไฟป่า

พบซากเรือดำน้ำอาร์เจนตินาแล้ว

ประธานาธิบดีเมาริซิโอ มาครี ของอาร์เจนตินา แถลงว่า กระทรวงกลาโหมยืนยันว่า ทีมค้นหาของบริษัทเอกชน โอเชียน อินฟินิตี บริษัทค้นหาใต้ทะเลจากสหรัฐ รายงานว่า พบซากเรือดำน้ำ เออาร์เอ ซาน ฮวน ของกองทัพเรืออาร์เจนตินา ซึ่งสูญหายไปนอกชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อ 1 ปีก่อน พร้อมลูกเรือ 44 คน ในพื้นที่ใกล้กับจุดที่มีรายงานการขาดการติดต่อครั้งสุดท้าย โดยเรือดำน้ำถูกพบที่ความลึกใต้ผิวน้ำ 907 เมตร บริเวณในหุบเขาลึกใต้มหาสมุทร มีร่องรอยการระเบิดบริเวณส่วนหาง ซากเรือดำน้ำกระจัดกระจายครอบคลุมพื้นที่ 70 เมตร อย่างไรก็ดี พลเรือเอกกาเบรียล อัตติส ผู้บัญชาการกองทัพเรืออาร์เจนตินา ยอมรับว่ากองทัพและรัฐบาลไม่มีทรัพยากรในการกู้เรือดำน้ำขึ้นมาบนผิวน้ำ และขณะนี้กำลังพูดคุยกับเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชน โอเชียน อินฟินิตี เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอยู่ ขณะที่บรรดาญาติและครอบครัวลูกเรือที่สูญหายไปกับเรือดำน้ำ เรียกร้องให้ทางการและกองทัพเรืออาร์เจนตินาดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อกู้เรือดำน้ำขึ้นมาอีกครั้ง

การสูญหายไปของเรือดำน้ำเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนปีที่แล้ว เรียกความสนใจของคนทั้งประเทศ ขณะที่รัฐบาลก็พยายามอย่างมากในการแจกแจงข้อมูลเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ซึ่งในช่วงที่ีเกิดการสูญหายนั้น กองทัพเรืออาร์เจนตินา แถลงว่าในวันดังกล่าว ลูกเรือได้รับคำสั่งให้เดินทางกลับไปยังฐานทัพเรือมาร์ เดล ปลาตา ชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศ ก่อนจะขาดการติดต่อ จนในเวลาต่อมา พบว่าน้ำที่ทะลักเข้าสน็อร์กเกิล หรือท่อช่วยหายใจของเรือดำน้ำ เป็นสาเหตุให้แบตเตอรี่ของเรือเกิดไฟฟ้าลัดวงจร องค์การระหว่างประเทศ ได้ช่วยกันค้นหาเรือดำน้ำเมื่อ 1 ปีก่อน สามารถตรวจจับเสียง ที่อาจเป็นเสียงระเบิดของเรือดำน้ำเพียง 2 ชั่วโมงหลังขาดการติดต่อ ทำให้ไม่สามารถชี้จุดที่เรือดำน้ำระเบิดและจมลงได้