ข่าว
ผบ.ทบ.ย้ำ ทหารต้องอยู่กับประชาชน เดินหน้าพัฒนา"กำลังพลต้นน้ำ"

รองโฆษก ทบ. เผย ผบ.ทบ. ย้ำ ทหารต้องอยู่กับประชาชนช่วยดูแลทรัพย์สินในพื้นที่น้ำท่วม เดินหน้าพัฒนา “กำลังพลต้นน้ำ” เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์ และพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ

วันที่ 6 ก.ย. พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. เป็นประธานการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก โดยได้ขอบคุณกำลังพลที่ออกปฏิบัติภารกิจบรรเทาสาธารณภัยทั้ง การบรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้งและอุทกภัย ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ พร้อมกำชับให้ผู้บังคับหน่วยกำกับดูแล และสนับสนุนให้กำลังพลสามารถปฏิบัติภารกิจบรรเทาภัยได้อย่างเรียบร้อย ปลอดภัยได้พักผ่อนที่เหมาะสมและผลัดเปลี่ยนกำลังพลหน่วยทหารในพื้นที่บรรเทาภัย

สำหรับในบางพื้นที่ที่ยังคงมีภาวะน้ำท่วมขังให้หน่วยจัดกำลังพลเข้าพักแรมและอยู่เป็นเพื่อนประชาชนสนับสนุนเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเฝ้าระวังป้องกันทรัพย์สินของประชาชนในชุมชนที่มีน้ำท่วมขังและอพยพออกไปด้วย

ผบ.ทบ.ยังกล่าวถึงกองทัพบกเป็นเจ้าภาพ ร่วมกับกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ในการจัดประชุมผู้บัญชาการทหารบกกลุ่มประเทศภาคพื้นอินโด-แปซิฟิก ครั้งที่ 11 (IPACC) รวมถึงการจัดประชุม IPAMS และการจัดประชุม SELF ในระหว่าง 9-11 กันยายน นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการประชุมที่สำคัญ ที่ทุกส่วนจะได้เห็นมุมมองในภาพกว้างและทันต่องานด้านความมั่นคงในระดับสากล นอกเหนือจากความสัมพันธ์และความร่วมมือที่กองทัพมิตรประเทศมีให้กันมาอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ผบ.ทบ.ได้ให้แนวทางในการปฏิบัติงานในปีงบประมาณต่อไปซึ่งจะกำหนดให้เป็นปีแห่งการพัฒนากำลังพลในทุกระดับ ตั้งแต่ต้นน้ำไปถึงปลายน้ำ โดยเฉพาะการพัฒนา “กำลังพลต้นน้ำ” อาทิ นักเรียนนายสิบ นักเรียนนายร้อย ทหารกองประจำการ อาสาสมัครทหารพราน เป็นต้น เพื่อให้มีความเข้มแข็งพร้อมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ และการดำรงเกียรติ โดยกองทัพบกจะปรับหลักสูตรการศึกษาของกำลังพลต้นน้ำ เน้นการศึกษาประวัติศาสตร์ และพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ เป็นสำคัญ โดยที่ผ่านมา

ล่าสุด กองทัพบกได้มีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกทหารใหม่ตามแนวทางพระราชทานเป็น “พลทหารต้นแบบ” ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดสาธิต “พลทหารต้นแบบ” ให้กับหน่วยฝึกทหารใหม่ของกองทัพบกทั่วประเทศได้นำไปปรับให้เป็นรูปแบบเดียวกัน นอกจากนี้ จะเดินหน้าพัฒนาการฝึกการสอนนักศึกษาวิชาทหารตามแนวทางที่ได้เริ่มดำเนินการมาแล้ว ทั้งในเรื่องการปรับปรุงรูปแบบการฝึก ระเบียบปฏิบัติ ส่งเสริมให้นักศึกษาวิชาทหาร มีจิตอาสาและความรับผิดชอบต่อสังคม เน้นการทำกิจกรรมหรือการศึกษาดูงานที่เป็นการเปิดมุมมองของผู้เรียน

ไทยแอร์เอเชีย ลงจอดฉุกเฉิน เครื่องไฟไหม้!

ระทึกขวัญผู้โดยสาร “ไทยแอร์เอเชีย” เที่ยวบินจากมัลดีฟส์-กรุงเทพฯ ไฟลุกเครื่องยนต์กลางอากาศหลังทะยานขึ้นฟ้าได้เล็กน้อย แต่กัปตันแก้ไขสถานการณ์เก่ง นำเครื่องบินกลับสนามบินมัลดีฟส์และร่อนลงพื้นอย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุไฟลุกกลางอากาศฝ่ายเทคนิคเร่งตรวจสอบสื่อท้องถิ่นมัลดีฟส์ ดิ เอดิชัน พร้อมเว็บไซต์ด้านการบินเอวิเอชัน เฮรัลด์ รายงานเหตุระทึก เครื่องบินโดยสารรุ่นแอร์บัส เอ 320-200 ของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบินเอฟดี-178 เส้นทางบินมัลดีฟส์-กรุงเทพฯ ที่บินจากสนามบินนานาชาติกรุงมาเล ประเทศมัลดีฟส์ มุ่งสู่ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ประสบอุบัติเหตุไฟลุกไหม้เครื่องยนต์อย่างไม่ทราบสาเหตุ หลังทะยานออกจากสนามบิน ส่งผลให้กัปตันต้องวนเครื่องกลับมาลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินกรุงมาเล แต่เคราะห์ดีไม่มีผู้โดยสารหรือลูกเรือบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

รายงานข่าวระบุว่า เครื่องบินโดยสารสายการบินไทยแอร์เอเชียได้เกิดอุบัติเหตุขณะทะยานออกจากสนามบินนานาชาติกรุงมาเล เมื่อเวลา 20.20 น. คืนวันที่ 5 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่น และกำลังไต่ระดับทำความสูงได้ประมาณ 5,000 ฟุต ก่อนเกิดการระเบิดที่เครื่องยนต์หลายครั้ง ตามด้วยไฟลุกไหม้และมีเขม่าควัน แต่นักบินสามารถนำเครื่องลงจอดได้อย่างปลอดภัย ในเวลาประมาณ 20.40 น. ตามเวลาท้องถิ่น ถือเป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุในลักษณะนี้ที่สนามบินนานาชาติกรุงมาเล แต่ไม่มีผู้โดยสารหรือลูกเรือได้รับบาดเจ็บ กระทรวงท่องเที่ยวมัลดีฟส์ได้เร่งช่วยเหลือจัดหาที่พักชั่วคราวแก่ผู้โดยสาร ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ

ขณะที่สื่อโทรทัศน์วันนิวส์นาวของนิวซีแลนด์ รายงานบทสัมภาษณ์ของผู้โดยสารสามีภรรยาชาวนิวซีแลนด์คู่หนึ่ง ไม่ขอเปิดเผยชื่อ บนเที่ยวบินเอฟดี-178 ระบุว่า นั่งอยู่ริมหน้าต่างติดปีกด้านขวา ขณะที่เครื่องกำลังไต่ระดับก็เกิดเสียงดังปัง พร้อมมีไฟพุ่งออกจากเครื่องยนต์ กดปุ่มเรียกพนักงานต้อนรับ แต่ไม่มีใครมา จึงลุกออกจากที่นั่งตะโกนว่าไฟไหม้

ในรายงานบทสัมภาษณ์ดังกล่าวบอกด้วยว่า จากนั้นเกิดระเบิดเสียงดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ทำให้สามีตัดสินใจวิ่งไปทุบประตูห้องนักบิน ระหว่างนั้นไม่มีพนักงานต้อนรับคนใดสื่อสารกับผู้โดยสารต่อมากัปตันประกาศว่า เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค และจะใช้เวลาประมาณ 15 นาที ในการเดินทางกลับสนามบินนานาชาติกรุงมาเล จำเป็นต้องดับ เครื่องยนต์ 1 เครื่อง แต่ยังสามารถบินต่อไปได้ และเมื่อเครื่องลงจอดที่สนามบินกรุงมาเลแล้ว ก็ไม่มีการสั่งอพยพนานกว่า 20 นาที มีเพียงว่าฝ่ายเทคนิคอยู่ระหว่างตรวจสอบเครื่องยนต์

วันเดียวกัน สายการบินไทยแอร์เอเชียออกแถลงการณ์ว่า เครื่องบินโดยสารเที่ยวบินเอฟดี-178 เกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิคระหว่างการเทกออฟ จนนักบินตัดสินใจดับเครื่องยนต์ปีกขวา ถือเป็นการปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย จากนั้นนักบินติดต่อหอบังคับการบิน ขออนุญาตลงจอดฉุกเฉินและลงจอดได้อย่างปลอดภัยในเวลา 20.41 น. ตามเวลาท้องถิ่น เครื่องบินอยู่ระหว่างตรวจสอบทางด้านวิศวกรรม นักบินประจำสายการบินไทยแอร์เอเชีย ได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีในการรับมือสถานการณ์เช่นนี้ ขณะที่เครื่องบินโดยสารรุ่นแอร์บัส เอ 320 ถูกออกแบบให้บินต่อไปได้แม้จะเหลือเครื่องยนต์ข้างเดียว ถึงผู้โดยสารจะได้ยินเสียงระเบิดดัง แต่ก็ไม่เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ ไทย แอร์เอเชียได้ให้การรับรองที่พักแก่ผู้โดยสารที่ได้รับผลกระทบ พร้อมจัดหาเที่ยวบินทางเลือกแก่ผู้โดยสารต่อไป


ครม.เศรษฐกิจ คลอดแพ็กเกจ “ไทยแลนด์พลัส 7 ด้าน” กระตุ้นนักลงทุน

ครม.เศรษฐกิจ เห็นชอบแพ็กเกจ “ไทยแลนด์พลัส 7 ด้าน” ตามบีโอไอเสนอเพื่อกระตุ้นนักลงทุน ลดข้อจำกัดข้อกฎหมาย พร้อมลดหย่อนภาษี จูงใจต่างประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าโลก

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ แถลงภายหลังการประชุม ครม.เศรษฐกิจ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมเห็นชอบแพ็กเกจ ไทยแลนด์พลัส 7 ด้าน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI (บีโอไอ) เสนอในการกระตุ้นและเร่งรัดการลงทุน รวมทั้งปรับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ทั้งมาตรการภาษี พัฒนาบุคลากร ปรับปรุงกฎระเบียบด้านการลงทุน เนื่องจากไทยมีโอกาสในรอบหลายปีจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าเพื่อดึงดูดนักลงทุน เนื่องจากที่ผ่านมาไทยติดอุปสรรคทั้งกฎหมายและการแข่งขันที่รุนแรง ไม่สามารถจูงใจนักลงทุนได้

ทั้งนี้ปี 2558 ตัวเลขการลงทุนไหลเข้าภูมิภาคเอเชีย โดยจีน อินเดีย มีการลงทุนเข้ามามากที่สุด แต่ไทยเป็นอันดับที่ 4 ในอาเซียน ซึ่งโอกาสเข้านี้ประเมินว่าจะอยู่แค่ 2-3 ปี ดังนั้น จึงต้องหาทางออก ปรับใหญ่ ดึงดูดทุกมิติ ไม่ใช่แค่มาตรการด้านภาษี สำหรับแพ็กเกจ ไทยแลนด์พลัส 7 ด้าน มีดังนี้

1. ด้านสิทธิประโยชน์ ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้อยละ 50 เป็นเวลา 5 ปี เพิ่มเติมจากเกณฑ์ปกติ เฉพาะโครงการที่ลงทุนไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท ภายในปี 2564

2. ด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพ การดำเนินงานของหน่วยงาน โดยการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนและประสานการลงทุนในลักษณะ One Stop Service (วัน สต๊อป เซอร์วิส) แก้อุปสรรคนักลงทุน

3. ด้านบุคลากร กำหนดมาตรการการคลังเพื่อสนับสนุนการฝึกอบรมแรงงาน

4. ด้านความสะดวกในการประกอบธุรกิจ สั่งกระทรวงพาณิชย์เร่งปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคและข้อจำกัดต่อการลงทุนในอุตสาหกรรม พร้อมสั่งให้บีโอไอเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมโรงงานอุตสาหกรรม และกรมที่ดิน อำนวยความสะดวกกับนักลงทุน รวมทั้งปรับปรุงกฎระเบียบวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีความเชี่ยวชาญสูง

5. ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดหาพัฒนาพื้นที่ที่เหมาะสมเพื่อรับรองนักลงทุนต่างชาติ

6. ให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งสรุปผลการศึกษาและหาข้อสรุปการฟื้นการเจรจาความตกลงการค้าไทย-สหภาพยุโรป (อียู) รวมถึงการเข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิกภายในปีนี้ พร้อมให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบให้กระทรวงพาณิชย์เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า

และ 7. ให้กระทรวงการคลัง กำหนดมาตรการเพิ่มเติมโดยให้หักเงินลงทุนด้านระบบอัตโนมัติได้เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2562-2563 เพื่อกระตุ้นการลงทุนการผลิตด้วยระบบอัตโนมัติส่งเสริมความเข้มแข็งห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศ.


แบ่งโควตา 35 ปธ.กมธ.ลงตัว "รบ.17-ฝ่ายค้าน 18 " 10 พรรคเล็กแห้ว

โควตา 35 ปธ.กมธ.ลงตัว "รัฐบาล" 17 ที่นั่ง คุม "ทหาร-ตำรวจ-คลัง" ฝ่ายค้าน 18 ที่นั่ง ใกล้เกลี่ยลงตัว รอ "พท.-เสรีรวมไทย" คุยสะเด็ดน้ำอีก 1 คณะ ด้าน 10 พรรคเล็กรวมตัว ขอ 1 เก้าอี้ สรุปแห้ว เหตุขัด รธน.60

เมื่อวันที่ 6 ก.ย.62 นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภา แถลงภายหลังการประชุม ว่า วันนี้ได้หารือตัวแทนพรรคการเมือง 26 พรรค เรื่องการตั้งกรรมาธิการสามัญ (กมธ.) ประจำสภาผู้แทนราษฎร โดยในสัดส่วนประธาน กมธ.จำนวน 35 คณะ เเบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล 17 คณะ ฝ่ายค้าน 18 คณะ ภายในวันนี้ทุกพรรคจะต้องยื่นจำนวน กมธ.แต่ละคณะ คณะละไม่เกิน 15 คน ซึ่งที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภา ได้เรียกพรรคการเมืองมาประชุม เนื่องจากปกติการจัดสรรตำแหน่ง กมธ.จะพิจารณากันเป็นเดือนๆ แต่ครั้งนี้ที่ตกลงกันได้เร็วกว่าปกติ เพราะทุกคนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เบื้องต้นได้จัดสรรตำแหน่งครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้ประธานยังมีดำริว่า ในการประชุมสภาฯ วันที่ 11 ก.ย.นี้ จะบรรจุเรื่องตั้ง กมธ.35 คณะในสภาฯ เสร็จเเล้ว จะมีการประชุมเพื่อเลือกคณะกรรมการของ กมธ.แต่ละคณะในวันรุ่งขึ้นคือ 12 ก.ย.62 ต่อไป

ส่วนกรณีที่ 10 พรรคเล็กรวมตัวเพื่อขอ กมธ.1 ตำแหน่งนั้น นายสมบูรณ์ กล่าวว่า การรวมกลุ่มการเมืองเช่นนี้ไม่สามารถทำได้ เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ 60

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับโควตาประธาน กมธ.ที่แต่ละพรรคได้รับมีข้อยุติแล้ว คือ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จำนวน 8 คณะ ได้แก่ 1.กมธ.การตำรวจ 2.กมธ.การสื่อสารและโทรคมนาคมและดิจิตอลเศรษฐกิจ 3.กมธ.การเงิน การคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน 4.กมธ.กิจการสภาผู้แทนราษฎร 5.กมธ.การทหาร, 6.กมธ.การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 7.กมธ.ป้องกันและปราบปรามฟอกเงินและยาเสพติด และ 8.กมธ.การวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิจัย และนวัตกรรม

พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จำนวน 4 คณะ ได้แก่ 1.กมธ.พาณิชย์และทรัพย์สินทางปัญญา, 2.กมธ.เกษตรและสหกรณ์ 3.กมธ.แก้ไขหนี้สินแห่งชาติ และ 4.กมธ.การสวัสดิการสังคม

พรรคภูมิใจไทย (ภท.) จำนวน 4 คณะ ได้แก่ 1.กมธ.การคมนาคม, 2.กมธ.ท่องเที่ยว, 3.กมธ.กีฬา และ 4.กมธ.การสาธารณสุข,พรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) จำนวน 1 คณะ ได้แก่ กมธ.การส่งเสริมแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลการเกษตร

พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) จำนวน 6 คณะ ได้แก่ 1.กมธ.การที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 2.กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ, 3.กมธ.กฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน 4.กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน 5.กมธ.การพัฒนาเศรษฐกิจ และ 6.กมธ.แรงงาน

พรรคประชาชาติ จำนวน 1 คณะ คือ กมธ.การกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการปกครองรูปแบบพิเศษ

ขณะที่โควตาประธาน กมธ.ฯ ของพรรคเพื่อไทย ที่ได้รับ 10 ที่นั่งนั้น มีความชัดเจน เพียง 8 คณะ คือ 1.กมธ.การพลังงาน 2.กมธ.การศึกษา, 3.กมธ.การศึกษา จัดทำ และติดตามการบริหารงบประมาณ 4.กมธ.การต่างประเทศ 5.กมธ.กิจการองค์กรศาล รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน 6.กมธ.กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ 7.กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค 8.กมธ.การอุตสาหกรรม และ 9.กมธ.ป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย เนื่องจากที่เหลือต้องหารือกับพรรคเสรีรวมไทยว่าจะจัดสรรคณะใดให้กับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระหว่าง กมธ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ หรือ กมธ.การปกครอง.


ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กกต. ให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพ

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ กกต. ให้พรรคประชาชนปฏิรูป ที่มี “ไพบูลย์ นิติตะวัน” เป็นอดีตหัวหน้าพรรค สิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองแล้ว

วันที่ 6 กันยายน 2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. เรื่อง พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง โดยมีเนื้อหาดังนี้ว่า ตามที่นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้มีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง ลงวันที่ 3 ตุลาคม 2561 เรื่อง รับจดทะเบียนจัดตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 นั้น

นายไพบูลย์ นิติตะวัน หัวหน้าพรรคประชาชนปฏิรูป ได้มีหนังสือแจ้งต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคประชาชนปฏิรูป ครั้งที่ 10/2562 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2562 ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ให้เลิกพรรคประชาชนปฏิรูปตามข้อบังคับ พรรคประชาชนปฏิรูป พ.ศ.2561 ข้อ 122 กรณีดังกล่าวจึงเป็นเหตุให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (7) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2562 คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงประกาศให้พรรคประชาชนปฏิรูปสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (7) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

รวบพนักงานขนสัมภาระสนามบินแอบเปิดกระเป๋าสาวเกาหลี ฉกเงิน 2 หมื่นบาท

ฉาวอีก หนุ่มขนสัมภาระสนามบินสุวรรณภูมิแอบเปิดกระเป๋าสัมภาระนักท่องเที่ยวชาวเกาหลี ฉกเงิน 20,000 บาท ไปซ่อนในตู้ล็อกเกอร์พนักงาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (6 ก.ย.) เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 6 กันยายน 2562 Miss LEE SOYEONG สัญชาติเกาหลี ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ ว่าขณะที่ตนเดินทางมากับสายการบินแห่งหนึ่ง จากท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน มาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลา 10.10 น.

โดยตนได้เก็บเงินสดเป็นธนบัตรไทย จำนวน 20,000 บาท และได้ใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปธนบัตรเก็บไว้ และได้นำเงินจำนวนดังกล่าวใส่ไว้ในกระเป๋าเงิน และใส่ไว้ในกระเป๋าเดินทาง และนำไปโหลดไว้ใต้ท้องเครื่องบิน และเมื่อเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ ได้ทำการเช็คสัมภาระภายในกระเป๋าที่โหลดใต้ท้องเครื่องมา ได้พบว่าเงินจำนวนดังกล่าวได้หายไป

หลังทราบข้อมูลจึงได้พาผู้เสียหายเข้าพบ ร.ต.อ.สิทธิพงษ์ ปานไทยสงค์ รองสารวัตรสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แจ้งความร้องทุกข์และลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน ก่อนประสานเจ้าหน้าที่จากศูนย์ปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ภายใต้การอำนวยการของ นายกิตติพงศ์ กิตติขจร รองผู้อำนายการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 1 และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนออกสืบสวนหาข่าว และเชิญตัวพนักงานที่ทำหน้าที่ขนย้ายสัมภาระของเที่ยวบินดังกล่าว มาทำการสอบถาม ตรวจค้นตัวและตู้ล็อกเกอร์ส่วนตัวที่เอาไว้เก็บทรัพย์สินของมีค่าของพนักงานขนย้ายสัมภาระ

ซึ่งจากการตรวจค้นภายในตู้ล็อกเกอร์เก็บทรัพย์สินส่วนตัวของ นายไพรินทร์ อายุ 30 ปี พนักงานขนย้ายสัมภาระ ได้พบธนบัตรไทยฉบับละ 1,000 บาท จำนวน 4 ใบ อยู่ในตู้ล็อกเกอร์ และจากการตรวจสอบหมายเลขบนธนบัตร ได้พบว่ามีหมายเลขธนบัตรตรงกับธนบัตรใบบนสุดของผู้เสียหายที่ถ่ายรูปไว้

และจากการสอบสวน นายไพรินทร์ ผู้ต้องหาได้ให้การรับสารภาพว่า ตนได้ลักเงินจำนวนดังกล่าวไปจริง และนำเงินมาซ่อนไว้ในตู้ล็อกเกอร์ส่วนตัว

เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าลักทรัพย์ภายในอากาศยาน ก่อนควบคุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ สมุทรปราการ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป