ข่าว
ศาลฎีกาสหรัฐฯ ขวางบังคับฉีดวัคซีน-ตรวจไวรัสลูกจ้างธุรกิจขนาดใหญ่

14 มกราคม 2565 : รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผชิญขวากหนามชิ้นใหญ่ในการบังคับใช้นโยบายควบคุมโควิด-19 เมื่อศาลฎีกาขัดขวางการออกกฎข้อบังคับให้ลูกจ้างของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างเกิน 100 คน ต้องฉีดวัคซีนหรือตรวจโควิดทุกสัปดาห์ แต่ยังเห็นด้วยที่จะบังคับใช้กับผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านสุขภาพในหน่วยงานที่รับเงินอุดหนุนจากรัฐ

รายงานเอเอฟพีเมื่อวันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 กล่าวว่า ประธานาธิบดีไบเดนกล่าวถึงคำพิพากษาของคณะตุลาการเสียงข้างมากแห่งศาลฎีกาสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดีว่าน่าผิดหวัง และตอนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละมลรัฐและนายจ้างที่จะตัดสินใจว่าจะบังคับให้ลูกจ้างปฏิบัติตามขั้นตอนง่ายๆ และมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ด้วยการฉีดวัคซีน อย่างไรหรือไม่

รัฐบาลของเขาพยายามตลอดหลายเดือนเพื่อชักจูงให้ชาวอเมริกันฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ที่คร่าชีวิตผู้ป่วยในประเทศนี้แล้วมากกว่า 845,000 ราย โดยถึงขณะนี้มีประชากรเพียง 63% ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว

ไบเดนเคยประกาศไว้เมื่อเดือนกันยายนปีที่ผ่านมาว่า เขาจะทำให้การฉีดวัคซีนเป็นภาคบังคับสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างมากกว่า 100 คน โดยจะขอให้ลูกจ้างที่ปฏิเสธวัคซีนต้องแสดงผลตรวจเป็นลบทุกสัปดาห์และสวมหน้ากากอนามัยขณะทำงาน

สำนักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัยสหรัฐฯ (OSHA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลกลาง ให้เวลาธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งมีลูกจ้างรวมกันมากกว่า 80 ล้านคน ปฏิบัติตามกฎข้อบังคับภายในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ หรือเสี่ยงต่อการถูกปรับ

กลุ่มสมาคมธุรกิจ 26 แห่งร่วมกันยื่นฟ้องคัดค้านกฎของ OSHA ส่วนหลายมลรัฐที่พรรครีพับลิกันควบคุมก็ยื่นฟ้องคำสั่งบังคับฉีดวัคซีนผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพ

เมื่อวันพฤหัสบดี คณะตุลาการเสียงข้างมากฝ่ายอนุรักษนิยม 6 ท่านตัดสินว่า กฎที่จะบังคับใช้กับธุรกิจขนาดใหญ่เป็นการรุกล้ำชีวิตและสุขภาพของลูกจ้างจำนวนมาก ถึงแม้ว่าสภาคองเกรสจะให้อำนาจ OSHA ในการควบคุมอันตรายจากการประกอบอาชีพ แต่ก็ไม่ได้ให้อำนาจสำนักงานนี้ในการควบคุมด้านสาธารณสุขที่กว้างกว่านั้น

“การกำหนดให้ชาวอเมริกัน 84 ล้านคนฉีดวัคซีน เพียงเพราะคัดเลือกจากการที่พวกเขาทำงานให้นายจ้างที่มีลูกจ้างมากกว่า 100 คน ย่อมเข้าข่ายประเภทหลัง” คำตัดสินกล่าว

ตุลาการฝ่ายเสรีนิยมเสียงข้างน้อย 3 ท่านกล่าวว่า คำตัดสินนี้ขัดขวางความสามารถของรัฐบาลกลางในการรับมือกับภัยคุกคามอันไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมที่โควิด-19 มีต่อคนทำงานในประเทศนี้

อย่างไรก็ดี ตุลาการลงมติด้วยเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เห็นด้วยกับการบังคับให้ผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพในหน่วยงานที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง ต้องฉีดวัคซีน โดยผู้พิพากษาจอห์น โรเบิร์ตส์ และเบรตต์ คาวานอห์ ที่เป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ลงมติเห็นด้วย

ความเห็นของตุลาการเสียงข้างมากประเด็นนี้กล่าวว่า การทำให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการเหล่านี้ดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่เชื้อไวรัสอันตรายสู่คนไข้ของพวกเขา สอดคล้องกับหลักพื้นฐานของวิชาชีพแพทย์ในอันดับแรกคืออย่าทำอันตราย

อินโดนีเซียระทึก แผ่นดินไหว 6.7 เขย่าเกาะชวา สะเทือนกรุงจาการ์ตา

เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงเขย่านอกเกาะชวาของอินโดนีเซีย ส่งแรงสั่นสะเทือนไปหลายพื้นที่ รวมถึงกรุงจาการ์ตา แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ

สำนักข่าว แชนเนลนิวส์เอเชีย รายงานอ้างการเปิดเผยของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาของอินโดนีเซีย ว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6.7 แมกนิจูด นอกชายฝั่งเกาะชวา เมื่อเวลา 16.05 น. วันศุกร์ที่ 14 ม.ค. 2565 จุดศูนย์กลางอยู่ห่างจากจังหวัดบันเติน ราว 52 กม. อยู่ที่ความลึก 10 กม. แต่ไม่มีความเสี่ยงทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ

อย่างไรก็ตาม แผ่นดินไหวสร้างแรงสั่นสะเทือนรุนแรงในกรุงจาการ์ตา ทำให้ประชาชนจำนวนหนึ่งต้องหนีออกจากอาคารด้วยความตื่นตระหนก นอกจากนั้น แรงสั่นสะเทือนยังรู้สึกได้ในจังหวัดชวาตะวันตก และในจังหวัดลัมปุง บนเกาะสุมาตรา โดยยังไม่มีรายงานว่าเกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด

ไบเดนใจป้ำแจกชุดตรวจ และหน้ากาก N95 รวม 1 พันล้านชุดให้ ปชช.

ผู้นำสหรัฐฯ ใจป้ำแจกชุดตรวจ แรพพิด เทสต์ฟรีเพิ่มให้กับประชาชนเป็น 1 พันล้านชุด เพื่อให้ทำการตรวจหาเชื้อโควิดเองที่บ้าน พร้อมแจกหน้ากากอนามัย N-95 ให้ด้วย

นายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศเพิ่มการแจกชุดตรวจ แรพพิด เทสต์ฟรีให้กับประชาชนเพิ่มเป็น 1 พันล้านชุด เพื่อให้ประชาชนไปตรวจหาเชื้อโควิดได้เองที่บ้าน พร้อมทั้งยังแจกหน้ากากอนามัย N-95 ให้ด้วย ขณะเดียวกันทางการจะเริ่มส่งทีมแพทย์ทหารราว 1,000 นาย ไปยังรัฐต่างๆ เพื่อให้การช่วยเหลือและช่วยรับมือกับการระบาด รวมทั้งจะส่งอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นให้กับพื้นที่ที่เกิดการระบาดอย่างหนักอย่าง มิชิแกน นิวเจอร์ซีย์ นิวเม็กซิโก นิวยอร์ก โอไฮโอ โร้ดไอแลนด์ โดยสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงทำสถิติต่อเนื่อง ซึ่งผู้นำสหรัฐฯ ย้ำว่าการระบาดในรอบนี้เป็นการระบาดของเชื้อในหมู่คนที่ไม่ยอมฉีดวัคซีน

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุดของสหรัฐฯ รายงานโดย เว็บไซต์ เวิลด์โอมิเตอร์ที่เพิ่มมาใน 24 ชั่วโมง อยู่ที่กว่า 788,000 คน ขณะที่ยอดผู้ป่วยสะสมในสหรัฐฯ พุ่งเป็น 65,218,446 คนแล้ว

ทางด้านศูนย์ป้องกันและกักกันโรคติดต่อของสหรัฐฯ หรือซีดีซี เปิดเผยว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 33% และเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 40% จากหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ส่วนใหญ่แล้วยังคงเป็นผลพวงจากเชื้อกลายพันธุ์เดลตา

ที่มา : เอพี


โสมแดงยิงมิสไซล์อีก 2 ลูก ยันสิทธิปกป้องตนเอง ไม่สนสหรัฐฯ คว่ำบาตรเพิ่ม

โสมแดงยิงมิสไซล์อีก 2 ลูก – วันที่ 14 ม.ค. เอเอฟพี รายงานว่า คณะเสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้ระบุว่า ตรวจพบขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยใกล้จำนวน 2 ลูก ที่ยิงมาจากจังหวัดพย็องอันของเกาหลีเหนือ เมื่อ 14.41 น. และ 14.52 น. ตามเวลาท้องถิ่น โดยขีปนาวุธเดินทางระยะทาง 430 กิโลเมตร และที่ระดับความสูง 36 กิโลเมตร และอยู่ระหว่างการวิเคราะห์ข้อมูลจำเพาะ

ส่วนนายโนบุโอะ คิชิ รัฐมนนตรีกลาโหมญี่ปุ่น กล่าวว่า อาวุธดังกล่าวตกด้านนอกน่านน้ำญี่ปุ่น และะเสริมว่า การทดสอบขีปนาวุธของเกาหลีเหนือซ้ำแล้วซ้ำเล่าชี้ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือตั้งเป้าที่จะปรับปรุงุงเทคโนโลยีการยิงขีปนาวุธ

การทดสอบอาวุธครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่สามในเวลาเพียงสัปดาห์เดียวของปีนี้ของเกาหลีเหนือ หลังเพิ่งทดสอบขีปนาวุธที่อ้างว่าเป็นความเร็วเหนือเสียง (ไฮเปอร์โซนิก) เมื่อวันที่ 5 ม.ค. และ 11 ม.ค ที่ผ่านมา และเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเกาหลีเหนือเตือนตอบโต้อย่าง “แข็งกร้าวและแน่นอน” ต่อมาตรการคว่ำบาตรรใหม่ของสหรัฐอเมริกาต่อบุคคลเกาหลีเหนือ 5 คนที่เกี่ยวข้องกับโครงการขีปนาวุธของประเทศ

ก่อนหน้านี้ นายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เรียกร้องให้เกาหลีเหนือนั่งลงเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งกล่าวว่าไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อระบอบการปกครองของนายคิม จอง-อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ และว่าเกาหลีเหนือดูจะพยายามดึงดูดความสนใจด้วยการยิงขีปนาวุธ

ส่วนวันนี้ กระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือให้คำมั่นจะไม่ละทิ้งสิทธิในการป้องกันตัวเอง และกล่าวหาสหรัฐฯ จงใจทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น “หากสหรัฐฯ ใช้ท่าทีเผชิญหน้าเช่นนี้ เกาหลีเหนือจะถูกบีบให้ต้องเข้มแข็งขึ้นและมีปฏิกิริยาตอบโต้บางอย่างต่อประเด็นนี้”

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า วันเดียวกันนี้เกาหลีเหนือได้ทำการยิงขีปนาวุธนำวิถีอีกอย่างน้อย 2 ลูก ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 3 แล้วในรอบ 2 สัปดาห์ ที่เกาหลีเหนือยิงโชว์ทดสอบอาวุธ ซึ่งมีขึ้นไม่กี่ชั่วโมงหลังจากกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือออกโรงแถลงปกป้องการทดสอบอาวุธของตนเองว่าเป็นสิทธิโดยชอบธรรมในการป้องกันตนเอง พร้อมซัดกลับสหรัฐอเมริกาว่ามีเจตนาทำให้สถานการณ์บานปลายด้วยการคว่ำบาตรใหม่ต่อ

เกาหลีเหนือ

เสนาธิการทหารร่วมของเกาหลีใต้เปิดเผยว่า ตรวจจับได้ว่ามีการยิงอาวุธที่น่าจะเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ (เอสอาร์บีเอ็ม) จำนวน 2 ลูก ซึ่งถูกยิงมาจากทิศตะวันออกจากจังหวัดพย็องกันเหนือทางชายฝั่งตะวันตกของเกาหลีเหนือ

ด้านสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเคอ้างเจ้าหน้าที่ในกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น เปิดเผยว่า หน่วยยามฝั่งรายงานว่าเกาหลีเหนือได้ยิงสิ่งที่อาจเป็นขีปนาวุธนำวิถี ไปตกลงในทะเลนอกเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (อีอีซี) ของญี่ปุ่น

ขณะที่กองบัญชาการอินโด-แปซิฟิกของกองทัพสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ขณะที่ประเมินว่าการยิงอาวุธดังกล่าวไม่ได้ก่อภัยคุกคามในทันทีต่อสหรัฐอเมริกาและชาติพันธมิตร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเน้นย้ำให้เห็นผลกระทบ

ที่สร้างความปั่นป่วนของโครงการอาวุธผิดกฎหมายของเกาหลีเหนือ

การยิงขีปนาวุธล่าสุดนี้ของเกาหลีเหนือนับเป็นครั้งที่ 3 นับตั้งแต่เข้าสู่ศักราชใหม่ ที่เป็นการทดสอบขีปนาวุธอานุภาพสูง โดยในการทดสอบ 2 ครั้งก่อนหน้านี้เป็นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง

อย่างไรก็ดีการยิงทดสอบอาวุธในวันนี้ เป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ ที่นายคิม ดง ยอป อดีตนาวิกโยธินเกาหลีใต้ที่ขณะนี้เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยคยองนัม ในกรุงโซล วิเคราะห์ว่า เกาหลีเหนืออาจยิงขีปนาวุธที่นำมาประจำการก่อนหน้าเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้อย่าง เคเอ็น-23 หรือ เคเอ็น-24 ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ซ้อมรบในฤดูหนาว ขณะที่ยังเป็นการส่งสารต่อสหรัฐฯ ผ่านการทดสอบอาวุธดังกล่าว

ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงสำนักข่าวเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) สื่อทางการ อ้างโฆษกกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือแถลงว่า การพัฒนาอาวุธชนิดใหม่เมื่อเร็วๆ นี้ เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามปรับปรุงความสามารถในการป้องกันตนเองของเกาหลีเหนือและไม่ได้เล็งเป้าหมายไปที่ประเทศใด หรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเพื่อนบ้าน การกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่มีต่อการใช้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเองของเกาหลีเหนือนั้น ถือเป็นการยั่วยุอย่างชัดเจนและเป็นตรรกของพวกอันธพาล

ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากเมื่อวันพุธ (12 ม.ค.) ที่ผ่านมา รัฐบาลประธานาธิบดีโจ ไบเดนของสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ โดยกล่าวหาว่าเกาหลีเหนือละเมิดข้อมติของคณะมนตรีความมมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ที่ห้ามเกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์


“อีลอน มัสก์” ทวีต “เทสลา” จะรับชำระเป็น “ดอดจ์คอยน์” ทำมูลค่าพุ่ง 14%

วันที่ 14 มกราคม 2565: อีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเทสลา ทวิตข้อความ เมื่อวันที่ 14 มกราคม ระบุว่า บริษัทเทสลา จะรับชำระเงินซื้อสินค้าอย่างเช่น หัวเข็มขัดกิกะเท็กซัส (Giga Texas) หรือโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ดอดจ์คอยน์ (dogecoin)

โดยทวีตดังกล่าวของมัสก์ส่งผลให้ราคา ‘ดอดจ์คอยน์’ ในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี พุ่งขึ้นถึง 14 เปอร์เซ็นต์

รายงานระบุว่าท่าทีของมัสก์ในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากเมื่อเดือนก่อน มัสก์ออกมาเปิดเผยแผนที่จะทดสอบนำเอาสกุลเงินดิจิทัลมาเป็นทางเลือกในการจ่ายค่าสินค้า ขณะที่ก่อนหน้านี้ก็เคยเปิดเผยว่าจะรับชำระค่าสินค้าด้วย ‘บิตคอยน์’ ด้วย ก่อนจะล้มเลิกแผนไป

การทวีตถึงดอดจ์คอยน์ของมัสก์ ที่รวมไปถึงการที่เคยเรียกดอดจ์คอยน์ว่า เป็นเหรียญของประชาชนนั้นส่งผลให้ดอดจ์คอยน์ ที่เริ่มต้นขึ้นมากจากมุกตลกในโลกออนไลน์ กลายเป็นเหรียญที่นักลงทุนเข้ามาซื้อเป็นอันดับต้นๆ ขณะที่ดอดจ์คอยน์ เคยมีราคาพุ่งขึ้นถึง 4000 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี 2564 ด้วย

ทั้งนี้เทสลา เปิดเผยเมื่อปี 2564 ว่า บริษัทได้ซื้อบิตคอยน์เอาไว้เป็นมูลค่า 1.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่มัสก์ เองเคยระบุว่าตนก็เป็นเจ้าของบิตคอยน์ และ ดอดจ์คอยน์ อยู่ด้วย

ดาบิด ซาสโซลี จาก ‘นักข่าว’ สู่ ‘ประธานสภายุโรป’

วันที่ 14 มกราคม 2565 : ดาบิด ซาสโซลี ที่เพิ่งเสียชีวิตลงด้วยวัย 65 ปี เป็นผู้ที่เปลี่ยนเส้นทางจากสายอาชีพสื่อมวลชน มาสู่การเป็นนักการเมือง และก้าวไปถึงการดำรงตำแหน่งประธานสภายุโรปได้ เกิดในเมืองฟลอเรนซ์ วันวันที่ 30 พฤษภาคม ปี 1956 ซาสโซลี เรียนจบรัฐศาสตร์ ก่อนจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานเป็นนักข่าวให้กับหนังสือพิมพ์และสำนักข่าวในอิตาลี

คุณพ่อลูกสอง เริ่มทำงานข่าวกับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น RAI ในปี 1992 ก่อนจะกลายเป็นผู้ประกาศข่าวที่ชาวอิตาลี คุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุดคนหนึ่ง

ซาสโซลี ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมืองด้วยการเข้าร่วมพรรค Democratic Party ที่ก่อตั้งโดยอดีตนายกเทศมนตรีกรุงโรม วอลเตอร์ บิลโทรนี

ความมีชื่อเสียงของซาสโซลี ส่งผลให้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภายุโรป ด้วยคะแนนเสียง 400,000 คะแนน

ซาสโซลี ได้รับเลือกอีกครั้งในปี 2014 และยังได้รับตำแหน่งรองประธานสภายุโรป ดูแลเรื่องงบประมาณและนโยบายยุโรป-เมดิเตอร์เรเนียน และยังเป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญในการปฏิรูปให้เปิดเสรีการเดินทางด้วยรถไฟในยุโรป เมื่อปี 2017 ด้วย

จุดสูงสุดของเกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อ ‘ซาสโซลี’ ได้รับเลือกให้เป็นประธานสภายุโรป ทำงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19

ตลอดการดำรงตำแหน่ง 2 ปีครึ่ง ซาสโซลี ได้รับเสียงชื่นชมจากบุคลิกที่เป็นมิตร และมีความสามารถในการบริหารจัดการ เช่นการจัดให้มีการประชุมทางไกล จัดให้มีการลงคะแนนเสียงทางไกล นอกจากนี้ยังจัดให้รัฐสภายุโรป ในเมืองสตารสบูร์ก ประเทศฝรั่งเศส บริจาคอาหาร และตรวจเชื้อโควิด-19 ให้กับครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในพื้นที่ด้วย

อย่างไรก็ตามซาสโซลี มีปัญหาสุขภาพรุมเร้าส่วนหนึ่งเพราะการเป็น “นักสูบ” ตัวยง โดยหลังจากเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยลูคีเมียแล้ว เมื่อเดือนกันยายน ปี 2021 ซาสโซลี ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลจากอาการปอดอักเสบ ส่งผลให้ต้องหายหน้าไปจากสภาหลายสัปดาห์

ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ประธานสภายุโรปต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลอีกครั้งด้วยอาการที่ระบุว่าเป็น “ระบบภูมิคุ้มกัน” ล้มเหลว ก่อนที่ ซาสโซลี จะเสียชีวิตลงในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา