ข่าว
ผู้นำฝรั่งเศสเยือนเบรุต ปชช.รุมล้อมวอนช่วยเหลือ อัดรบ.ไร้ความสามารถ

ผู้นำฝรั่งเศสเดินทางเยือนกรุงเบรุต เพื่อดูความเสียหายจากเหตุระเบิดครั้งใหญ่ ท่ามกลางชาวบ้านเลบานอนที่เข้ามาห้อมล้อม ตัดพ้อในความไร้ความสามารถของรัฐบาล และขอให้ผู้นำฝรั่งเศสช่วยเหลือ

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า เหตุระเบิดครั้งใหญ่ในกรุงเบรุต ของเลบานอน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 137 ศพแล้ว บาดเจ็บประมาณ 5,000 ราย และมีผู้สูญหายอีกหลายสิบคน ขณะที่สาเหตุเชื่อว่ามีสาเหตุมาจาก สารแอมโมเนียมไนเตรทปริมาณมหาศาลถึง 2,750 ตัน ซึ่งเก็บไว้อย่างไม่ปลอดภัยที่โกดังบริเวณท่าเรือของเมือง ท่ามกลางข้อกล่าวเรื่องการคอร์รัปชัน การปล่อยปละละเลย และการบริหารงานที่ผิดพลาดของทางการ

ในวันพฤหัสบดีที่ 6 ส.ค. 2563 ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาณานิคมของเลบานอน กลายเป็นผู้นำโลกคนแรกที่เดินทางเยือนเมืองหลวงแห่งนี้หลังเกิดเหตุระเบิดดังกล่าว โดยเขาถูกชาวเมืองรุมล้อมขณะเดินไปตามถนนของกรุงเบรุตเพื่อตรวจสอบความเสียหาย เพื่อขอความช่วยเหลือจากเขา และประณามผู้นำประเทศของตัวเอง

“ช่วยเราด้วย คุณคือความหวังเดียวของเรา” ชาวบ้านคนหนึ่งเรียกร้อง ขณะที่ชาวบ้านอีกคนกล่าวว่า “ได้โปรดอย่ามอบเงินให้แก้รัฐบาลทุจริตของพวกเราเลย เราทนไม่ไหวแล้ว” ก่อนที่นายมาครงจะบอกกับฝูงชนว่า เขาจะไม่ยอมให้ความช่วยเหลือตกไปอยู่ในมือของพวกทุจริต และสัญญาจะเรียกร้องให้เหล่าผู้นำเลบานอน ทำข้อตกลงทางการเมืองกันใหม่

ด้านนาย จูด เชฮับ นักสร้างภาพยนตร์ชาวเลบานอน บอกกับ บีบีซี ว่า “เบรุตกำลังร้องไห้ เบรุตกำลังกรีดร้อง ผู้คนกำลังหวาดผวา ผู้คนกำลังเหนื่อยล้า” ส่วนนาง ชาเดีย เอลมีอูชี นูน ชาวบ้านที่กำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล กล่าวว่า “ฉันรู้มาตลอดว่าเรากำลังถูกปกครองโดยคนไร้ความสามารถ รัฐบาลที่ไร้ความสามารถ แต่ฉันขอบอกคุณอย่างหนึ่งว่า สิ่งที่พวกเขาทำลงไปในครั้งนี้ เป็นอาชญากรรมอย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ สารแอมโมเนียมไนเตรทดังกล่าวถูกยึดมาจากเรือสินค้าชื่อ ‘โรซัส’ (Rhosus) ติดธงประเทศมอนโดวา ซึ่งมาจอดที่ท่าเรือกรุงเบรุตในปี 2556 เพราะเกิดความขัดข้องทางเทคนิค ระหว่างเดินทางจากเจอร์เจียไปโมซัมบิก ก่อนที่เรือลำนี้จะถูกตรวจสอบและห้ามออกเดินทางต่อ ในที่สุดก็ถูกเจ้าของทิ้ง จนทำให้เกิดการฟ้องร้องทางกฎหมายมากมาย ขณะที่สินค้าที่มากับเรือถูกเก็บไว้ในโกดังของท่าเรือตั้งแต่ตอนนั้น

หัวหน้าผู้บริหารท่าเรือกรุงเบรุตกับผู้อำนวยกรมศุลกากรเลบานอนอ้างว่า พวกเขาเขียนเอกสารศาลหลายต่อหลายครั้ง เพื่อเตือนถึงอันตราย และเรียกร้องให้มีคำสั่งส่งออกหรือขายสารเหล่านี้ออกไปเพื่อรับประกันความปลอดภัยของท่าเรือ แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง

หลังเกิดเหตุระเบิดเมื่อวันอังคาร ทางการเลบานอนก็ส่งกักบริเวณเจ้าหน้าที่ท่าเรือทุกคน ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรท และผู้ที่คุ้มกันรวมถึงจัดการเอกสารเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนมิถุนาย 2557 ด้วย

ด้านปฏิบัติการกู้ภัยในกรุงเบรุต เครื่องบินบรรทุกอุปกรณ์ทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่กู้ภัย และคลินิคเคลื่อนที่จากฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆ เดินทางมาถึงเลบานอนตั้งแต่เมื่อวันพุธแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสเข้าร่วมในปฏิบัติการกู้ภัย และบอกกับนายมาครงว่า ยังมีโอกาสที่จะพบผู้รอดชีวิต แม้เวลาจะล่วงเลยมา 2 วันแล้ว ด้านสหราชอาณาจักรส่งอุปกรณ์ทางการแพทย์มูลค่า 5 ล้านปอนด์มาช่วยเหลือด้วย

เลบานอนขอเงินช่วยฟื้นฟู

กระทรวงมหาดไทยเลบานอนสั่งจับเจ้าหน้าที่การท่าเรือทั้งหมด ที่พัวพันกับการเก็บสารแอมโมเนียมไนเตรท ที่ท่าเรือกรุงเบรุต หลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรมช็อกโลก ขณะที่ ผอ.การท่าเรือออกมาปฏิเสธไม่ได้ปล่อยปละละเลยการขนย้ายสารออกจากพื้นที่ โยนศาลเลบานอนสั่งให้เก็บไว้ที่เดิมจนเกิดเหตุสลดใจขึ้น หน่วยกู้ภัยเลบานอนยังค้นหาศพผู้เสียชีวิตและผู้สูญหายที่มีจำนวนมากจากเหตุระเบิด หลังพบแล้วกว่า 100 ศพ ส่วนยอดผู้บาดเจ็บพุ่งไปกว่า 5 พันคน คนไทยในเลบานอน 2 คนเจ็บด้วยจากเหตุระเบิด ส่วนสภาพทั่วไปชาวเมืองต้องสวมหน้ากากอนามัยกันสารเคมีเข้าจมูก

ชาวเมืองเบรุต เลบานอน ยังแสนระทมและเศร้าโศกต่อความสูญเสียครั้งร้ายแรง จากเหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่โกดังเก็บสารแอมโมเนียม ไนเตรท ในท่าเรือกรุงเบรุต ได้เกิดเพลิงไหม้อย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้สารดังกล่าวที่มีปริมาณมหาศาลถึง 2,750 ตัน กลายเป็นระเบิดขนาดมหึมาคล้ายระเบิดนิวเคลียร์ที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง ระเบิดบึมขึ้นมามีเปลวไฟแดงฉานที่สูงกว่าร้อยเมตรพุ่งสู่ฟ้า แรงระเบิดมีรัศมีกว้างไกลหลายสิบกิโลเมตร ส่งผลให้อาคารร้านค้าละแวกนั้น บ้านเรือน อพาร์ทเมนท์และตึกสูงทั่วกรุงเบรุต ถูกแรงอัดพังพินาศราบเป็นหน้ากลองเหลือเพียงซากปรักหักพัง ผู้คนในพื้นที่ท่าเรือเสียชีวิตจำนวนมาก เจ้าหน้าที่กู้ภัยเข้าไปเก็บศพพบว่าผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกแรงระเบิดอัดร่างขาดฉีกเป็นชิ้นๆ กระเด็นกระดอนกระจัดกระจายไปทั่ว ผู้เคราะห์ร้ายบางรายถูกไฟเผาไหม้ดำเป็นตอตะโก ขณะที่ผู้บาดเจ็บอยู่ในสภาพร่างเปรอะเปื้อนเลือดสดๆ เป็นที่น่าสลดใจอย่างยิ่ง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้าเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ว่าหน่วยกู้ภัยเลบานอนที่ยังค้นหาร่างผู้เสียชีวิตที่ติดในซากตึกที่พังพินาศอย่างไม่ลดละ ได้ปรับยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 137 คน และอาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หลังพบว่ามีผู้สูญหายอีกเป็นหลายร้อยคนหรือมากกว่านั้น ขณะที่ยอดผู้บาดเจ็บเพิ่มเป็น 5,000 คน ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วกรุงเบรุตอยู่ในสภาพโกลาหล เจ้าหน้าที่ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บทั้งพวกสาหัสและไม่สาหัส ส่วนนายมาร์วัน อาบูด ผู้ว่าการกรุงเบรุต ได้ออกแถลงการณ์ขอความช่วยเหลือว่าชาวเมืองต้องการอาหาร เสื้อผ้า วัสดุก่อสร้างซ่อมแซม ไปจนถึงสถานที่พักพิงแก่คนไร้บ้านที่มีจำนวนมากกว่า 300,000 คนและอาจเพิ่มขึ้น

แหล่งข่าวในรัฐบาลเลบานอนเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า สาเหตุของเพลิงไหม้โกดังเก็บแอมโมเนียม ไนเตรทครั้งนี้ อาจเกิดจากประกายไฟของอุปกรณ์เชื่อมเหล็กก่อสร้างในบริเวณใกล้เคียง มิใช่เป็นเหตุจงใจ อย่างที่โซเชียลมีเดียตั้งคำถามสงสัยว่าเป็นการโจมตีด้วยจรวดมิสไซล์ เนื่องจากก่อนเกิดเพลิงไหม้ ได้มีผู้พบเห็นโดรนบินอยู่ในพื้นที่ หรือที่โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า อยู่ระหว่างรวบรวมข่าวกรองเพิ่มเติม แต่ไม่ตัดความเป็นไปได้เรื่องการถูกโจมตี

ส่วนสภากลาโหมสูงสุดของเลบานอน ออกแถลงการณ์ว่า เหตุการณ์สุดสลดใจที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องรับไม่ได้ เพราะจากข้อมูลพบว่าสารแอมโมเนียม ไนเตรท ถูกยึดจากเรือสินค้าและนำมาเก็บไว้ในโกดังตั้งแต่เมื่อ 6 ปีก่อน ด้วยเหตุนี้ กระทรวงมหาดไทยเลบานอนจึงมีคำสั่งให้จับกุมเจ้าหน้าที่การท่าเรือทั้งหมด ที่มีส่วนพัวพันกับเอกสารการเก็บสารแอมโมเนียม ไนเตรท ตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2557 เป็นต้นไป เพื่อสอบสวนหาผู้รับผิดชอบ และลงโทษสูงสุด

ขณะเดียวกันสื่อท้องถิ่นเลบานอนรายงานอ้างการเปิดเผยของนายฮัสซาน โคเรย์เทม ผู้อำนวยการการท่าเรือเลบานอน ว่าทางการท่ามิได้ปล่อยปละละเลย ได้ส่งเรื่องไปยังศาลยุติธรรมหลายครั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำสารแอมโมเนียม ไนเตรท 2,750 ตันไปขายต่อหรือส่งออก แต่คำสั่งศาลครั้งแรกสุดได้สั่งให้เก็บไว้ในโกดังตามเดิม ตนเห็นตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นเรื่องอันตราย แต่ไม่คิดว่าจะถึงระดับนี้ ทั้งนี้ สื่อท้องถิ่นมิได้ระบุว่า นายโคเรย์เทม จะถูกจับกุมด้วยหรือไม่

ต่อมากลุ่มสิทธิมนุษยชนฮิวแมน ไรท์ วอตช์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลเลบานอน ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนเหตุระเบิดสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่มั่นใจระบบยุติธรรมของเลบานอนว่ามีความโปร่งใส และความน่าเชื่อถือที่เพียงพอ ขณะที่ ธนาคารกลางเลบานอนระบุว่าประเทศมีศักยภาพทางการเงินไม่เพียงพอที่จะฟื้นตัวจากผลกระทบครั้งนี้และจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากต่างประเทศ เป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ขณะเดียวกัน ในเหตุการณ์ดังกล่าว มีคนไทยได้รับบาดเจ็บ 2 ราย โดยนางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะโฆษกกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า น.ต.วิทวัส กู้ประเสริฐ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) รายงานมาว่า จากเหตุระเบิดในกรุงเบรุต มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บ 2 ราย คือ นายวีรยุทธ์ บุญรักษ์ กุ๊กอาหารญี่ปุ่นร้าน Ginger & Co ในกรุงเบรุต ถูกกระจกบาดตามตัวและศีรษะกระแทกกับฝ้าเพดาน กับนายชนธัช ทันยศศักดิ์ ช่างจิวเวลรี่ โดนเศษกระจกบาดมือและมีอาการหูอื้อ หลังเกิดเหตุทั้งสองคนได้รับการทำแผลและพักรักษาตัวแล้ว สำหรับสถานการณ์ทั่วไป ทางการเลบานอนได้ประกาศให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัย สวมถุงมือเนื่องจากมีสารเคมีแอมโมเนียฟุ้งกระจายและอากาศในกรุงเบรุตมีมลพิษฟุ้งกระจาย หากสูดดมเข้าไปจะทำให้มีอาการแสบจมูกและคันตามตัว อีกทั้งต้องหาน้ำสะอาดดื่ม และมีราคาสูง

วันเดียวกัน ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ลุกลามเป็นวงกว้าง ที่ตลาดสินค้าการเกษตร ในเขตอัจมานของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี เปลวเพลิงแดงฉานลุกไหม้อย่างรุนแรง ส่งผลให้ร้านค้าในย่านนั้นที่เป็นเขตธุรกิจการค้าและตลาด ถูกทำลายมากกว่า 100 ร้าน แต่เคราะห์ดีไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต เนื่องจากตลาดดังกล่าวยังคงปิดให้บริการ ตามมาตรการสกัดกั้นไวรัสโควิด-19 เบื้องต้นทางการอยู่ระหว่างตรวจสอบหาสาเหตุว่าเพลิงลุกไหม้ได้อย่างไร


เฟซบุ๊ก-ทวิตเตอร์ ลบวิดีโอทรัมป์ อ้างมั่ว เด็กไม่ได้รับผลจากโควิด

เฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์ลงโทษนายโดนัลด์ ทรัมป์ กับทีมหาเสียงของเขา ฐานโพสต์ข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประธานาธิบดีอ้างว่า เด็กจะไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาเลย

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า เมื่อวันพุธที่ 5 ส.ค. 2563 เฟซบุ๊ก ลบคลิปวิดีโอที่นายทรัมป์ให้สัมภาษณ์กับรายการ ‘Fox and Friends’ ของสำนักข่าว ฟ็อกซ์ นิวส์ เนื่องจากมีข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตราย ต่อมา ทวิตเตอร์ ก็ประกาศระงับบัญชีผู้ใช้ทีมหาเสียงของนายทรัมป์ จนกว่าจะมีการลบคลิปเดียวกันที่ทวีตบนทวิตเตอร์

ในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าว นายทรัมป์ยืนยันว่า ตอนนี้ถึงเวลาที่จะเปิดโรงเรียนทั่วประเทศแล้ว “หากคุณมองไปที่เด็กๆ นะ เด็กน่ะเกือบไม่ได้รับผลกระทบจากโรคนี้เลย ผมเกือบจะพูดว่าแน่นอน ได้ด้วยซ้ำไป” “เด็กบางคนแข็งแกร่งขึ้น แม้จะเชื่อยาก ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ แต่พวกเขามีระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งกว่าที่พวกเรามี พวกเขาไม่มีปัญหาใดๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

อย่างไรก็ตาม โฆษกของเฟซบุ๊กแถลงเมื่อช่วงเย็นวันพุธว่า วิดีโอนี้มีคำกล่าวอ้างที่ไม่ถูกต้อง ว่าคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับผลจากโควิด-19 ซึ่งเป็นการละเมิดนโยบายของเรา เรื่องการให้ข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 และอาจก่อให้เกิดอันตราย

นี่นับเป็นครั้งแรกที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ยักษ์ใหญ่เจ้าหน้าที่ใช้มาตรการลบเนื้อหาที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ตามนโยบายข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฟซบุ๊กลบคอนเทนต์ที่นายทรัมป์ โพสต์บนหน้าเพจของเขา

จากนั้นในคืนวันเดียวกัน ทวิตเตอร์ ก็ระงับบัญชีผู้ใช้ ‘@TeanTrump’ ของทีมหาเสียงของนายทรัมป์ เพราะโพสต์คลิปวิดีโอการสัมภาษณ์เดียวกันนี้ ก่อนที่บัญชีทวิตเตอร์ของนายทรัมป์ จะแชร์โพสต์นี้ต่ออีกทอดหนึ่งโฆษกของค่ายนกสีฟ้า ระบุว่า ทวีตของ @TeanTrump ละเมิดนโยบายข้อมูลไม่ถูกต้องเกี่ยวกับโควิด-19 และผู้ใช้ต้องลบคลิปดังกล่าว ก่อนที่บัญชีจะกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง ซึ่งคลิปถูกลบไปในเวลาต่อมา

เมื่อเดือนก่อน ทวิตเตอร์เพิ่งระงับบัญชีของนาย โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เนื่องจากแชร์คลิปวิดีโอสนับสนุนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา กับยาไฮดร็อกซีคลอโรควิน แต่ในเดือนมีนาคม อีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทสลา ก็ทวีตข้อความบอกว่า เด็กไม่ได้รับผลจากไวรัสโคโรนา แต่ทวิตเตอร์กลับระบุว่าไม่ผิดกฎของพวกเขาแต่อย่างใด

ทั้งนี้ เด็กๆ สามารถติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และส่งผ่านเชื้อไวรัสได้ แต่มีโอกาสต่ำมากที่เชื้อจะก่อให้เกิดดอาการป่วย ขณะที่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะผู้สูงอายุ มีโอกาสที่จะป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนสูงกว่า

ผลวิจัยขนาดใหญ่ที่สุดที่มีการจัดทำมาจนถึงตอนนี้ ซึ่งศึกษาคนไข้โรงพยาบาลในสหราชอาณาจักรมากกว่า 55,000 คน พบว่า มีผู้ป่วยเพียง 0.8% ที่เป็นคนอายุต่ำกว่า 19 ปี และครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มนี้ที่ต้องเข้าห้องไอซียู เป็นคนอายุ 60 ปีหรือมากกว่า

ด้านทีมวิจัยของสหรัฐฯ ศึกษาเด็กที่ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 7,780 คนใน 26 ประเทศ พบกว่า เกือบ 1 ใน 5 ไม่แสดงอาการป่วยเลย อีก 1 ใน 5 เกิดความผิดปกติที่ปอดในระหว่างการติดเชื้อ ขณะที่ 3.3% (ราว 256 คน) ต้องเข้าห้องไอซียู และเสียชีวิต 7 ราย


สลด อินเดียชาติที่ 3 ของโลก ติดโควิดทะลุ 2 ล้านราย ดับ 4 หมื่นศพ

อินเดียมียอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศมากกว่า 2 ล้านรายแล้ว หลังจากรายงานพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 62,000 รายในวันเดียวกัน

สำนักข่าว บีบีซี รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของประเทศอินเดีย เปิดเผยในวันพฤหัสบดีที่ 6 ส.ค. 2563 ว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ถึง 62,170 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมในประเทศเพิ่มเป็น 2,025,409 รายแล้ว

อินเดียนับเป็นชาติที่ 3 ของโลกต่อจากสหรัฐฯ กับบราซิล ที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาทะลุ 2 ล้านราย โดยพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านคนภายในเวลาเพียง 20 วันเท่านั้น เร็วกว่าประเทศใดในโลก หลังจากพวกเขาขยายขอบเขตการตรวจโรคให้กว้างขึ้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน อินเดียรายงานพบผู้เสียชีวิตจากไวรัสชนิดนี้ที่ราว 40,700 ศพ สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก แต่ถือว่าเป็นอัตราที่ต่ำ หากเทียบกับจำนวนประชากรอินเดียที่มีถึง 1.3 พันล้านคน และด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอินเดียจึงทยอยเปิดประเทศมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน แม้อัตราการติดเชื้อจะยังคงเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียถูกผู้เชี่ยวชาญกล่าวหาว่า นับจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ต่ำกว่าความมเป็นจริง จากหลายเหตุผล ทั้งความล่าช้าในการรายงาน ไปจนถึงกฎการจำแนกว่าผู้เสียชีวิตรายใด ตายเพราะไวรัสโคโรนา เป็นต้น

“ดอน” ผงาดควบรองนายก คณะรัฐมนตรีตู่ 2/2 คลอดโผพลิกนิดๆ

โปรดเกล้าฯ ครม.ประยุทธ์ 2/2 “ดอน” ผงาดนั่งรองนายกฯควบ รมว.ต่างประเทศ คาดช่วยแบ่งเบา บินถกต่างประเทศแทนนายกฯ “สุพัฒนพงษ์” พลิกล็อกเล็กๆ นั่งเก้าอี้ใหญ่ รองนายกฯควบ รมว.พลังงาน “ปรีดี” รับหน้าเสื่อขุนคลัง ภาคเอกชนขานรับ ส.อ.ท.จี้ตั้งทีมฟื้นฟูเศรษฐกิจแบบ ศบค.สู้โควิด หอการค้ากระตุกเร่งช่วยเอสเอ็มอี แก้คนว่างงาน “บิ๊กแดง” เปรยไม่ได้เอ่ยชื่อใครทำไมร้อนตัว “โรม” งัดรายการซื้ออาวุธ แฉความรักชาติสไตล์ ผบ.ทบ. ซัดกองทัพผลาญภาษีท่ามกลางวิกฤติ “เก่ง” ฉะอภิสิทธิ์ชนในเครื่องแบบ พ่นวาทกรรมราดน้ำมันเข้ากองไฟ ม็อบอาชีวะ 2 ขั้วเคลื่อนพล “อาชีวะช่วยชาติ” ผนึก “กลุ่มเชียร์ลุง” ชุมนุมเครือข่ายป้องสถาบัน 12 ส.ค. ด้าน “อาชีวะปกป้อง ปชต.” จัดรวมพลังคนอาชีวะขับไล่เผด็จการ 10 ส.ค. ลูกพระจอมฯรวมสายช่างแนวหน้าม็อบ นศ.

มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ครม.ประยุทธ์ 2/2 แล้ว โดยมีการพลิกโผเล็กน้อยเมื่อนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ขณะที่นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกและ รมว.พลังงาน

“บิ๊กตู่” ปาฐกถาพลิกฟื้นประเทศไทย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ส.ค. ที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ได้ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “พลิกฟื้นประเทศไทย:ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง” ในงานครบรอบ 74 ปี หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ตอนหนึ่งว่า วันนี้มีหลายอย่างที่เราต้องพลิกฟื้นประเทศ คาดอีก 2 หรือ 3 ปี กว่าทุกอย่างจะกลับมาฟื้นฟูเข้มแข็งได้ จึงต้องหาวิธีการแก้ไขปัญหา ปัญหาที่เกิดขึ้นก่อนตนจะเข้ามารับหน้าที่นายกฯ เราจะกลับไปสู่ที่เก่ากันหรือ วันนี้เราได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่ายเป็นอย่างดี อีกทั้งประเทศไทยก็มีความพร้อม ขอเพียงอย่างเดียวประเทศเราจะต้องมีเสถียรภาพ อย่าให้มีวุ่นวาย ไม่เช่นนั้นนักธุรกิจและนักลงทุนจะรู้สึกไม่ปลอดภัยมาลงทุน ไม่เกิดความเชื่อมั่น จำเป็นต้องทำให้ทุกอย่างเรียบร้อย สงบลง ความมั่นคงก็ต้องเรียบร้อยมีเสถียรภาพ นั่นคือสิ่งที่พยายามทำมาตลอดและจะทำต่อไป เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว ถ้าไปขัดแย้ง ถ้าล้มอีกเริ่มใหม่ทุกอย่างก็กลับไปที่เดิม ตนก็ช่วยไม่ได้อีกแล้ว ต้องช่วยกันคิดว่าประเทศชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อยู่ตรงไหน กฎหมายอยู่ตรงไหน รวมทั้งฝ่ายตุลาการนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร 3 อำนาจก้าวล่วงกันไม่ได้

บอกสบายใจทูลเกล้าฯ ครม.ใหม่

ต่อมาเวลา 11.10 น. พล.อ.ประยุทธ์เปิดเผยถึงความคืบหน้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ว่า ส่งไปแล้ว พร้อมย้อนถามว่า “วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว” ผู้สื่อข่าวตอบว่าวันที่ 6 ส.ค. นายกฯจึงกล่าวว่า“เดี๋ยวก็รู้ เมื่อรู้แล้วก็จะมีกำหนดเวลาเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณ ผมบอกแล้วว่าไม่เกินต้น ส.ค.นี่แหละ สบายใจแล้วกัน จะได้ทำงานกันได้” เมื่อถามย้ำว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อยทั้งหมดและไม่เกิดปัญหาอะไรใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ก็เรียบร้อยสิ จะเกิดปัญหาอะไร จะเกิดตรงไหน

โปรดเกล้าฯ ครม.ประยุทธ์ 2/2

ต่อมาเมื่อเวลา 13.40 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งรัฐมนตรี ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 9 มิถุนายน พุทธศักราช 2562 แล้ว และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดิน ตามประกาศลงวันที่ 10 กรกฎาคม พุทธศักราช 2562 นั้น

บัดนี้นายกฯได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกบางตำแหน่ง สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างและเพิ่มเติมบางตำแหน่ง เพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี ดังต่อไปนี้

“ดอน” ผงาดรองนายกฯควบ รมว.กต.

นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เป็นรองนายกรัฐมนตรี อีกตำแหน่งหนึ่งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน นายอนุชา นาคาศัย เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายปรีดี ดาวฉาย เป็น รมว.คลัง นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็น รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็น รมว.แรงงาน นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็น รมช.แรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประกาศ ณวันที่ 5 สิงหาคม พุทธศักราช 2563 เป็นปีที่ 5 ในรัชกาลปัจจุบัน ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

คนนอก 2 คนเพิ่มรองนายกฯเป็น 6 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ครม.ประยุทธ์ 2/2 มีรายการพลิกโผเล็กน้อยโดยได้เพิ่มตำแหน่งรองนายกฯขึ้นมาอีก 1 ตำแหน่งจากเดิม ครม.ประยุทธ์ 2/1 มีรองนายกฯ 5 คน รวมเป็น 6 คน โดยนายดอน รมว.ต่างประเทศไปนั่งควบรองนายกฯอีกตำแหน่ง ทำให้ปัจจุบันมีรองนายกฯประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ นายสุพัฒนพงษ์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข ขณะที่ 2 คนนอกคือนายสุพัฒนพงษ์กับนายปรีดี มีการขยับจากโผเดิมที่มีการคาดหมายว่านายปรีดีเป็นรองนายกฯและ รมว.คลัง แต่ท้ายสุดเปลี่ยนให้นายสุพัฒนพงษ์ มาเป็นรองนายกฯและ รมว.พลังงาน ส่วนนายอนุชา นายสุชาติ นายเอนกและนางนฤมลเป็นไปตามโผ โดย ครม.ประยุทธ์ 2/2 ได้แต่งตั้งครบ 36 คน 41 ตำแหน่ง

คาด “ดอน” บินประชุม ตปท.แทนผู้นำ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่า ในการประชุม ครม.วันอังคารที่ 11 ส.ค. รัฐมนตรีใหม่หากยังไม่ถวายสัตย์ปฏิญาณก็ยังเข้าไม่ได้ นายกฯต้องทำหนังสือขอเข้าเฝ้าฯก่อน ถึงจะได้คำตอบว่าจะถวายสัตย์ฯเมื่อใด ส่วนเหตุผลการแต่งตั้งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศควบรองนายกฯ ไม่ทราบ อยากให้ถามนายกฯ แต่ถ้าให้เดา มีหลายเรื่องที่ต้องเดินทางและทำแทนนายกฯ ที่ผ่านมานายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯเดินทางไปทำหน้าที่ในนามนายกฯ นายดอนคงทำหน้าที่ดังกล่าวแทน ภารกิจที่นายกฯต้องเดินทางไปต่างประเทศมีมาก จะมอบหมายรัฐมนตรีไม่ได้ รมว.ต่างประเทศต้องไปประชุมระดับรัฐมนตรีอยู่แล้ว เมื่อแต่งตั้งเป็นรองนายกฯจะสามารถประชุมแทนนายกฯได้ด้วย

เหล่า รมต.สำนึกพระมหากรุณาธิคุณ

เมื่อเวลา 14.56 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะ รมว.แรงงาน โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว “สุชาติ ชมกลิ่น” ภายหลังมีพระบรม ราชโองการแต่งตั้งเป็น รมว.แรงงานว่า นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้กระผม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระผมและครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เป็นล้นพ้นและจะขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น จากนี้ไปจะทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองและประชาชนให้มากที่สุด จะทำดีที่สุดด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยังให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็นอะไรไม่ได้ ต้องรอกระบวนการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ก่อน และต้องรอการมอบหมายงานที่ต้องรับผิดชอบด้วย

ด้านนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กว่า ในวาระที่พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าพระพุทธเจ้าดำรงตำแหน่ง รมช.แรงงาน รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยจะน้อมนำแนวทางพระราชดำริมาปรับใช้ในการปฏิบัติงานต่อไป

ครม.ตู่ 2/2 ถ่ายรูปร่วมกัน 13 ส.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า การประชุม ครม.สัปดาห์หน้าในวันที่ 11 ส.ค.จะเลื่อนไปประชุมวันที่ 13 ส.ค. เนื่องจากรัฐมนตรีใหม่ต้องเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ ก่อนปฏิบัติหน้าที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้แจ้งรัฐมนตรีทุกคนทราบแล้ว ก่อนการประชุม ครม.วันที่ 13 ส.ค.ให้ ครม.สวมชุดปกติขาวเพื่อถ่ายภาพหมู่ร่วมกันที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า โดยหลังถ่ายภาพร่วมกันแล้ว ครม.จะสวมชุดผ้าไหมไทยเข้าร่วมประชุม ครม. ที่ตึกสันติไมตรีหลังนอก เนื่องจากยังต้องเว้นระยะห่างการนั่ง ตามมาตรการกระทรวง สธ.และในการประชุม ครม.นัดแรกมีรายงานว่าจะมีโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาทำหน้าที่แถลงข่าวครั้งแรกด้วย

“อนุชา” รับสนใจเก้าอี้โฆษกรัฐบาล

นายอนุชา บูรพชัยศรี เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการและอดีต ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวว่าจะมาเป็นโฆษกประจำสำนักนายกฯ ว่า ยังไม่มีอะไรคงต้องดูนายกฯ ว่าจะเสนอใคร หากนายกฯ มาทาบทามตนก็สนใจ แต่สุดท้ายก็ไม่รู้ ให้ทำงานตรงไหน เราเป็นคนไม่ปฏิเสธเรื่องงาน ถ้าผู้ใหญ่มองว่าทำได้เราพร้อมทำตามที่มอบหมาย

เอกชนจี้ตั้งทีมฟื้นฟู ศก.แบบ ศบค.

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า รายชื่อทีมเศรษฐกิจคือนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯและ รมว.พลังงาน นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง ทราบกันมา แล้วจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นให้ภาคเอกชนได้ เนื่องจากเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์การทำงานภาคเอกชน เชื่อว่าจะเข้าใจปัญหาเศรษฐกิจที่ต้องการฟื้นฟูเร่งด่วน งานเร่งด่วนที่ต้องการให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ทำทันที คือตั้งคณะทำงานฟื้นฟูเศรษฐกิจ เหมือนกับ ศบค.ที่มีหน่วยงานรัฐ และเอกชนเข้าร่วม เพื่อให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปัญหาปากท้องประชาชน และการขาดสภาพคล่องของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

หอการค้ากระตุกช่วยเอสเอ็มอีแก้ตกงาน

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้า ไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจ ครม.ชุดใหม่ ถือว่าเป็นที่ยอมรับในภาคเอกชนและหอการค้าไทย เคยทำงานร่วมกันมาก่อนทั้งนายสุพัฒนพงษ์ และนายปรีดี เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับ ส่วนนายดอนควบรองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศเป็นที่รู้จักในภาคเอกชนอย่างดี ส่วนคนอื่นยังไม่รู้จัก คงต้องให้เวลาพิสูจน์ฝีมือ ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าฯ กล่าวว่า สิ่งที่ ครม.ใหม่ต้องเร่งทำคือ ช่วยเหลือสภาพคล่องเอสเอ็มอี ก่อนเดือน ต.ค.ที่มาตรการผ่อนผันการชำระหนี้จะหมดลง กระตุ้นเศรษฐกิจภายในโดยเฉพาะการสร้างงาน รัฐบาลต้องเร่งโครงการลงทุนต่างๆ อยากให้ต่อมาตรการพักชำระหนี้และมาตรการช่วยเหลือคนว่างงานออกไปอีก

ขณะที่นายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบหนักจากเศรษฐกิจโลกและโควิด-19 นโยบายเร่งด่วนคือ 1.แก้ปัญหาการส่งออกและเงินบาทแข็งค่า 2.การท่องเที่ยวที่อาศัยนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก หากจะเปิดประเทศต้องรอบคอบต่อการระบาดของโควิด และ 3.เอสเอ็มอี ที่มีปัญหาสภาพคล่อง รวมทั้งการว่างงาน

“วิษณุ” ย้ำแก้ รธน.ไม่ทันสมัยประชุมนี้

อีกเรื่อง ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เห็นชอบให้แก้รัฐธรรมนูญมาตรา 256 ว่าต้องทำประชามติใช้งบฯ 3,000 ล้านบาท การแก้รัฐธรรมนูญแก้ได้ 2 อย่าง 1.แก้เป็นรายมาตราไม่เกี่ยวกับหมวด 1 หมวด 2 หมวด 15 และ เรื่องการแก้ไขคุณสมบัติและอำนาจองค์กรอิสระ เช่น แก้บทเฉพาะกาลที่แก้ไม่ให้ ส.ว. มีอำนาจเลือกนายกฯ แก้ไขวิธีการเลือกตั้ง จะใช้บัตรเลือกตั้ง 1 ใบ หรือ 2 ใบ กระบวนการแก้ไขเดินตามมาตรา 256 นำเข้ารัฐสภาผ่านวาระ 1-3 หากมีผู้สงสัยส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการให้เสร็จภายใน 1 เดือน ถ้าไม่สงสัยไม่ต้องส่งจากนั้นจึงนำขึ้นทูลเกล้าฯประกาศใช้ได้ทันที 2.ถ้าแก้หมวด 1 เรื่องทั่วไป หมวด 2 เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ หรือหมวด 15 เกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมทั้งแก้คุณสมบัติลักษณะต้องห้ามและอำนาจหน้าที่องค์กรอิสระ การทำประชามติยุ่งยากอยู่เพราะยังไม่มีกฎหมายนี้รองรับ ต้องใช้เวลาออกกฎหมาย ถ้าแก้แบบที่ 2 ต้องทำประชามติ หากเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญคงไม่ทันสมัยประชุมนี้ ยังมีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 และกฎหมายการทำประชามติ อย่างน้อยต้องมีการลงประชามติถึง 2 ครั้ง ถ้าจำเป็นจะเสียก็ต้องเสียไม่มีปัญหา

แย้มรัฐบาลก็มีธงในใจแก้ รธน.

นายวิษณุกล่าวต่อว่าข้อเสนอของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ประธาน กมธ.ศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่ได้ส่งมา รัฐบาลก็รออยู่ นายกฯพูดกับ ครม.ว่าอยากให้รอ เพื่อจะได้รู้ว่าจะแก้เป็นรายมาตราหรือแก้ไขทั้งหมด ตอนนี้รัฐบาลมีความคิดอยู่แล้วว่าจะทำอะไรในส่วนเหล่านี้ ขอให้รอฟังเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ตอนนี้ฝ่ายค้านจะแก้อย่างหนึ่ง พรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคไม่ได้คิดเหมือนกันหมด ขณะที่ ส.ว.คิดจะแก้เหมือนกัน แต่เมื่อเข้าไปในที่ประชุมรัฐสภา ต้องใช้เสียง 2 สภา ต้องโหวตให้ได้เกินกึ่งหนึ่งคือ 375 คน แต่ไม่สำคัญเท่ากับเสียง ส.ว. 250 คน ที่ต้องเห็นชอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 1 ใน 3 หรือ 84 คน เมื่อไปถึงในการพิจารณาวาระ 3 จะไปย้อนนับเสียง ส.ส.ฝ่ายค้านที่ต้องมีเสียงเห็นชอบตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดด้วย จึงจะผ่านวาระ 3 เข้าสู่กระบวนการต่อไป จึงต้องตกลงทำความเข้าใจกันให้ดีก่อน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในสภาฯ อยู่ระหว่างพูดคุยกัน กมธ.ชุดของนายพีระพันธุ์จะช่วยได้ ซึ่งนายกฯไม่จำเป็นต้องยืนตามความเห็นของ กมธ. นายกฯเพียงอยากทราบว่าจะแก้ประเด็นอะไรบ้าง ถ้าถามใจรัฐบาลก็ต้องบอกว่ารัฐบาลก็มีธงอยู่แล้วว่าอยากจะแก้อะไร ที่วิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่อยากให้ตั้ง ส.ส.ร. ไม่อยากให้ไปแก้ที่มา ส.ว.นั้นไม่จริง ใครพูด รัฐบาลไม่เคยพูด พรรคร่วมรัฐบาลที่เห็นบ่นๆ อยากให้แก้ไขมีหลายเรื่อง เช่น มาตรา 144 การร่าง พ.ร.บ.งบฯเสียงที่คิดอยากให้แก้มาตรานี้มีท่วมท้น

พปชร.อู้อี้รอรายงาน กมธ.ก่อน

เมื่อเวลา 13.10 น.ที่รัฐสภา น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส.กทม.และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงข้อเรียกร้องของนักศึกษาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 60 ว่า พรรคยืนยันว่าสิ่งใดที่ทำแล้วจะเกิดประโยชน์กับประชาชนเราพร้อมมุ่งมั่นดำเนินการ การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องรอรายงานผลการศึกษาของคณะ กมธ.วิสามัญศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของสภาแล้ว จึงจะนำหารือว่าแนวทางจะแก้แบบรายมาตราหรือแก้ไขทั้งฉบับ โดยให้ตั้ง ส.ส.ร. ต้องนำรายงานของคณะ กมธ.ฯหารือกับวิปรัฐบาลด้วย เพราะเป็นเรื่องใหญ่ ต้องใช้เวลาพิจารณาละเอียดรอบคอบ ข้อเรียกร้องยกเลิก ส.ว.พรรคยังไม่ได้หารือกัน แต่เชื่อว่า ส.ว.ทำหน้าที่ไปตามกลไกอยู่แล้ว

“นพดล” ชี้คนไทยรอวัดใจพรรคร่วม รบ.

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจมี 3 แนวทางคือ 1.แก้วิธีการแก้รัฐธรรมนูญหรือแก้มาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ กลับมาใช้เกณฑ์เสียงข้างมากของรัฐสภา 2.แก้รายมาตรา และ 3.แก้ให้มีตัวแทนประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญในรูปสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร.มี กมธ.วิสามัญของสภาและหลายพรรค รวมทั้งเพื่อไทยเสนอแนวทางนี้ คนไทยกำลังรอติดตามว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะเลือกแนวทางใดบ้าง หรือจะเสนอแนวทางแรกคือแก้ไขเฉพาะมาตรา 256 จะทำให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้นอย่างไร

“บิ๊กแดง” บอกไม่ได้เอ่ยชื่อ ทำไมร้อนตัว

สำหรับกรณีที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.ได้พูดกับนักเรียนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าชั้นปีที่ 4 และ 5 ในวันที่ไปร่วมงานวันพระราชทานกำเนิดโรงเรียนนายร้อยพระจุลเกล้า ครบรอบ 133 ปี เมื่อวันที่ 5 ส.ค.ว่า โรคโควิด-19 เป็นแล้วหาย รักษาได้ แต่โรคที่เป็นแล้วไม่หายคือโรคชังชาติ ไม่สำนึกบุญคุณแผ่นดินเกิด จนถูกฝ่ายประชาธิปไตยตอบโต้กลับมาอย่างดุเดือดนั้น วันเดียวกัน แหล่งข่าวคนใกล้ชิด พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.เปิดเผยว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้พูดกับคนใกล้ชิดว่าไม่ได้เอ่ยชื่อใคร แต่พูดถึงโรคทำไมต้องร้อนตัว

“โรม” แฉความรักชาติสไตล์ “บิ๊กแดง”

นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กเปิดเอกสารจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ในส่วนของกรมสรรพาวุธทหารบก ลงวันที่ 5 ส.ค.2563 ระบุว่า มาดูตัวอย่างความรักชาติในสไตล์ ผบ.ทบ.กัน เมื่อวันที่ 5 ส.ค.วันเดียวกับ ผบ.ทบ.เอ่ยวาทกรรมโรคชังชาติรักษาไม่หาย ทบ.โดยกรมสรรพาวุธทหารบก ได้ออกประกาศเผยแพร่แผนการจัดซื้อจัดจ้างประจำปีงบฯ 63 มีรายการปืนใหญ่พร้อมอุปกรณ์ 2 รายการวงเงิน 834.4 ล้านบาท หรือย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 ก.ค. เพิ่งประกาศแผนจัดซื้อกระสุนปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 2 รายการ 249.9 ล้านบาท ถ้ายังจำกันได้ก่อนหน้านี้ มีรายการจัดซื้อยานเกราะล้อยาง 4,515 ล้านบาท ซื้อเครื่องบิน VIP 1,348.5 ล้านบาท ยังไม่นับว่ามีรายการอาวุธยิบๆย่อยๆหลักสิบล้านอีกหลายรายการ หรือว่านี่คือการแสดงออกถึงความรักชาติบ้านเมือง ความสำนึกบุญคุณแผ่นดินเกิดในแบบที่ พล.อ.อภิรัชต์ชอบกระทำ แม้กระทั่งเวลา บ้านเมืองมีสถานการณ์ปัญหาให้ต้องแก้ไขเร่งด่วน แต่กองทัพยังมีอารมณ์หาซื้ออาวุธใหม่ๆมาประดับค่ายไม่หยุดหย่อน

เฉ่ง ปท.วิกฤติยังผลาญภาษีซื้ออาวุธบาน

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ประชาชนเขาไม่ได้ชังชาติหรอกแต่เพราะมีบางคนบางกลุ่มที่ยึดกุมอำนาจอยู่ในองค์กร หน่วยงาน สถาบันต่างๆของชาติ แล้วประพฤติปฏิบัติตนได้น่ารังเกียจชิงชังเป็นอย่างยิ่ง แถมยังชอบผูกขาดความรักชาติ ชอบแอบอ้างว่าตัวเองคือชาติที่ประชาชนจะต้องมารัก คนพวกนี้แหละที่ทำให้ประชาชนสิ้นหวังต่อประเทศมากขึ้นทุกทีๆ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เรื่องราวอันน่าชังที่เกิดขึ้นในกองทัพยังมีอีกมากมาย จะได้หยิบยกขึ้นมากล่าวถึงในภายภาคหน้า พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมจับตาการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์และงบต่างๆ ของกองทัพเพราะเม็ดเงินทุกเม็ดคือหยาดเหงื่อและคราบน้ำตาจากภาษีประชาชน

ฉะพ่นวาทกรรมราดน้ำมันเข้ากองไฟ

นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การพูดเช่นนี้พูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น ยกตนข่มท่านกลุ่มตัวเองเท่านั้นที่วิเศษกว่า รักชาติมากกว่าคนอื่น ผูกขาดความรักชาติไว้แต่พวกตัวเองซึ่งไม่จริง ไม่เคยเห็นคนไทยคนไหนชังชาติ ชังแผ่นดิน แต่ชาวบ้านชังและเกลียดคือไอ้พวกใส่เครื่องแบบทำตัวเป็นอภิสิทธิ์ชน ไปไหนมาไหนต้องมีรถนำ บอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลัง ถ้าอยากรู้ว่าชาวบ้านรักหรือเกลียดลองไปเดินตลาดคนเดียว จะได้รู้เรื่องจริงว่าชังชาติหรือชังใคร ไม่อยากให้ ผบ.ทบ. มีความคิดแตกแยก แบ่งเขาแบ่งเรา พูดโดยไม่คิดแบบนี้ อาจยั่วยุ ขยายความขัดแย้ง โดยเฉพาะช่วงมีการชุมนุมทางการเมืองเรียกร้องประชาธิปไตย น้ำผึ้งหยดเดียวแบบนี้เคยทำให้กองทัพออกมาปราบประชาชน สูญเสียยิ่งใหญ่มาแล้วในอดีต ผู้บริหารทุกคนในกองทัพว่าอย่าเป็นเงื่อนไขสร้างความขัดแย้งเสียเอง การสร้างวาทกรรมชังชาติคือการราดน้ำมันเข้ากองไฟ ไม่เกิดประโยชน์เลยแม้แต่น้อย ถ้าทำไม่ได้ควรพิจารณาตัวเองว่าวันนี้ทำงานคุ้มค่ากับภาษีประชาชนที่จ่ายให้หรือไม่

“Genกล้า” ชง 5 ข้อให้ กมธ.รับฟัง นศ.

ที่รัฐสภา นายภราดร ปริศนานันทกุล ในฐานะประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณามีมติให้รับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต นักศึกษาเยาวชน และประชาชน สภาฯรับหนังสือจากนายอัครชัย ชัยมณีการเกษ ประธานคน GEN กล้า รุ่นที่ 1 ของพรรค กล้า ขอให้พิจารณาให้ผู้แทนเยาวชนเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นต่อคณะ กมธ. เพื่อนำเสนอนโยบาย 5 ข้อ 1.ทำไม Startups ยังไม่มี Unicom พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่มาจากการขาดการสนับสนุนอย่างเข้มข้นของภาครัฐ 2.การศึกษาเท่าเทียม 3.ปัญหาแรงงานไทยกับสิทธิมนุษยชน สวัสดิการและโอกาส 4.แผนนำเสนอ “เลือกตั้งผู้ว่าฯ” ชูศักยภาพที่แท้จริงของท้องถิ่น 5.Soft Power ว่าด้วยการนำความเป็นไทย (Thainess) มาสร้างมูลค่าสร้างรายได้ให้คนไทย นายภราดรรับว่าจะบรรจุข้อเสนอของกลุ่มเยาวชนเข้าวาระในสัปดาห์หน้า

“อาชีวะช่วยชาติ” ยกระดับป้องสถาบัน

นายทศพล มนูญญรัตน์ ศิษย์เก่ามีนบุรี โพลีเทคนิค แกนนำกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ออกแถลงการณ์ฉบับที่ 4 ผ่านเพจกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ หลังกลุ่มเยาวชนปลดแอก หรือ FREE YOUTH เปิดตัวกลุ่มใหม่ชื่อ กลุ่มประชาชนปลดแอก ประกาศนัดวันชุมนุมใหญ่ว่า ยืนยันจุดยืนเดิมไม่ขัดขวางต่อต้านการแสดงออกที่ถูกต้องตามระบอบประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มีการแอบแฝงซ่อนเร้นปลุกปั่นให้เข้าใจผิดต่อสถาบัน ตอนนี้เยาวชนปลดแอกยกระดับเป็นประชาชนปลดแอก ได้มีแกนนำและบางกลุ่มแอบแฝงปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดต่อสถาบัน อาทิ นายอานนท์ นำภา กลุ่มพลังพสกนิกรผู้มีความจงรักภักดี จึงปรากฏตัวขึ้นทั่วประเทศ รวมถึงในโซเชียลมีเดีย เช่น กลุ่มภาคีประชาชนเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คณะรักษ์นิยม พันธมิตรนักศึกษาเพื่อประชาธิปไตย ฯลฯ ต่อจากนี้กลุ่มอาชีวะช่วยชาติจะร่วมเดินทางกับทุกกลุ่มที่ปกป้องสถาบัน ให้ความรู้ข้อเท็จจริงทั่วประเทศ โดยวันที่ 12 ส.ค.กลุ่มปกป้องสถาบันจะจัดกิจกรรมที่สวนลุมพินี มีกลุ่ม “เชียร์ลุง” ที่เคยจัดกิจกรรมเดินเชียร์ลุงเมื่อวันที่ 12 ม.ค.เป็นหัวหอก

ลูกพระจอมฯระดมพลอารักขาม็อบ นศ.

อีกด้านกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “แนวร่วมอาชีวะ” นำโดยกลุ่มฟันเฟืองประชาธิปไตย อาชีวะปกป้องประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย ที่เคยเปิดตัวเข้าร่วมกับการชุมนุมที่ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ประกาศเชิญชวนกลุ่มนักเรียนอาชีวะทุกสถาบัน เข้าร่วมชุมนุม “รวมพลังคนอาชีวะขับไล่เผด็จการ” กับสหภาพนักเรียนนิสิตนักศึกษาแห่งประ เทศไทย (สนท.) ที่จะจัดขึ้นวันที่ 10 ส.ค.ที่ลานพญานาค ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เช่นเดียวกับกลุ่ม “ลูกพระจอมปกป้องประชาธิปไตย” แนวร่วมจัดชุมนุมของ ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าทั้ง 3 แห่ง ประกาศเชิญชวน นักเรียน นิสิต นักศึกษา สายช่างเทคนิค อาชีวะและเทคโนโลยี เข้าสมัครเป็นแนวหน้าประชาชนเพื่อปกป้องการชุมนุมของนักศึกษา ลักษณะเดียวกับยุค 14 ต.ค.2516

“มศว คนรุ่นเปลี่ยน” ลุยเดี่ยวบุกสภา

เมื่อเวลา 17.00 น. ที่หน้ารัฐสภา นายสิรภพ พุ่มพึ่งพุทธ ตัวแทนกลุ่ม “มศว คนรุ่นเปลี่ยน” เดินทางมาจัดกิจกรรม “มองสภาใหม่ฝันให้ไกลสร้างไม่เสร็จ” ชู 3 นิ้วต่อต้านเผด็จการ โดยนายสิรภพกล่าวว่า มาดูการก่อสร้างรัฐสภา ที่ใช้เวลายาวนานว่าจะคุ้มค่ากับภาษีประชาชนหรือไม่ จะเสียค่าโง่อีกหรือไม่ มีการขอขยายระยะเวลาการก่อสร้างหลายครั้ง จากที่ได้มองดูอาคารรัฐสภาภาพรวมสวยงามดี ตนศึกษาสถาปัตยกรรมก่อสร้างมีการอิงจากพระพุทธศาสนาที่ ส.ส.และ ส.ว.ต้องซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่รู้ว่าปฏิบัติตัวได้ตามแนวคิดดังกล่าวหรือไม่ ส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยากให้ตั้ง ส.ส.ร.ร่างใหม่แล้วยุบสภา ให้นายกฯรับฟังเสียงประชาชนหยุดคุกคาม แค่นี้พวกเราพร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และวันที่ 13 ส.ค. เวลา 17.00 น.กลุ่มจะจัดแฟลชม็อบกันที่ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

ระทึกไฟไหม้ จยย.ในทำเนียบฯ 4 คัน

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลา 00.50 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้รถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ใกล้อาคารกองรักษาการตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาล ประตู 5 ฝั่งถนนราชดำเนิน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสถานีดับเพลิงและกู้ภัยสามเสน เร่งใช้น้ำยาเคมีดับเพลิงฉีดควบคุมเพลิงจนสงบ เบื้องต้นตำรวจ สน.ดุสิตตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบรถจักรยานยนต์ถูกเพลิงไหม้เสียหาย 4 คัน ยี่ห้อฮอนด้า ซีบีอาร์ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ยี่ห้อฮอนด้า เวฟ 110 ทะเบียน ขนง 890 กรุงเทพมหานคร ยี่ห้อคาวาซากิ สมาย ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน และยี่ห้อยามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยไม่มีผู้บาดเจ็บ ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบสวนสาเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว ต่อมาเจ้าหน้าที่ทำเนียบฯชี้แจงว่า กรณีไฟไหม้รถจักรยานยนต์เกิดจากไฟฟ้าช็อตที่รถจักรยานยนต์ ฮอนด้า เวฟของตำรวจสันติบาลประจำทำเนียบฯ แล้วลุกลามไปอีก 3 คัน แต่เสียหายมาก 2 คัน อีก 2 คันเสียหายเล็กน้อย หน่วยงานได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้อีก