ข่าว
‘ต่อตระกูล’ชี้สหรัฐแบนหัวเว่ย’อาจเจ็บหนักเอง หากจีนโต้ด้วยการไม่ขาย‘แร่หายาก’

21 พ.ค. 2562 นายต่อตระกูล ยมนาค อดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว กล่าวถึงกรณีที่สหรัฐอเมริกาประกาศแบน “หัวเว่ย (Huawei)” บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีนไม่ให้ทำธุรกิจกับสหรัฐ ว่าฝ่ายจีนเองก็มีหนทางตอบโต้โดยการหยุดส่งออกแร่หายากสำหรับใช้ในการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจีนครอบครองอยู่เป็นจำนวนมากไปยังสหรัฐได้เช่นกัน ดังนี้

“จีนประกาศ จะระงับส่งออก แร่สำคัญ Rare earth metal (แรร์เอิร์ธ) ที่มีครอบครองอยู่ 90%ของโลก ไม่ส่งไปให้สหรัฐอเมริกาใช้ผลิตสินค้าไฮเทคต่างๆ ซึ่งสหรัฐเดิมนำเข้าจากจีนถึง 80% เพราะของจีนราคาถูก แถมการผลิตยุ่งยาก ไม่มีฝรั่งชาติใดรวมทั้งอเมริกาอยากจะสร้างโรงงานผลิตแม้จะมีวัตถุดิบอยู่ก็ตาม นี่จะเป็นมาตรการตอบโต้ หากจีนยังถูกบีบทางการค้า และถูกจำกัดไม่ให้จีนใช้ระบบ Android เต็มที่ในมือถือหัวเว่ยที่จีนผลิต”

“แรร์เอิร์ธ 16 ประเภทในทั้งหมด 17 ประเภท ต้องถูกนำไปใช้ในการผลิตมือถือ ตัวอย่างเช่น Terbium และ Dysprosium ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการทำจอโทรศัพท์มือถือ Neodymium ที่ต้องใช้ประกอบในการทำระบบสั่นในโทรศัพท์มือถือ และ LANTHANUM ที่ต้องใช้ทำเป็นส่วนCeramic Capacitor ในแผงวงจร คอมพิวเตอร์ Microprocessors ทุกๆชนิด ไทยเรามีเหมืองผลิตออกมาติดอันดับ 5 ของโลกเชียวนะ ( แต่ก็แค่ 1.5% ของจีนเขา)”

เรื่องราว 'ยายตุ้ม' กับภาพสุดประทับใจที่หลายคนอยากเห็น! 'ยายอยู่บนธนบัตรด้วย'

ถือเป็นภาพอีกภาพหนึ่งที่ประทับใจที่สุดและเชื่อว่าหลายคนต้องยังไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อน ภาพนี้เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ปรากฏอยู่บนหลังธนบัตรของไทยมาอย่างยาวนาน ซึ่งเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม เวลา 21.02 น. เพจ "The King of Thailand" ได้เผยแพร่เรื่องราวของภาพประวัติศาสตร์นี้ไว้อย่างน่าสนใจ

บนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินทางสามแยกชยางกูร- เรณูนคร ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม เมื่อบ่ายวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรภาคอีสานเป็นครั้งแรก

คุณยายตุ้ม จันทนิตย์ หญิงชราวัย ๑๐๒ ปี (เกิดเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๙๖) บ้านธาตุน้อย ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม ห่างจากจุดที่ทางราชการกำหนดให้เป็นจุดรับเสด็จ ประมาณ ๗๐๐ เมตร คุณยายไปรอเฝ้ารับเสด็จที่แถวหน้าสุดเพื่อให้ได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ พร้อมดอกบัวสายสีชมพู จำนวนสามดอก ตั้งแต่เช้าจนบ่าย แสงแดดแผดเผาจนดอกบัวสายในมือเหี่ยวโรย แต่หัวใจความจงรักภักดีของหญิงชรา ยังคงเบิกบาน

เมื่อในหลวงเสด็จมาถึงตรงมาที่คุณยายได้ยกดอกบัวสายโรยราสามดอกนั้นขึ้นจนเหนือศีรษะ แสดงความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงโน้มพระองค์ลงมาจนพระพักตร์เกือบชิดกับศีรษะของคุณยาย ทรงแย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยน พระหัตถ์แตะมือกร้านคล้ำของเกษตรกรชาวภาคอีสานอย่างนุ่มนวล ไม่มีใครรู้ว่าทรงกระซิบคำใดกับคุณยาย

แต่แน่นอนว่า คุณยายไม่มีวันลืมเช่นเดียวกับที่ในหลวงไม่ทรงลืมราษฎรคนสำคัญที่ทรงพบริมถนนวันนั้น

หลังจากที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ แล้ว ทางสำนักพระราชวังได้ส่งภาพรับเสด็จของคุณยายตุ้ม พร้อมพระบรมรูปหล่อด้วยปูนพาสเตอร์ ผ่านมาทางอำเภอธาตุพนมให้คุณยายตุ้มไว้เป็นที่ระลึกพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

หลังจากนั้น ๓ ปี คุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๑ หลังจากนั้นลูกหลานได้สร้างธาตุเจดีย์บรรจุอัฐิคุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ไว้ ณ หน้าบ้านเลขที่ ๒๒ หมู่ที่ ๑๑ ตำบลพระกลางทุ่ง อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ในบริเวณพื้นที่ ๒ งาน โดยยกผืนดินดังกล่าวให้เป็นที่สาธารณประโยชน์ สมบัติของแผ่นดิน

ภาพที่คุณยายตุ้ม จันทนิตย์ ทูลเกล้าฯถวายดอกบัวสามดอก ถ่ายโดยหัวหน้าช่างภาพส่วนพระองค์ อาณัติ บุนนาค ได้บันทึกภาพวินาทีสำคัญที่ถูกเรียกว่า ภาพดอกไม้แห่งหัวใจ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นภาพประวัติศาสตร์ภาพหนึ่งของประเทศไทย และเป็นภาพที่ใช้แทนคำพูดได้มากกว่าหนึ่งล้านคำ


‘เชาว์’ทิ่มอก!‘หมอวรงค์’พ่ายศึก ฟัดรู้ดีแทรกแซงเลือกหน.ปชป.

22 พ.ค. 62 นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊ก ตอบโต้นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก ที่ออกมาตอบโต้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ว่า ไม่มีคนนอกเข้ามาแทรกแซงการหยั่งเสียงเลือกหัวหน้าพรรคครั้งที่ผ่านมา รวมถึงกรณีอวดอ้างว่าหากได้บริหารพรรคผลเลือกตั้งที่ออกมาจะดีกว่านี้ โดยจั่วหัวบทความว่า "ไม้ใหญ่กับกาฝาก" มีเนื้อหาลำดับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิด ความเห็นที่แตกต่างกันภายในพรรคประชาธิปัตย์ จน ความคิดแตกเป็นสองขั้วส่งผลให้เกิดการปะทะทางความคิดกันอย่างต่อเนื่องว่า เกิดจากคนที่มีอุดมการณ์ต่างไปจากพรรคและออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่แล้ว ขณะที่กลุ่มคนที่มีความคิดเดียวกันยังคงฝังรากอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่ไม่ยอมรับการบริหารภายในพรรค และเมื่อมีโอกาสคนกลุ่มนี้ก็เสนอคนที่ตัวเองสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าพรรคมา 2 คน 2 ครั้งแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ซึ่งหากมีน้ำใจนักกีฬา และคิดว่าพรรคคือ บ้านที่เราต้องช่วยกันรักษา ทุกอย่างก็น่าจะจบ เพราะผ่านการตัดสินใจจากที่ประชุมใหญ่ของพรรคแล้ว

นายเชาว์ ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้ปัญหาไม่จบเป็น เพราะแพ้แล้วไม่ยอมแพ้ เริ่มมีการพาดพิงไปถึงผู้ใหญ่ในพรรคว่า เข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค ซึ่งถือเป็นวิธีคิดที่ประหลาดมาก เพราะคนในพรรคย่อมมีสิทธิที่จะสนับสนุนหรือผลักดันใครก็ได้ ต่อมาเมื่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ออกมาชี้แจงเหตุผล รวมถึงตั้งข้อสังเกตถึงการแทรกแซงจากภายนอก นายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลกก็ออกมาตอบโต้อีก ซึ่งเรื่องการแทรกแซงจากภายนอกจะมีหรือไม่ นายแพทย์วรงค์และพวกย่อมทราบดีอยู่แก่ใจ แต่สิ่งที่ตนเห็นว่าไม่ถูกต้องคือการกล่าวหาผู้บริหารในอดีตว่าผิดพลาดแล้วยกตัวเองว่า หากได้บริหารพรรค ผลเลือกตั้งจะออกมาดีกว่านี้ เพราะในความเป็นจริง การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกทำให้กลายเป็นการเลือกข้าง จนส่งผลกระทบต่อระบบการเมืองในระยะยาว

นายเชาว์ กล่าวว่า สิ่งที่ผู้บริหารพรรคที่ผ่านมาดำเนินการไปนั้น อยู่บนพื้นฐานของการเสนอทางเลือกใหม่ให้ประชาชนพ้นจากความขัดแย้ง บนหลักการและอุดมการณ์ที่มั่นคง ไม่ได้ยึดติดอยู่กับผลประโยชน์ระยะสั้น แต่มองไปยังอนาคตที่ควรจะเป็นของประเทศชาติ ขณะที่ตัวน.พ. วรงค์ ซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ยังพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งให้กับพรรคอนาคตใหม่ที่ประกาศชัดเจนว่าอยู่ตรงกันข้ามกับพล.อ.ประยุทธ์ สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าผลเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมามีปัจจัยหลายอย่างในแต่ละพื้นที่ที่แตกต่างกันไป และผลเลือกตั้งของน.พ. วรงค์ ย่อมเป็นตัวชี้วัดได้เองว่าเจ้าตัวจะบริหารพรรคได้ดีกว่าคนอื่นจริงหรือไม่

“ปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ผมคิดถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่ต่างชนิดกัน ซึ่งผู้อาศัยคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากผู้ให้อาศัย เช่น ต้นกาฝากที่เกาะเกี่ยวบนต้นไม้ใหญ่ ความสัมพันธ์แบบนี้หากปล่อยไปกาฝากอาจแย่งอาหารจนต้นไม้ใหญ่ถึงตายได้ ถ้าทุกคนคิดว่าประชาธิปัตย์เป็นบ้านจริง ต้องช่วยกันทำนุบำรุงบ้านหลังนี้ ไม่ใช่คอยแซะบ่อนทำลายไม่เลิก” นายเชาว์ ระบุ


กระหึ่มโลก!สื่อต่างชาติแห่ชื่นชม‘เจ้าปิงปอง’สุนัขขาพิการช่วยทารกถูกฝังทั้งเป็น

18 พ.ค. 2562 สื่อต่างประเทศหลายสำนักทึ่งวีรกรรม “เจ้าปิงปอง” สุนัขขาพิการที่ช่วยชีวิตทารกน้อยที่ถูกฝังดินทิ้งไว้ภายในไร่มันสำปะหลัง ห่างจากหมู่บ้านหนองขาม ต.ท่าลาด อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ประมาณ 1 กิโลเมตร (กม.) จนชาวบ้านที่พบได้นำเด็กส่งโรงพยาบาลชุมพวง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2562 ที่ผ่านมา และหลังจากนั้นตำรวจสามารถจับกุมหญิงวัย 15 ปีที่เป็นแม่ของทารกดังกล่าวได้

เว็บไซต์ นสพ. The Guardian ของอังกฤษ เสนอข่าว “Thailand : disabled dog rescues baby buried alive by teenage mother” ระบุว่า หญิงวัย 15 ปีผู้เป็นแม่สารภาพว่าได้ฝังลูกของตนเองทั้งเป็น จึงถูกแจ้งข้อหาพยายามฆ่า โดยตำรวจเปิดเผยว่าหญิงรายนี้อยู่ในความดูแลของนักจิตวิทยาแล้ว โดยยอมรับว่าทำไปโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา เพียงเพราะกลัวพ่อแม่ตนเองจะรู้ว่าตั้งครรภ์

นายอุสา นิสัยค้า (Usa Nisaika) อายุ 41 ปี เจ้าของสุนัขตัวดังกล่าว เล่าว่า ตนเลี้ยงเจ้าปิงปองตั้งแต่เกิด ปัจจุบันสุนัขมีอายุ 6 ปี มีครั้งหนึ่งเจ้าปิงปองถูกรถชนทำให้มันกลายเป็นสุนัขขาพิการ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นเจ้าปิงปองก็ยังช่วยงานของตนในการเป็นสุนัขต้อนวัวเข้าคอกได้เป็นอย่างดี โดยนอกจากตนแล้วคนทั้งหมู่บ้านต่างก็รักมันเช่นกัน ทั้งนี้ก่อนเกิดเหตุตนได้ยินเสียงสุนัขเห่าที่ไร่มันสำปะหลัง เมื่อเข้าไปดูจึงพบเจ้าปิงปองกำลังพยายามขุดดินซึ่งมีขาของทารกโผล่ออกมา นำไปสู่การช่วยเหลือทารกน้อยไว้ได้อย่างปาฏิหาริย์ในที่สุด

เช่นเดียวกับสำนักข่าว Fox News สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว “Hero dog saves life of newborn after teen mom buries boy alive in Thailand” ระบุว่า วีรกรรมของเจ้าปิงปองโด่งดังจาก จ.นครราชสีมา ไปทั่วประเทศไทย หลังผู้เป็นเจ้าของเดินตามเสียงเห่าของมันจนไปพบว่ามันกำลังพยายามขุดดินในจุดที่มีขาของทารกโผล่ออกมา ซึ่งเมื่อช่วยชีวิตขึ้นมาได้แล้วพบว่าทารกมีน้ำหนัก 5.2 ปอนด์ และแพทย์กล่าวว่าอาการของทารกไม่ถึงขั้นสาหัส

รวมถึงเว็บไซต์ นสพ. The Straits Times ของสิงคโปร์ เสนอข่าว “Disabled Thai dog hailed for rescuing newborn buried alive by teenage mom” อ้างคำพูดของนายอุสา ที่ระบุว่า แม้เจ้าปิงปองจะถูกรถชนจนขาพิการแต่มันก็เป็นสุนัขที่เชื่อฟังเจ้าของมาก ตนจึงตัดสินใจดูแลมันต่อไปแล้วมันก็ยังช่วยตนเลี้ยงวัวในทุ่งได้ด้วย ซึ่งวีรกรรมของเจ้าปิงปองเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก


ขนไก่ไทยลิ่ว 8 ทีมสุธีรมานคัพ 2019

การแข่งขันแบดมินตันทีมผสมชิงแชมป์โลก “สุธีรมานคัพ 2019” ที่เมืองหนานหนิงประเทศจีน เมื่อวันที่ 21 พ.ค. เป็นการแข่งขันรอบแรกทีมชาติไทย พบ ทีมชาติรัสเซีย ผลการแข่งขันในวันนี้ รอบแรกพบกันหมดในสาย 1 เอ ระหว่างทีมชาติไทย กับ ทีมชาติรัสเซีย

ผลปรากฏว่า ทีมชาติไทย ชนะ ทีมชาติรัสเซีย ไปได้ 3-2 คู่ โดยคู่แรก ประเภทชายคู่ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน/“บาส” เดชาพลพัววรานุเคราะห์ แพ้ วลาดิเมียร์ อิวานอฟ/อิวาน โซโซนอฟ คู่มือ 22 ของโลก 1-2 เกม 11-21, 21-19, 15-21, คู่ที่ 2 หญิงเดี่ยว “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือ 7 ของโลก เอาชนะ เยฟกินิยา โคเซ็ตสกายา มือ 37 ของโลก 2-0 เกม 21-7, 21-16 , คู่ที่ 3 ชายเดี่ยว “กันต์” กันตภณ หวังเจริญ มือ 18 ของโลก แพ้วลาดิเมียร์ มัลคอฟ มือ 62 ของโลก 0-2 เกม 13-21, 5-21 คู่ที่ 4 หญิงคู่ “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล/“วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มือ 9ของโลก เอาชนะ เอคาเทรินา โบโลโตวา/อาลินาดาวเลโตวา คู่มือ 24 ของโลก 2-0 เกม21-19, 21-14 และคู่ที่ 5 คู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์/“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือ 4 ของโลก เอาชนะ เยฟกินิจเดรมิน/เยฟกิเนีย ดิโมวา คู่มือ 35 ของโลก 2-0 เกม 21-10, 21-11 ซึ่งทำให้ขณะนี้ทีมชาติไทย สามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบแปดทีมสุดท้ายเป็นที่แน่นอนแล้ว

ภายหลังเกม คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูลนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันฯ เผยหลังการแข่งขันว่า “การแข่งขันในรอบน็อกเอาท์ ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ในขณะนี้ ต้องรอการจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งหลังการแข่งขันรอบแรกจบลง ฝากแฟนกีฬาชาวไทยช่วยส่งแรงใจตามเชียร์ นักกีฬาไทยให้ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง”

มหาเศรษฐีอเมริกันปลดหนี้ให้เด็กจบวิทยาลัย

แอตแลนตา (เอพี/รอยเตอร์/ซีเอ็นเอ็น) - มหาเศรษฐีชาวอเมริกันคนหนึ่งประกาศปลดหนี้ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1,275 ล้านบาท)ให้นักเรียนที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาของวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐจอร์เจียของสหรัฐ ด้านนักวิเคราะห์ชี้สะท้อนถึงวิกฤติหนี้การศึกษาที่เยาวชนอเมริกันกำลังแบกรับอยู่ทั้งประเทศ

นายโรเบิร์ต เอฟ สมิธ นักลงทุนด้านเทคโนโลยีที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับเมื่อปีก่อนให้เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่รวยที่สุดในโลกและเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 480 ของโลก ประกาศปลดหนี้ให้นักเรียนเกือบ 400 คน ที่สำเร็จการศึกษาจากมอร์เฮาส์คอลเลจ วิทยาลัยเอกชนชายล้วนในเมืองแอตแลนตาในพิธีสำเร็จการศึกษาเมื่อวันอาทิตย์ ทำให้เด็กเหล่านี้สามารถเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยโดยปลอดหนี้การศึกษา นักเรียนวัย 21 ปีคนหนึ่งเคยคำนวณว่า เขาต้องใช้เวลานานถึง 25 ปีกว่า จะคืนหนี้การศึกษา 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6.4 ล้านบาท) จนหมด

กลุ่มสิทธินักเรียนและผู้บริโภคในสหรัฐระบุว่า กรณีนี้ชี้ให้เห็นถึงวิกฤติหนี้การศึกษาที่เยาวชนอเมริกันทั่วประเทศแบกรับรวมกันเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 47.85 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นสองเท่าจากสิบปีก่อนตามข้อมูลของธนาคารกลางหรือเฟด สถานีโทรทัศน์ซีเอ็นบีซีรายงานว่า ชาวอเมริกัน 43 ล้านคน เป็นหนี้การศึกษา ยอดหนี้ขณะสำเร็จการศึกษาเฉลี่ยที่ 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 956,300 บาท) ต่อคน เพิ่มขึ้นจาก 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 318,800 บาท) ต่อคนช่วงต้นคริสต์ทศวรรษหลังปี 1990 และคาดว่าภายในปี 2565 หนี้การศึกษาจะเพิ่มเป็น 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 63.8 ล้านล้านบาท) กระทรวงการศึกษาสหรัฐระบุว่า หนี้ร้อยละ 92 กู้ยืมจากรัฐบาลกลาง ที่เหลือกู้ยืมจากเอกชน รวมถึงธนาคาร

ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่า มีหลายปัจจัยที่ทำให้หนี้การศึกษาเพิ่มขึ้น หนึ่งในนั้นคือระยะเวลาใช้หนี้ยาวนาน และวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นเพื่อแสวงหากำไรมีมากขึ้น สถาบันบรุกกิงส์ออกรายงานเมื่อปีก่อนว่า ผู้กู้เงินเพื่อการศึกษาเกือบร้อยละ 40 มีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ภายในปี 2566 ส่งผลให้ตกหลุมการเงินลึกกว่าเดิมเพราะไม่มีความน่าเชื่อถือ ไม่สามารถขอสินเชื่ออื่นๆ ได้อีก ประเด็นหนี้การศึกษาได้กลายเป็นประเด็นหลักอย่างหนึ่งของผู้สมัครชิงเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตลงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2020 หลายคนสนับสนุนข้อเสนอของ สว.เบอร์นี แซนเดอร์ส เรื่องยกเว้นค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยของรัฐ ลดดอกเบี้ยหนี้การศึกษาและให้มีการรีไฟแนนซ์หนี้การศึกษา