ข่าว
พบศพฝังดิน ไร่"พตอ." อาวุธปืนในบ้านเพียบ

ผบช.ภาค 7 นำทีมบุก ค้นไร่"พ.ต.อ."ที่ท่ายาง เพชรบุรี ใช้แบ๊กโฮขุดดินใต้กอไผ่ตามที่พยาน ให้การ ถึงผงะพบศพยัดอยู่ในถุงปุ๋ยแต่ฝังมา นานจน เหลือแต่โครงกระดูก พ่อเหยื่อเชื่อเป็นศพลูกชายเพราะจำซิปเสื้อที่อยู่กับโครงกระดูกได้ ตร.ส่งไปพิสูจน์หาดีเอ็นเอมาเทียบว่าเป็นศพใครกันแน่ นอกจากนี้ยังเจออาวุธปืนยาว-สั้นอีกถึง 42 กระบอกซุกในบ้านและรถตู้ พร้อมกระสุนจำนวนมาก ออกหมายเรียกพ.ต.อ.มาสอบปากคำทั้งกรณีพบศพในที่ดิน และอาวุธปืนที่เก็บไว้เป็นคลังแสง เผยคืนก่อนเข้าค้นพ.ต.อ.เดินทางมาจะเข้าบ้านแต่ตร.ที่เฝ้าไม่อนุญาต จนรุ่งเช้าผบช.ภาค 7 ติดต่อให้มาร่วมดูการตรวจค้นแต่สุดท้ายไม่ได้มา

จากกรณีนายสามารถ นุ่มจุ้ย และน.ส.อรษา เกิดทรัพย์ ภรรยา เจ้าของไร่สับปะรดใน อ.ท่า ยาง จ.เพชรบุรี หายตัวไปอย่างลึกลับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2552 ต่อมาตำรวจพบรถของสองผัวเมียจอดทิ้งในบ้านร้าง อ.เมืองนนทบุรี จึงรื้อคดีขึ้นมาสอบสวนโดยพบว่าก่อนเกิดเหตุมีปัญหากับพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นพ.สบ 5 กลุ่มงานเวชศาสตร์และครอบครัว ร.พ.ตำรวจ ซึ่งมีไร่อยู่ติดกัน ต่อมานายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ระบุว่าบ้านที่พบรถเป็นของมารดา ในขณะที่ตำรวจภาค 7 ได้รับเบาะแสจากพยานว่าศพ 2 ผัวเมียอาจจะถูกฝังบริเวณกอไผ่ในไร่ของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ด้านต้นสังกัดของตำรวจนายแพทย์คนดังกล่าวระบุว่าพ.ต.อ. นพ. สุพัฒน์ยื่นเรื่องขอเออร์ลี่รีไทร์ มีผลวันที่ 30 ก.ย.นี้ ส่วนตอนนี้ยื่นลาพักร้อนไม่สามารถติดต่อได้ ตามข่าวที่เสนอไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 20 ก.ย. พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบช.ภาค 7 พร้อมด้วยพล.ต.ต.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบก.สส.ภาค 7 พล.ต.ต.จุตติ ธรรมโนวานิช รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.วิรัช วัชรขจร ผบก.ภ.จว.เพชรบุรี พ.ต.อ.พิชัย ปกป้อง ผกก.สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี นำกำลังประมาณ 100 นายพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดเพชรบุรี เลขที่ 664/555 วันที่ 20 ก.ย. 2555 เข้าตรวจค้นบริเวณไร่และบริเวณบ้านพักของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลขที่ 65 และเลขที่ 225 ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เพื่อตรวจหาหลักฐานหลังมีพยานให้ข้อมูลว่าน่าจะพบเบาะแสภายในบริเวณไร่ดังกล่าว

คลังปืน - จนท.นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านพักพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ แพทย์ร.พ.ตำรวจ ใน อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี เพื่อหาหลักฐานคดีอุ้มฆ่านายสามารถ นุ่มจุ้ย กับภรรยา พบอาวุธปืนมากถึง 42 กระบอก เมื่อ 20 ก.ย.

บ้านของพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ถูกต่อเติมและเลี้ยงสัตว์ ประกอบด้วย วัว หมูป่า กวาง และม้า นับสิบตัว อยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่ไม่พบคนอยู่ภายใน ตำรวจจึงให้ผู้ใหญ่บ้านและปลัด อบต.กลัดหลวง ร่วมเป็นพยานในการตรวจค้นพร้อมติดต่อนายแก้ว คนดูแลบ้านมารับหมายและพาเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ โดยนายสว่าง นุ่มจุ้ย บิดาของนายสามารถ และนายสุธยา เกิดทรัพย์ อายุ 33 ปี พี่ชายน.ส.อรษา ได้รับอนุญาตให้เข้าไปด้วย

จุดแรกภายในบริเวณบ้านที่ตู้เก็บของพบอาวุธยาวติดลำกล้องหลายขนาด อาทิ ปืนไรเฟิล ปืนลูกซอง จำนวน 30 กระบอก วางเก็บไว้ในตู้พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก นอกจากนั้นยังพบอาวุธปืนพกสั้นหลายขนาดเก็บบรรจุอยู่ในกล่องอย่างดีวางไว้บนเบาะนั่งอยู่ในรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ฮข 3648 กรุงเทพฯ ที่จอดอยู่ในลานหน้าบ้านจำนวน 12 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนปืน จึงตรวจสอบและเก็บไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนั้นยังพบรถปิกอัพตอนครึ่ง สีเขียว 1 คัน ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เรือ 1 ลำ และรถแบ๊กโฮ สีเหลือง ยี่ห้อ JCB 1 คัน หลังตัวบ้านยังมีคอกสัตว์เลี้ยง ประกอบด้วยวัว 14 ตัว ม้า 3 ตัว หมูป่า 8 ตัว และกวาง 2 ตัว

จากนั้นตำรวจนำรถแบ๊กโครที่ได้ว่าจ้างมาเดินทางไปขุดดินบริเวณกอไผ่ขนาดใหญ่และติดกับคลองส่งน้ำขนาดเล็กกลางไร่ ซึ่งเป็นจุดที่พยานให้เบาะแสว่าเป็นที่ฝังศพนายสามารถและภรรยา โดยรถขุดตักดินอยู่เพียง 5 นาทีลึกประมาณ 2 เมตร พบถุงปุ๋ยขนาดใหญ่ฝังอยู่ 2 ใบจึงนำขึ้นมาเปิดออกดู และต้องตกตะลึงเพราะพบโครงกระดูกมนุษย์อยู่ภายใน ถุงแรกมีกะโหลกมนุษย์ สภาพเก่าและซี่โครงท่อนบนจำนวนหนึ่ง และมีซิปเสื้อติดอยู่ด้วย ส่วนถุงปุ๋ยใบที่ 2 เป็นโครงกระดูกตั้งแต่ท่อนล่างจากสะโพกถึงขา เบื้องต้นแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเพศหญิงหรือชาย แต่เท่าที่มองสภาพด้วยสายตาน่าจะเป็นศพผู้ชาย

นายสว่างกล่าวว่า โครงกระดูกที่พบน่าจะเป็นลูกชาย เพราะจำซิปเสื้อที่ลูกชายใส่ได้ ขณะที่นายสุธยาเมื่อเห็นโครงกระดูกถึงกับมีอาการเซ และร้องไห้ออกมา โดยเผยว่า เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องสาวและน้องเขย อยากให้ตำรวจเร่งตรวจสอบดีเอ็นเอว่าเป็นใครกันแน่

ตำรวจให้เจ้าหน้าที่วิทยาการตำรวจ เขต 16 เพชรบุรี เจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างสรรเพชญธรรมสถาน จ.เพชรบุรี และแพทย์ ร.พ.ท่ายาง นำโครงกระดูกที่พบไปตรวจสอบหาดีเอ็นเอ เปรียบเทียบว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร

พล.ต.ท.หาญพลกล่าวว่า ศพที่พบยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นนายสามารถ หรือน.ส. อรษา ที่หายตัวไป เพราะไม่มีหลักฐานบ่งชี้ชัด เนื่องจากศพที่พบคาดว่าเสียชีวิตมานาน ต้องรอผลจากสถาบันนิติเวชตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอเสียก่อน สำหรับการขุดพบศพตามคำให้การของพยาน ซึ่งทางตำรวจต้องขอปิดเป็นความลับ แต่เมื่อพบศพจะต้องออกหมายเรียกตัวพ.ต.อ.นพ. สุพัฒน์ เจ้าของบ้านมาสอบสวน รวมทั้งอาวุธปืนจำนวนมากที่พบในบ้านและในรถตู้ เจ้าของบ้านต้องนำหลักฐานการได้มาและครอบครองอาวุธปืนมาแสดง หากไม่มีหลักฐานมาแสดงจะมีความผิดตามกฎหมายแน่นอน

ผบช.ภาค 7 กล่าวอีกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาได้รับรายงานจากตำรวจที่มาเฝ้าบริเวณบ้านและไร่ดังกล่าวว่า พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์เดินทางมาจะเข้าบ้านและขอนำรถตู้ที่ตำรวจพบปืนซุกอยู่ออกไป แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตเนื่องจากอาจมีการเคลื่อนย้ายหรือทำลายพยานหลักฐาน กระทั่งช่วงเช้าวันนี้พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์โทรศัพท์เข้ามาหาถามว่าจะเข้าค้นบ้านวันนี้ใช่ไหม ตอบว่าใช่ ซึ่งพ.ต.อ.นพ. สุพัฒน์บอกว่าค้นได้เลยโดยไม่ต้องมีหมายค้นก็ได้ แต่ตำรวจอธิบายว่าต้องมีหมายค้นจากศาลตามกฎหมาย และเชิญพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์มาดูการตรวจค้นด้วย แต่พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ไม่ได้เดินทางมา อย่างไรก็ตามเชื่อว่าตอนนี้ยังไม่ได้หลบไปไหน

พล.ต.ท.หาญพล กล่าวอีกว่าหลังจากพบโครงกระดูกและอาวุธปืนจำนวนมากในบ้าน จึงติดต่อกับพ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ แจ้งว่าพบหลักฐานอะไรบ้าง รวมทั้งสอบถามข้อมูลในเบื้องต้น ก่อนนัดมาให้ปากคำเกี่ยวกับหลักฐานต่างๆ ที่ตำรวจพบ ในวันที่ 21 ก.ย. เวลา 10.00 น. ที่สภ.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง พร้อมให้นำทะเบียนอาวุธปืนทั้งหมดมาชี้แจงด้วย

ฟันอาญา'ผู้การแต้ม' ปปช.ชี้ประพฤติมิชอบ

กล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. แถลงฟันอาญา 'วิชัย สังข์ประไพ' หลังร่วมกันกับพวกประพฤติมิชอบใช้อำนาจหน้าที่ข่มขู่เรียกรับทรัพย์สินผู้ต้องหา 10 ล้านบาท เตรียมส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาและอัยการสูงสุดดำเนินการ...

เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ได้แถลงถึงผลการสอบสวนกรณี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ตำแหน่งในขณะนั้นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 1 กับพวกใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต จับกุมผู้ถูกกล่าวว่าและบีบบังคับให้ใช้หนี้เจ้าพนัน โดย ป.ป.ช.ได้รับเรื่องกล่าวว่า พล.ต.ต.วิชัย กับพวก ใช้อำนาจจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ แล้วต่อรองให้ผู้ถูกกล่าวหาซึ่งเป็นภรรยาของผู้ต้องหาดังกล่าวชำระหนี้การพนัน ให้แก้เจ้าหน้าที่การพนันเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท แลกเปลี่ยนกับการละเว้นไม่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา เป็นเหตุให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องยินยอมสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 10 ล้านบาท พร้อมทั้งทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้กับเจ้าหนี้การพนันดังกล่าว

โดยผลการตรวจสอบจาก ป.ป.ช.พบว่า เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2552 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว ได้จับกุมตัวผู้ถูกกล่าวหากับสามีที่ลักลอบเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ไม่ได้มอบตัวผู้ถูกกล่าวหากับสามีไปยังสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าว แต่กลับพาไปที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ที่ห้องทำงานของ พล.ต.ต.วิชัยแทน หลังจากนั้น พ.ต.ท.ศุภกฤช เดือนแจ้งรัมย์ และร.ต.ท.ทวีศักดิ์ โกษยานันท์ รวมทั้งเจ้าหนี้การพนันของผู้ถูกกล่าวหา ได้ร่วมกันเจรจาต่อรองให้ผู้ถูกกล่าวหาชำระหนี้สินการพนันเป็นเงินรวมทั้ง สิ้น 10 ล้านบาทให้แก่เจ้าหนี้ เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีความกรณีที่สามีของผู้ถูกกล่าวหาได้มีพฤติการณ์ หลบหนี ไม่ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในข้อหากระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืน เครื่องกระสุน โดยจะดำเนินคดีเฉพาะพ.ร.บ.อาวุธปืนเท่านั้น จากนั้นผู้ถูกกล่าวหาได้เขียนเช็คจำนวน 10 ล้านบาทแล้วก็ปล่อยตัวไป โดยพล.ต.ต.วิชัย ไม่ได้ควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวแต่อย่างใด

ป.ป.ช. มีมติพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวของพล.ต.ต.วิชัยและพวก มีมูลความผิดทางวินัย ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการและฐานกระทำอันได้เชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว อย่างร้ายแรง ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 78(1) ประกอบมาตรา 79(6) และมาตรา 79(1)(5) และมีมูลความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่น และฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามกฎหมายอาญามาตรา 149 และ 157 ป.ป.ช.จึงมีมติให้ส่งรายงานเอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชาและไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีกับพล.ต.ต.วิชัย และพวกต่อไปตามฐานความผิดดังกล่าวตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต มาตรา 92 และ 97 ต่อไป.

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ วันที่ 20 ก.ย. จากกรณีที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ จเรตำรวจสบ7 แถลงลาออกหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดพล.ต.ต.วิชัย พ.ต.ท.ศุภกฤช เดือนแจ้งรัมย์ รองผกก.ปป.สน.โคกคราม และ ร.ต.ท.ทวีศักดิ์ โกษยานันท์ รองสว.สส.สน.พญาไท (ตำแหน่งปัจจุบัน) มีมูลความผิดทางวินัย ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และฐานกระทำการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาม. 149และ157

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจาก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดแล้ว จะส่งเรื่องมายังต้นสังกัดเพื่อให้ดำเนินการทางวินัย โดยสำนวนของพล.ต.ต.วิชัยจะส่งไปยังสำนักงานจเรตำรวจ ส่วน พ.ต.ท.ศุภกฤช และร.ต.ท.ทวีศักดิ์ จะส่งไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล แต่ละกองบัญชาการจะให้คณะกรรมการกลั่นกรองการลงโทษทางวินัย ซึ่งมีรองผบช.อาวุโสสูงสุดเป็นประธานพิจารณา และรายงานไปยังป.ป.ช.ภายใน 30 วัน สำหรับกรณีของพล.ต.ต.วิชัยลาออกหลังจาก ป.ป.ช. มีมติชี้มูล ทางคณะกรรมการกลั่นกรองก็ยังสามารถพิจารณาลงโทษทางวินัยได้ และส่งผลการลงโทษทางวินัยมายังตร. และคณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร. รับทราบ

สำหรับการลาออกของพล.ต.ต.วิชัย ซึ่งเป็นระดับนายพลต้องให้ ผบ.ตร. รับทราบและพิจารณาอนุมัติตามการร้องขอลาออกหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ พล.ต.ต.วิชัยก็ยังต้องทำงานปกติ จนกว่า คำสั่งลาออกจะมีผลหรือมีคำสั่งทางวินัย

'เฉลิม'ปูด'รองแต้ม' ลาออกเล่นการเมือง

21 ก.ย.55 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองจเรตำรวจแห่งชาติ ได้ยื่นหนังสือลาออกจากราชการหลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติชี้มูลว่ามีความผิดทางวินัยร้ายแรงว่า ตนไม่ทราบ จะออกทำไมอายุยังน้อย ส่วนการที่ปปช.ชี้มูลความผิดนั้นสามารถสู้คดีได้ จะลาออกทำไมยังหนุ่มยังแน่น

เมื่อถามว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่มีแต่ที่ตนได้ข่าวทางลึกมาว่าพล.ต.ต.วิชัย จะเตรียมตัวลงสมัครรองผู้ว่าฯกทม. กับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่พรรคฝั่งรัฐบาล แต่จะเป็นพรรคไหนนั้นตนยังไม่ทราบ

เมื่อถามว่าการที่ พล.ต.ต.วิชัย ลงเล่นการเมืองนั้นจะได้รับการตอบรับอย่างไร รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.ต.ต.วิชัย ก็เป็นคนมีพวก “มือปราบหูดำ” ผมชอบเขามานาน

เมื่อถามเป็นห่วงหรือไม่หากในตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.เป็นพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผู้ว่าเป็นพล.ต.ต.วิชัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ใช่ พล.ต.ต.วิชัย ไม่ได้ลงพรรคนี้

ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกรณีการทำคดีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุมปี 2553 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่า ตนคิดว่านายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ยังมีอีกหลายดาบ เช่นการเผยว่าคดีนี้มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมจำนวน 11 ศพ ก็เพราะนายธาริตได้ทำงานอยู่ในศอฉ.และเป็นฝ่ายกฎหมาย ซึ่งนายธาริตได้พูดอะไรบอกอะไรก็ไม่มีใครฟัง เพราะสมัยนั้นใหญ่กันเหลือเกิน ทั้งนี้ตนไม่ได้สะใจไม่ได้ซ้ำเติม แต่ชีวิตคนมีคุณค่าคนตายต้องคิดถึงครอบครัวเขาต่างกรรมต่างวาระใครตกเป็นผู้ต้องหาก็เหนื่อย

ส่วนกรณีที่รายงานของคอป.มีการระบุว่ามีชายชุดดำ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ใครก็ตามหลีกเลี่ยงคำสั่งศาลไม่ได้ แต่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองชาติ(คอป.) เป็นคณะบุคคลมีความเห็นบางคนก็ยอมรับ บางคนก็ไม่ยอมรับแต่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย เขียนรายงานอีกร้อยฉบับก็คือ คอป. ใครที่โน้มเอียงไปทางนั้นก็คิดว่าชัดเจน แต่คำสั่งศาลนั่นแน่นอนชัดเจนที่สุด และในวันที่ 1 ต.ค.ก็จะมีการชี้อีก ก็อยู่ที่ข้อเท็จจริงในการไต่สวน ตนได้บอกกับนายธาริต แล้วว่าให้ตรงไปตรงมา

เมื่อถามว่าขณะนี้ประชาชนสับสนในเรื่องของชายชุดดำว่าแท้จริงแล้วอยู่ฝั่งไหน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “คำสั่งศาลไม่มีนะ ไม่เห็นชายชุดดำ” เมื่อถามอีกว่าที่สุดแล้วสังคมได้อะไรจากรายงานของคอป. ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “ได้อ่านไง ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย” เมื่อถามย้ำว่าจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่แสดงความเห็น ไม่อยากทะเลาะกับเขา

ทั้งนี้เมื่อถามว่า น.ส. ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้นำหลักฐานมาชี้แจงว่ามีชายชุดดำอยู่ในกลุ่มทหารด้วย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่ต้องขยายความ เอาแค่คำสั่งศาล คดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพก็เพียงพอแล้ว อย่าไปยุ่งอย่างอื่นเลย

เมื่อถามว่าข้อมูลชายชุดดำของคปอ.จะนำมาใส่ในการสอบสวนของดีเอสไอหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า คอป.ไม่มีผลอะไร แต่ก็แล้วแต่เขาตนไม่ชี้นำ แต่ไม่มีผลทางกฎหมาย

อย่างไรก็ตามเมื่อถามถึงระบะเวลาที่จะส่งให้อัยการฟ้อง ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า พอศาลไต่สวนมีคำสั่งแล้ว พนักงานอัยการก็จะนำสำนวนการสอบสวนให้พนักงานสอบสวนนครบาล และพนักงานสอบสวนนครบาลก็จะส่งให้ดีเอสไอ ถ้าพยานหลักฐานพร้อมมีน้ำหนักก็ฟ้อง

ผู้สื่อข่วรายงานว่าในช่วงหนึ่ง ร.ต.อ.เฉลิม ได้ชี้แจงกับสื่อมวลชนถึงการที่มีเปลี่ยนนามสกุลของนายธาริต โดยรองนายกฯ กล่าวยืนยันว่า นายธาริต นามสกุล “เพ็งดิษฐ์” ไม่ใช่นามสกุล “เปลี่ยนสี” พร้อมกับกล่าวว่า “ผมบอกกับธาริตว่ามาถึงวันนี้นอกกติกาไม่ได้ ถ้านอกกติกาคุณไม่ทำคุณก็ผิด ถ้าแกล้งเขาคุณก็ผิด ตรงไปตรงมาผมแบ็คล้านเปอร์เซ็นต์ และนายธาริตไม่มีถอดใจหรอก”