ข่าว
ฟ่าน ปิง ปิงได้คะแนนตอบแทนสังคมเป็นศูนย์

ปักกิ่ง (เอเอฟพี/บีบีซี นิวส์) - ฟ่าน ปิง ปิง ซูเปอร์สตาร์สาวชาวจีนที่มีข่าวว่าถูกจับกุมข้อหาเลี่ยงภาษี และหายหน้าไปจากสังคมเป็นเวลากว่าสองเดือน อยู่ในอันดับสุดท้ายของการจัดอันดับคนดังที่ตอบแทนสังคม โดยได้คะแนนเป็นศูนย์

สื่อทางการจีนหลายแห่งพากันตีพิมพ์รายงานของมหาวิทยาลัยครูปักกิ่งเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของดาราภาพยนตร์และโทรทัศน์จีนประจำปี 2560-2561 จัดอันดับคนดังจีน 100 คน ทั้งในและต่างประเทศ โดยพิจารณาจากเกณฑ์ 3 ประการ ประกอบด้วยความเป็นมืออาชีพในการทำงาน การทำงานการกุศล และความซื่อสัตย์ มีคนดังเพียง 9 คนที่ถือว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะได้คะแนนเกินร้อยละ 60 อันดับหนึ่งคือนายสู เจิง วัย 46 ปีที่ทั้งกำกับ ร่วมเขียนบท ร่วมผลิตและแสดงในภาพยนตร์เรื่อง Lost in Thailand ได้ 78 คะแนน ขณะที่ฟ่าน ปิง ปิง วัย 36 ปี ได้ 0 คะแนน ชาวโซเชียลพากันตั้งข้อสงสัยว่า เหตุผลที่ได้เธอได้ 0 คะแนนเป็นเพราะข้อกล่าวหาเลี่ยงภาษีที่เป็นข่าวใหญ่และสื่อทางการจีนระบุว่าส่งผลเสียต่อสังคมหรือไม่ ผู้จัดทำรายงานไม่ชี้แจงชัดเจนว่า คำนวณคะแนนอย่างไร แต่อ้างว่าจัดอันดับตามข้อมูลการวิจัยและสืบค้นในเว็บไซต์

ฟ่าน ปิง ปิง เป็นที่รู้จักในต่างประเทศ เนื่องจากเธอเป็นทั้งนักร้องและนางแบบ รวมถึงร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่อง X-Men แต่ชื่อของเธอเข้าไปเกี่ยวข้องต่อการสอบสวนของรัฐบาลจีน ที่พุ่งเป้าหมายไปยังบุคคลที่มีชื่อเสียง ที่ใช้สัญญา “หยิน หยาง” ซึ่งเหล่าคนดังในจีนรู้ดีว่าเป็นสัญญาสองฉบับ โดยฉบับหนึ่งเป็นสัญญาค่าตัวที่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณชน เพื่อตบตากรมสรรพากร ส่วนอีกฉบับเป็นสัญญาลับที่ระบุตัวเลขที่สูงกว่าฉบับแรก

ฟ่าน ปิง ปิง โพสต์ในเวยปั๋ว สื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมของจีนครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน และปรากฏตัวต่อสาธารณะครั้งหลังสุดเมื่อไปเยี่ยมโรงพยาบาลเด็กในวันที่ 1 กรกฎาคม หลังจากนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวในโลกโซเชียลอีกเลย ทำให้เกิดข่าวลือว่าถูกจับกุมข้อหาเลี่ยงภาษี หนังสือพิมพ์ซีเคียวริตี้เดลีของทางการจีนรายงานเมื่อไม่นานมานี้ว่า เธอถูกควบคุมตัวและจะยอมรับการตัดสินทางกฎหมาย แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็ลบข่าวออก

'อั้ม พัชราภา'ทำตลาดแตก! โผล่ร่วมงาน OTOP นครพนม

นายประสาท ทัศดร รักษาการพัฒนาการชุมชนฯ เนรมิตบริเวณสนามหญ้าหน้าศาลากลางจังหวัดนครพนม เป็นตลาดชุมชนโอทอปจาก 50 หมู่บ้านทั่วจังหวัด นำกิจกรรมดีๆมาเชิญชวนนักท่องเที่ยว เข้าไปสัมผัสวิถีชีวิต ประเพณี โดยรวมรวบวัฒนธรรมอันดีงาม อาหารพื้นบ้านของ 8 ชนเผ่า 2 เชื้อชาติ มาเสนอสู่สายตาชาวโลก ระหว่างวันที่ 13-17 ก.ย. และได้รับเกียรติจาก นายสมชาย วิทย์ดำรงค์ ผวจ.ฯ เป็นประธานเปิด

นายประสาทฯ เปิดเผยว่า แนวคิดของการจัดงาน จะเห็นถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยี่ในการการพัฒนาสินค้า OTOP ทำให้ตลาดและผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โครงการชุมชนท่องเที่ยว OTOP นวัตวิถี จึงเป็นการพลิกโฉมโอทอป เปลี่ยนผ่านยุคการผลักดันสินค้าออกจากชุมชน สู่การสร้างรายได้ตามความต้องการ โดยขายสินค้าอยู่ในชุมชน และเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของแต่ละชุมชน ใช้เสน่ห์จากวิถีชีวิตวัฒนธรรมภูมิปัญญาพื้นบ้าน จากความคิดสร้างสรรค์แปลงมาเป็นรายได้ ด้วยการปรับปรุงเชิงระบบเพื่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยว ที่มีเสน่ห์ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยือน และใช้จ่ายเงินในทุกกิจกรรม รายได้ก็จะกระจายอยู่ในชุมชนทั้งหมด เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่สนับสนุนคนรุ่นใหม่ ไม่ทิ้งถิ่นฐานออกไปทำงานที่อื่น แต่สามารถเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนให้ชุมชนเข้มแข็ง สร้างสรรค์ความผาสุกในบ้านเกิด สอดคล้องกับนครพนมที่เป็นจังหวัดที่มีความพร้อมในเกือบทุกด้าน ในการต้อนรับนักลงทุน นักท่องเที่ยวเข้าสู่นครพนม เป็นเมืองแห่งความสุข มีต้นทุนทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่นและเป็นที่ประดิษฐานองค์พระธาตุพนมอันล้ำค่า มีพระธาตุบริวารที่สำคัญอีกมากมาย มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ สามารถเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวในแต่ละท้องถิ่น ถึงกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขงด้วย

“มหกรรมในครั้งนี้ มีกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวจาก 50 หมู่บ้าน ที่สำคัญได้จัดประกวดศิลปวัฒนธรรมของชุมชน ประกวดอาหารที่เป็นเมนูเด็ดของชนเผ่าต่างๆ นอกจากนี้ภายในงานยังมีศิลปิน ดารา นักร้อง ชื่อดัง มาสร้างบรรยากาศตลอดงานอีกด้วย” นายประสาท กล่าว

จากนั้น นายสมชายฯ ประธานก็ทำพิธีเปิด ประตูล้อเลื่อนได้เปิดออก ปรากฏร่างของดาราสาวชื่อดัง อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ ถือสัญลักษณ์ของงานมามอบให้ ประชาชนที่ยืนอยู่อย่างเนืองแน่น ต่างส่งเสียงร้องลั่นบริเวณงาน จนเกิดความโกลาหลเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ผู้จัดงานต้องรีบเคลียร์ผู้คนที่ต่างกรูไปหน้าเวที เพื่อหวังใกล้ชิดกับดาราที่ตนชื่นชอบ หลังจากนั้นดาราสาวก็เดินลงจากเวทีเข้าไปสัมผัสแฟนคลับอย่างใกล้ชิดจนตลาดชุมชนโอทอปแทบแตก


เสียมั้ย!'โบว์'ได้ทีขย่มนายกฯโอตะ สร้างความนิยมแบบฉาบฉวย

13 ก.ย.61 น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค "Bow Nuttaa Mahattana" ในหัวข้อ "เสียมั้ย?" โดยระบุว่า ไม่ได้อยากจะโจมตีใคร แต่ขอเขียนไว้เพื่อประโยชน์กับคนที่จะทำงานสื่อสารภาพลักษณ์โดยเฉพาะภาพลักษณ์ประเทศชาติค่ะ ในฐานะที่เคยมีประสบการณ์กับงานสื่อสารองค์กร งานชุ่ยขนาดนี้ปล่อยออกมา ราคาของการกู้หน้าจะแพงกว่าตอนสร้างภาพ

กฎข้อหนึ่งของการจัดงานน้อยใหญ่ หรือแม้แต่งานต้อนรับคือการออกแบบ "Key message" สารอะไรที่ต้องการสื่อจากการนี้ คิดง่ายๆว่าอยากให้สื่อพาดหัวว่าอะไร ก่อนจะดูแลรายละเอียดให้เกียร์ไปทางนั้น สำหรับงานนายกต้อนรับ AKB48 ซึ่งหาเหตุผลไม่ได้เหมือนกันว่าทำไปทำไม ลองไล่ดูพาดหัวข่าว คงพอมองเห็นว่าใครได้ใครเสีย "โอตะตู่ ฟินได้สิทธิจับมือ 8 วิ" "บิ๊กตู่ตื่นเต้นเซลฟี่ร่วมวงABK" "โบกแท่งไฟจริงจัง" "นายกโอตะ พบABK ทำประชุมสาย" ฯลฯ

แน่นอนว่างานนี้ ABK48 ที่ดังอยู่แล้วก็ได้เครดิตไปเต็มๆกับการได้รับความสำคัญระดับรัฐ และได้ใช้เวลากับนายกโอตะมากกว่าเวลาที่โอตะตู่ได้รับเวลากระเสือกกระสนไปเยือนประเทศต่างๆ เพื่อพบผู้นำ จับมือไม่ถึงแปดวิ (แน่นอนการจับมือแปดวิไม่ได้ถูกดีไซน์มาเพื่อคนทั่วไป) และพูดคุยกันไม่กี่ประโยค อย่างตอนนั่งเครื่องบินครึ่งโลกไปเยือนสหรัฐ ก็ได้นั่งอืออากับทรัมป์อยู่เจ็ดนาทีถ้วน ครึ่งหนึ่งของเวลานั้นทรัมป์ใช้ไปกับการบ่นเรื่องภัยพิบัติที่เพิ่งเกิดในประเทศตัวเอง

ข้ามเรื่องความจำเป็นของการใช้เวลาผู้นำประเทศกับงานนี้ไป อะไรคือความชุ่ยในรายละเอียดจนมีภาพที่ดูอิหลักอิเหลื่อออกสื่อให้ขายหน้าไปทั่วโลก?

ทีมงานที่ดูแลเรื่องงานสื่อสารและพิธีการ "Protocol office" ได้คิดถึงภาพที่จะออกมาหรือไม่ มีการบรีฟตกลงกันก่อนหรือเปล่ากับผู้จัดการวงว่า การปฏิสัมพันธ์จะทำได้แค่ไหน ถึงเนื้อถึงตัวอย่างไร? มุมกล้องนักข่าวอยู่ตรงไหนจะพอดี? และกิจกรรมที่ให้หญิงวัยรุ่นใส่กระโปรงสั้นมายืนเต้นต่อหน้าผู้นำประเทศที่นั่งอยู่ระดับชายกระโปรงในห้องที่ไม่มีระยะห่างสำหรับเวทีแบบงานคอนเสริต กับนักข่าวที่แทบไม่มีที่ยืน สุดท้ายแล้วภาพที่ออกมาจะงามตาเพียงใด? ตลอดช่วงเวลานั้นจำเป็นหรือไม่ที่นายกจะต้องร่วมกิจกรรมตอกย้ำวัฒนธรรมของวง ไม่ว่าจะเป็นการกุมไม้กุมมือที่ออกแบบไว้ให้โอตะเสียเงินซื้อทำ การโบกแท่งไฟ หรือการไปเต้นท่าสัญลักษณ์ที่ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับชายวัยพี่ของพ่อที่แบกหน้าประเทศชาติไปไหนต่อไหนด้วย?

สิ่งเหล่านี้ทีมงานที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพจะไม่คิดถึง ปล่อยไปตามยถากรรมของสถานการณ์ ให้ฝ่ายที่เข้าพบกำกับเวทีได้เต็มที่ และให้สื่อได้ภาพตามมีตามเกิด ไปสื่อสารอย่างที่ไม่มีอะไรถูกออกแบบมาอย่างรอบคอบ ผลงานก็อย่างที่เห็น

นี่น่าจะเป็นภาพแทนของการทำงานหลังคสช.ยึดอำนาจมาสี่ปีสี่เดือนจนประเทศถดถอยทุกทาง การไม่จัดลำดับความสำคัญ ใช้เวลากับเรื่องไม่เป็นเรื่อง สร้างความนิยมฉาบฉวยจากสิ่งกลวงๆทั้งในเชิงนโยบายและการสร้างภาพ บั่นทอนความเจริญของชาติกับทุกนาทีที่เสียไป จะไปขอเจรจาอะไรกับใครเขาก็คำนวณแล้วว่าจะได้ประโยชน์เหนือกว่าจึงให้เข้าพบ ก็จำยอมเพราะตัวเองมีปมด้อยและแผลที่ไม่อยากถูกสะกิด

ถามว่าจะกู้หน้าอย่างไร? หมดหนทางค่ะ นาทีนี้หนีอายให้เร็วที่สุดคือทางเดียว วันนี้ประเทศชาติก็ถูกยูเอ็นขนานนามว่าเป็นชาติน่าละอายเพราะระดับการละเมิดสิทธิมนุษยชนไปด้วยแล้ว รีบปลดล็อคการเมืองเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง เผื่อคนอื่นเขาสื่อสารได้เต็มที่บ้างจะได้มาแบ่งพื้นที่สื่อ คนจะได้ไม่ต้องเปิดไปตรงไหนก็เจอเวลาหัวหน้าเผด็จการกับทีมงานเกรดซีทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าครั้งต่อไปอีก


ไทยติดโผ 1 ใน 38 ประเทศ ถูก 'ยูเอ็น'ขึ้นบัญชีประเทศน่าละอาย

13 ก.ย. 61 สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เปิดเผยรายงานประจำปี ซึ่งจัดทำโดยนายอันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ เป็นบัญชีรายชื่อ 38 ประเทศ รวมถึงจีนและรัสเซีย เป็นประเทศที่น่าละอาย ซึ่งนายกูแตร์เรส ระบุในรายงานว่า ทั้ง 38 ประเทศ มีการปฏิบัติที่ไม่ดีต่อนักสิทธิมนุษยชน หรือผู้ที่ให้ความร่วมมือกับกลุ่มสิทธิมนุษยชน มีการเฝ้าระวัง การตั้งข้อหาในคดีอาญา และการลงโทษนักรณรงค์ในที่สาธารณะ มีการแก้แค้น ข่มขู่ คุกคาม หรือจับกุม บางกรณีถึงขั้นยัดข้อหาคดีอาญา และยังระบุว่า โลกเป็นหนี้นักสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ การลงโทษผู้ที่ให้ความร่วมมือกับสหประชาชาติ ถือเป็นการปฏิบัติที่น่าละอาย

สำหรับ 38 ประเทศ มีอยู่ 29 ประเทศ ที่เพิ่งถูกขึ้นบัญชี ได้แก่ บาห์เรน แคเมอรูน จีน โคลอมเบีย คิวบา สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก จิบูตี อียิปต์ กัวเตมาลา กายอานา ฮอนดูรัส ฮังการี อินเดีย อิสราเอล คีร์กีสถาน มัลดีฟส์ มาลี โมร็อกโก เมียนมา ฟิลิปปินส์ รัสเซีย รวันดา ซาอุดีอาระเบีย ซูดานใต้ ไทย ตรินิแดดและโตเบโก ตุรกี เติร์กเมนิสถาน และเวเนซุเอลา

ซนอกจากนี้ ในรายงานยังระบุด้วยว่า รัฐบาลของหลายประเทศมักตั้งข้อหาก่อการร้ายต่อนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชน หรือกล่าวหาว่าให้ความร่วมมือกับต่างชาติ หรือทำลายชื่อเสียงหรือความมั่นคงของรัฐ โดยในวันที่ 19 กันยายนนี้ ผู้ช่วยเลขาธิการสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน จะนำเสนอรายงานต่อคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนต่อไป


'รัสเซีย'เริ่มซ้อมรบครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ ขนพล 3 แสนบินรบ 1 พันลำร่วม

11 ก.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน กองทัพรัสเซียได้จัดการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลาย ภายใต้ชื่อปฏิบัติการ Vostok-2018 ที่จะซ้อมรบร่วมกันนาน 1 สัปดาห์ โดยมีทหารจากทุกเหล่าทัพทั้งทหารจีนและมองโกเลียเข้าร่วมการซ้อมถึง 3 แสนคน และยานเกราะ 36,000 คัน เครื่องบินรบ 1,000 ลำ เรือรบอีก 80 ลำ เข้าร่วม

คาดว่าประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน จะไปร่วมชมด้วย ขณะที่องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ประณามว่าเป็นการฝึกซ้อมความขัดแย้งขนาดใหญ่

'สหรัฐ'ประกาศภาวะฉุกเฉิน รับมือเฮอริเคน'ฟลอเรนซ์' แรงสุดในรอบหลายสิบปี

12 ก.ย.61 สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่รัฐนอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา และเวอร์จิเนีย ซึ่งอยู่ตามแนวชายฝั่งทางตะวันออกของประเทศ พร้อมกำชับหน่วยงานเตรียมความพร้อมให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ ขณะที่พายุเฮอริเคนฟลอเรนซ์ มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลาง 220 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความรุนแรงระดับ 4 และอาจทวีความรุนแรงเป็นระดับ 5 เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ชายฝั่งทางตะวันออกของสหรัฐอเมริกา ระหว่างคืนวันพฤหัสบดีนี้

เจ้าหน้าที่คาดว่าเฮอริเคนฟลอเรนซ์จะทำให้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างและกินเวลานานในพื้นที่ทางภาคตะวันออกของสหรัฐ และอาจเป็นพายุกำลังแรงที่สุดที่พัดกระหน่ำพื้นที่ในรอบหลายทศวรรษ โดยจะเริ่มส่งอิทธิพลตั้งแต่วันพุธ ทางการท้องถิ่นมีคำเตือนระวังสตอร์มเซิร์จ หรือคลื่นสูงในทะเล ลมกระโชกแรง ฝนตกหนักและน้ำท่วม ขณะที่มีคำสั่งอพยพประชาชนแล้วกว่า 1 ล้านคน

ด้านที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐ ( เอ็นดับเบิลยูเอส ) เตือนว่าอิทธิพลของพายุอาจส่งผลให้มีปริมาณฝนสะสม 0.3-0.6 เมตร โดยเฉพาะรัฐนอร์ทแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา ตลอดจนพื้นที่บางส่วนของรัฐเวอร์จิเนีย แมริแลนด์ และกรุงวอชิงตัน.