ข่าว
‘สุกำพล‘เผากลาโหม.
ช่วย’มาร์ค’หนีทหาร!

ยุงแขยงแมลงขยาด! "สุกำพล" จุดไฟเผากลาโหม ระดมนายพลเข้าแถวหน้ากระดานเรียงหนึ่ง จัดทัพแถลงข่าว "มาร์ค" หนีทหาร ขนเอกสารต้นขั้วยันแฉความระยำของกองทัพบก ทำ สด.9-ใบผ่อนผันเท็จให้ "มาร์ค" จงใจสร้างหลักฐานไม่เป็นไอ้เณร อ้างพ้นฐานะคนผ่อนผันตั้งแต่ปี 30 งัด สด.16 โต้สด.20 “มาร์ค” ไร้การรับรอง ชี้ผิดถอดยศ-คืนเงินเดือน

เมื่อวันศุกร์ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ประกอบด้วย พล.ร.อ.ชัยวัฒน์ พุกกะรัตน์ ที่ปรึกษา รมว.กลาโหม, พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการ รมว.กลาโหม, พล.อ.ม.ล.ประสบชัย เกษมสันต์ ที่ปรึกษาพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผอ.สำนักนโยบายและแผนกระทรวงกลาโหม, พล.ต.พินิจ ฉัตรเสถียรพงษ์ ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา, พล.ต.รณชัย มัญชุสุนทรกุล เจ้ากรมจเรทหารบก, พล.ต.สุชาติ หนองบัว เจ้ากรมกำลังพลทหารบก นั่งเรียงเป็นแถวยาว ร่วมกันแถลงข่าวกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ไม่เดินทางมาตรวจเลือกทหารตามขั้นตอน และมีการใช้เอกสารไม่ถูกต้อง

พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า เอกสารที่มีอยู่เป็นต้นขั้วที่ทำให้รู้ถึงความเป็นมาว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไรบ้าง โดยมูลเหตุที่มาชี้แจงในวันนี้ มาจากการที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินได้ทำหนังสือมาถึงตน เนื่องจากนายกมล บันไดเพชร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ร้องเรียนไว้กับทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงได้ส่งเอกสารข้อเท็จจริงทั้งหมดไปให้ โดยมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนว่านายอภิสิทธิ์ใช้เอกสารเท็จจริงในการบรรจุและแต่งตั้งยศ

"ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะได้ดำเนินการตามขอบเขตของกระทรวงกลาโหม และจากการตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่ประกอบด้วยเอกสารทางราชการ พยานบุคคลผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ และผู้ที่ได้ดำเนินการด้วยตนเองได้ดำเนินการสอบสวนไว้หมดแล้ว"

พล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า วันที่ 7 เม.ย.2530 นายอภิสิทธิ์จะต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร แต่ไม่ได้มาเกณฑ์ทหาร หรือเรียกว่าหนีการเกณฑ์ทหาร ทางสัสดีจึงได้ลงในหลักฐานใบ สด.16 ถือว่าเป็นคนขาดการตรวจเลือกฯ ในแขวงคลองตัน ลำดับที่ 229 เลขที่ สด.43 ที่ 675 จากนั้นวันที่ 9 เม.ย.2530 นายอภิสิทธิ์เขียนใบสมัครเข้ารับราชการที่โรงเรียนนายร้อยจปร. ซึ่งแสดงว่าในช่วงนี้มีการสร้างหลักฐานเรียบร้อยแล้ว

เขาบอกว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2530 มีหนังสือจากสัสดี กทม.รับรองว่านายอภิสิทธิ์มีชื่อเข้าบัญชีทหารกองเกินเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2525 และได้รับการผ่อนผันตามมาตรา 29 (3) เพื่อใช้เป็นเอกสารรับรองการบรรจุ ซึ่งเอกสารดังกล่าวชัดเจนว่าเป็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ ส่วนจะเกี่ยวข้องกับการรับสมัครเข้าเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อย จปร.หรือไม่นั้นตนไม่ทราบ

"ผมบอกได้เลยว่าเป็นเอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ เนื่องจากพบข้อพิรุธหลายอย่าง ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ส.ค.2530 มีคำสั่งกลาโหมที่ 720/30 ลงวันที่ 7 ส.ค.2530 บรรจุนายอภิสิทธิ์เป็นข้าราชการกลาโหมพลเรือน ตำแหน่งอาจารย์โรงเรียนส่วนการศึกษา โรงเรียนนายร้อย จปร. ต่อมาเมื่อวันที่ 8 เม.ย.2531 มีการแจ้งว่าใบ สด.9 หาย และขอรับใบแทนฉบับที่ชำรุดเสียหาย โดยได้มีการบันทึกใหม่ว่าเข้าบัญชีทหารกองเกินลงวันที่ 8 เม.ย.2531 ซึ่งไม่ตรงกับครั้งแรกที่นายอภิสิทธิ์มาลงบัญชีทหารกองเกินเมื่อวันที่ 4 ก.ค.2529 ดังนั้นหลักฐานชิ้นนี้ชัดเจน เพราะมีต้นขั้วทั้งสองใบว่าลงวันที่ไม่ตรงกัน"

รมว.กลาโหมสรุปว่า เหตุผลที่ต้องทำใบ สด.9 ใหม่ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนเอกสารกองประจำการ (สด.3) เพราะหากมีการติดยศร้อยตรีแล้วนายอภิสิทธิ์ต้องขึ้นทหารกองประจำการเพื่อนับเวลาราชการ ซึ่งระเบียบดังกล่าวได้บังคับเป็นกฎหมาย ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่าถ้าใช้เอกสารสด.9 ใบเดิม จะเห็นชัดว่าขาดการเกณฑ์ทหาร ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2531 นายอภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นว่าที่ร้อยตรี และขึ้นทะเบียนทหารกองประจำการที่ จ.นครนายก"

“ในช่วงนี้นายอภิสิทธิ์ได้นำใบ สด.9 ซึ่งเป็นใบทดแทน ตรงนี้พิสูจน์ได้ว่าเป็นการใช้เอกสารที่ไม่อยู่ในระบบทางราชการ เรามีหลักฐานชัดเจน และระหว่างที่นายอภิสิทธิ์เข้ารับราชการและขอลาออกเมื่อวันที่ 2 เม.ย.2532 นั้น ถือว่านายอภิสิทธิ์เป็นทหารเพียง 1 ปี และในช่วงรับราชการได้ลาไปต่างประเทศ 3 ครั้ง ลากิจ 2 ครั้ง ลาไปราชการ 1 ครั้ง โดยอ้างว่าไปสอนหนังสือ ทั้งหมด 221 วัน มีวันทำงานรวมเพียง 35 วัน ตามระเบียบการลาของทางราชการสามารถลาได้เพียง 70 วันใน 1 ปีปฏิทิน ซึ่งการแถลงข่าววันนี้ตนทำตามขอบเขตที่กระทรวงกลาโหมกำหนด ส่วนจะต้องส่งข้อเท็จจริงให้กฤษฎีกาตีความหรือไม่นั้น เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับกฎหมาย ทางกรมพระธรรมนูญจะดูแลในส่วนนี้ หากมีข้อสงสัยก็จะไปปรึกษากับทางกฤษฎีกา หากปรึกษาเรียบร้อยแล้วก็จะรายงานให้ตนทราบเพื่อดำเนินการต่อไป”

ส่วนกรณีจะมีการถอดยศและยึดเงินเดือนคืนหรือไม่นั้นพล.อ.อ.สุกำพลกล่าวว่า ทางกระทรวงกลาโหมกำลังดูอยู่ ซึ่งอาจจะไปปรึกษากฤษฎีกา แต่เป็นเรื่องของกรมพระธรรมนูญที่จะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ ส่วนกรณีเรื่องเอกสารเท็จหมดอายุความหรือไม่นั้น ทางกรมพระธรรมนูญต้องดำเนินการชี้แจง ตนไม่ทราบ เพราะไม่ได้จบกฎหมาย โดยหลังจากนี้กรมพระธรรมนูญจะดำเนินการชี้แจงอีกครั้ง เรื่องนี้ผ่านมา 25 ปีแล้ว น่าจะเกินอายุความ

เจ้าสัวธนินท์ การันตี"ปู"สอบผ่าน
หนุนเปิดบ่อน กวาดรายได้เข้าปท.

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวปฐากถาพิเศษในวาระครบรอบ 20 ปีการก่อตั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ในหัวข้อ”ยุทธศาสตร์ประเทศไทยรับมือเศรษฐกิจโลกใหม่ว่า ขณะที่ยุโรปกำลังเกิดวิกฤติ และทุกคนหันมายังประเทศในเอเชีย รัฐบาลน่าจะมีช่องทางหารายได้จากหลายทาง ได้แก่ 1.ส่งเสริมธุรกิจการส่งออกสินค้าเกษตร ซึ่งปัจจุบันมีรายได้เงินตราเข้าประเทศปีละกว่า 1.6 ล้านล้านบาท รวมถึงการส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มในการแปรรูปสินค้าเกษตร เช่น พืชหลักอย่างข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย ปาล์มน้ำมัน รัฐบาลควรลงทุน 2 ล้านล้านบาทในการทำระบบชลประทานในพื้นที่ 24 ล้านไร่ ให้สมบูรณ์ นอกจากนี้ ควรวางแผนส่งเสริมการผลิตพืชเกษตรเพื่อทำเอทานอลทดแทนการนำเข้าน้ำมันดิบ ซึ่งต้องเสียเงินทุกวันนี้ประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท หากลดการนำเข้าน้ำมันดิบ 30% มาส่งเสริมการทำเอทานอลจะทำให้ประหยัดเงินไปประมาณ 226,000 ล้านบาท

2.ส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว ปัจจุบันหากไปดูประเทศใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกามีรายได้จากการท่องเที่ยงถึงปีละ 3.6 ล้านล้านบาท ,สเปนมีรายได้จากการท่องเที่ยว 1.85 ล้านล้านบาท ฝรั่งเศสมีรายได้จากการท่องเที่ยว ประมาณ 1.6 ล้านล้านบาท โดยฝรั่งเศสถือว่าเป็นประเทศที่มีคนเข้าไปท่องเที่ยวมากที่สุดประมาณ 79.5 ล้านคน ขณะที่ปัจจุบันกรุงเทพมหานครถือเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก จึงอยากเสนอให้รัฐบาลไทยลดภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อนำมาขายให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ

“นอกจากนี้ อยากเสนอให้รัฐบาลเปิดบ่อนกาสิโน ในเมืองท่องเที่ยวหลักอย่างพัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ เพื่อดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาจับจ่ายใช้เงิน ถ้าผมมีอำนาจผมจะเปิดกาสิโนเหมือนลาสเวกัส อย่ามองการพนันไม่ดี เมืองไทยการพนันใต้ดินเต็มบ้านเต็มเมือง เราต้องยอมรับ อย่างตัวผมเองไม่ชอบเล่นการพนัน ไปลาสเวกัสก็ไปโยกนิดหน่อย การมีบ่อนกาสิโนถ้าคนไม่ชอบเล่นการพนันก็ไม่เล่น ส่วนคนที่ชอบเล่นทั้งคนไทย และนักเที่ยวเที่ยวต่างชาติถ้าเมืองไทยไม่มี คนก็หนีไปเล่นที่ลาสเวกัส มาเก๊า ประเทศเพื่อนบ้าน ปัจจุบันมาเก๊าเป็นเพียงเกาะเล็ก ๆ แต่มีรายได้จากกาสิโนถึง 879,779 ล้านบาทต่อปี ขณะที่ลาสเวกัสมีรายได้ 319,300 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม การส่งเสริมการเปิดบ่อนกาสิโนไม่ใช่ไทยจะมีรายได้จากบ่อนกาสิโนอย่างเดียว ยกตัวอย่าง ลาสเวกัส ถือเป็นเมืองที่มีโรงแรมมากที่สุด เมื่อมีคนเข้ามาเล่นการพนันจะมาจับจ่ายท่องเที่ยวทุกภาคส่วนได้รับรายได้ต่อเนื่องไปด้วย หรืออย่างสิงคโปร์เป็นประเทศที่เพิ่งเปิดบ่อนกาสิโน ปัจจุบันมีรายได้เป็นอันดับ 3 ประมาณ 169,849 ล้านบาทต่อปี ถ้าประเทศไทยเปิดผมว่ามีรายได้เป็นอันดับ 1 ของโลก มีคนนำเงินมาให้แล้วทำไมไม่เอา อย่างหวยบอกหากมีหวยบนดินจะไม่มีหวยใต้ดิน มันต้องยอมรับความจริง ยังมีอยู่ ผมสัมผัสความจริงทุกชนิดมาแล้ว”นายธนินท์กล่าวและว่าขณะเดียวกันควรลดภาษีภาษีรายได้นิติบุคคลร้อยละ 17 เท่ากับสิงคโปร์ ฮ่องกง เพื่อดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน และเพิ่มรายได้ให้ภาครัฐ แต่รัฐบาลจะต้องมีการวางแผนควบคุมพื้นที่โดยให้ดูตัวอย่างจากประเทศสิงคโปร์

3.ควรส่งเสริมอุตสาหกรรมทางด้านยานยนต์ และอิเล็กทรอนิคส์ และ4.สนับสนุนเอสเอ็มอีขนาดเล็ก และขนาดกลางไปลงทุนในต่างประเทศ เช่น พม่า ด้วยการตั้งกองทุนสนับสนุนขึ้นมา

สำหรับผลงาน 1 ปีของรัฐบาลถือว่าสอบผ่าน ส่วนหนึ่งรัฐบาลเสียเวลาไปกับการแก้ปัญหาน้ำท่วม และตนมองในแง่ดีก่อนหากอันไหนไม่ดีต้องให้แก้ไข อยากฝากรัฐบาลอย่าติอย่างเดียวควรให้คำแนะนำด้วย ไม่อย่างนั้นจะเสียหาย อย่างตอนนี้ตนมองว่า ประเทศไทยยังไม่ใช่ระบบประชานิยมเต็มตัว ต้องมีการเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนอย่างเพียงพอก่อน เราเพิ่งมาสนใจคนยากจน หากประชานิยมต้องแบบนายโอบามา ประธานาธิบดีของสหรัฐที่มีการทำประกันชีวิตให้ประชาชนทั้งหมด

นอกจากนี้ แนะนำการแก้ปัญหาคอร์รัปชั่น ต้องปรับระบบราชการไทย และแก้ที่รายได้ อย่างข้าราชการตำรวจต้องมีการเพิ่มรายได้ให้อย่างพอเพียงและพอใจ ทุกวันนี้บอกมีรายได้พอแต่ทราบหรือไม่ว่า มีรายได้จากทางอื่นเสริมเดือนละเป็นล้านบาท นี่เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ อย่างสิงคโปร์ถือเป็นประเทศที่ยอมรับความจริงจึงทำให้เงินเดือนผู้บริหารสูงกว่าประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

'สุเทพ'เลิกการเมือง
หากโดนตัดสิทธิ์5ปี

"เทพเทือก" ทำใจหากถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี ระบุจะไม่หวนเล่นการเมืองอีก ด้าน"วิชา มหาคุณ" ฟันธงต้องลงมติถอดถอน "สุเทพ" เหตุมีโทษแบนการเมืองด้วย "นิคม" คาดใช้เวลาเดือนเศษพิจารณาถอดถอน "สุเทพ"

วันที่ 27 ก.ค.55 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.ประชาธิปัตย์ เดินทางมาลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ที่รพ.ศิริราช ปฏิเสธจงใจแทรกแซงข้าราชการ ระบุ หากถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี จากกรณี ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดการส่ง ส.ส.และบุคคล เข้าช่วยงานกระทรวงวัฒนธรรมฯ ในสมัยนายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม ก็จะไม่หวนกลับมาเล่นการเมืองอีก

"วิชา มหาคุณ" ฟันธงต้องลงมติถอดถอน "สุเทพ" เหตุมีโทษแบนการเมืองด้วย

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ปปช. ให้สัมภาษณ์รายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัสน์สปริงนิวส์ถึงกรณีการถอดถอน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีว่า การส่งให้ถอดถอนเป็นการถอดถอนในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอยู่ ตอนนี้ก็เหลือแค่ห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี โดยเรื่องนี้คล้ายกับกรณีการถอดถอนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ยื่นถอดถอนแม้จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว โดยการถอดถอนและตัดสิทธิต้องใช้เสียง 3 ใน 5 การถอดถอนเป็นอำนาจของวุฒิสภาโดยเด็ดขาด ไม่ต้องส่งเรื่องให้ศาลไหนพิจารณาต่อ

"นิคม" คาดใช้เวลาเดือนเศษพิจารณาถอดถอน "สุเทพ"

นายนิคม ไวยรัชพานิช รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ในฐานะรักษาการประธานวุฒิสภากล่าวถึงการพิจารณาถอนถอน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สส.สุราษฏรธานี พรรคประชาธิปัตย์ ภายหลังจากที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ชี้มูลความผิดกรณีใช้อำนาจครั้งที่ดำรงตำแหน่งรองนายกฯ แต่งตั้งนักการเมืองเข้าช่วยปฏิบัติราชการในกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงการทำงาน นั้นจะเป็นไปตามกระบวนการของข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2551 โดยหลังจากที่ได้รับสำนวนการชี้มูล จาก ปปช. จะมีการนัดประชุมสมาชิกวุฒิสภา เพื่อพิจารณา และเข้าสู่กระบวนการพิจารณา เบื้องต้นต้องให้ นายสุเทพ มาชี้แจงต่อที่ประชุมวุฒิสภา ว่ามีประเด็นใด หรือมีพยานใหม่ที่ต้องชี้แจงเพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนที่จะให้ สว.พิจารณา และลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่ โดยใช้เสียง 3 ใน 5 หรือ ประมาณ 90 เสียงถึงจะสามารถถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ สำหรับเวลาที่ใช้พิจารณา คาดว่าประมาณ 1 เดือนเศษ

ผู้สื่อข่าวรายงาน สำหรับกระบวนการการพพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ในข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.2551 เมื่อประธานวุฒิสภาได้เอกสาร รายงาน และความเห็นของกรรมการ ปปช.ทีมีมติชี้มูล แล้ว ต้องบรรจุเข้าระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน และกำหนดให้ประชุมนัดแรก ภายใน 20 วันนับแต่ที่ได้รับรายงานและความเห็นของกรรมการ ปปช. เพื่อกำหนดวันแถลงของกรรมการ ปปช., ผู้ถูกกล่าวหา แสะพิจารณาคำขอเพิ่มเติมพยาน

สำหรับการพิจารณาของวุฒิสภา สามารถแบ่งเป็น 4 วาระ คือ 1.วาระแรก ให้ผู้ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการ ปปช. แถลงเปิดสำนวนและให้ผู้กล่าวหาหรือผู้แทนของผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิคัดค้านโต้แย้งคำแถลงเปิดสำนวนโดยไม่มีการซักถาม หลังจากนั้นจึงจะพิจารณาว่าควรจะมีการซักถามผู้เกี่ยวข้องในประเด็นใดอีก วาระที่สอง จะเป็นช่วงการซักถามในประเด็นปัญหาที่ได้กำหนดไว้แล้วตั้งแต่วาระที่หนึ่ง วาระที่ 3 คือ การแถลงปิดสำนวนโดยคณะกรรมการ ปปช.และผู้ถูกกล่าวหา ทั้งนี้สามารถยื่นคำแถลงปิดสำนวนได้ทั้งเป็นหนังสือ หรือ วาจา โดยกำหนดระยะเวลายื่นคำแถลง ภายใน 7 วันและ วาระสุดท้าย คือ การลงคะแนนเสียงถอดถอน ภายใน 3 วันนับแต่วันแถลงการณ์ปิดสำนวนด้วยวาจา หรือพ้นกำหนดยื่นคำแถลงการณ์ปิดสำนวนเป็นหนังสือ สำหรับการลงคะแนนจะทำโดยวิธีลับ

สำหรับมติเห็นชอบให้ถอดถอนของวุฒิสภาจะต้องถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิกที่มีทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา คือประมาณ 90 เสียง