ข่าว
ยึดทรัพย์ “ซินแสโชกุน” ตุ๋นทัวร์ญี่ปุ่น จ่อนอนคุกยาวฐานแอบอ้างเบื้องสูง

(13 เม.ย.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ท.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผบช.ก. เดินทางมาติดตามความคืบหน้าคดี ก่อนเปิดเผยว่าไม่มีความกังวลเรื่องการสอบปากคำเพราะขณะนี้ได้ตัวผู้ต้องหาแล้ว ผู้ต้องหาสามารถพูดแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ แต่ตำรวจก็จะต้องตรวจสอบจากข้อมูลเชิงประจักษ์ คาดว่าภายหลังสงกรานต์จะมีการสอบสวนและได้ข้อมูลที่มีความชัดเจนขึ้น

ผบช.ก.กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการประสานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ในเรื่องการยึดทรัพย์แล้ว เพื่อไม่ให้เกิดโยกย้ายถ่ายโอนทรัพย์สิน แต่จากการตรวจสอบการธุรกรรมกับธนาคารของ ซินแสโชกุนนั้น เบื้องต้นทราบว่ามีจำนวนเงินอยู่ประมาณ 3 ล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนที่มีการแปลงสภาพไปเป็นอสังหาริมทรัพย์แล้วนั้นจะเร่งตรวจสอบเพื่อจะได้นำเงินคืนสู่ผู้เสียหายให้เร็วที่สุด

“ส่วนกรณีที่ปรากฏคลิปเสียงของซินแสโชกุนมีการอ้างสถาบันเบื้องสูง ผิดมาตรา 112 นั้น ตอนนี้หลักฐานเอกสารยังไม่มีความเชื่อมโยง อยู่ระหว่างการเร่งหาอุปกรณ์ติดต่อ เช่น โทรศัพท์ของซินแสโชกุน ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญ อีกทั้งตอนนี้พนักงานสอบสวนได้มีการสืบทราบแล้วว่าเครือข่ายซินแสโชกุนนั้นมีผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ที่เป็นแม่ข่ายทั้งหมดประมาณ 30 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมเชิญตัวทั้งหมดเข้ามาสอบปากคำ” ผบช.ก.กล่าว

พล.ต.ท.ฐิติราชกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ในวันที่ 14 เม.ย.ทางพนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก พร้อมคัดค้านการประกันตัวเพราะผู้ต้องหาอาจจะไปยุ่งหรือทำลายพยานหลักฐานได้

ขณะที่นายนิติศักดิ์ มีขวด ทนายความของ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ หรือซินแสโชกุน เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน พร้อมขอเข้าพบเพื่อพูดคุยกับ น.ส.พสิษฐ์ ในเรื่องคดี โดยภายหลังการพูดคุยเบื้องต้นนายนิติศักดิ์ทนายความยืนยันว่าผู้ต้องหายืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาในการเดินทางหนี ส่วนเหตุผลที่เดินทางไปจังหวัดระนองเพราะหลังเกิดเหตุรู้สึกตกใจจึงเดินทางไปตั้งหลัก ก่อนจะมีการติดต่อทนายความเพื่อจะเดินทางเข้ามอบตัว แต่ติดขัดในเรื่องการเดินทางทำให้เดินทางไปไม่ทัน ก่อนที่ตำรวจจะเข้าควบคุมตัว น.ส.พสิษฐ์ อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเคยรับว่าความคดีเกี่ยวกับเช็คให้ผู้ต้องหามาแล้วครั้งหนึ่ง และไม่รู้ว่า น.ส.พสิษฐ์ประกอบธุรกิจในลักษณะนี้ ตนก็เพิ่งทราบจาก น.ส.พสิษฐ์หลังได้พูดคุยช่วงที่ติดต่อให้ไปพบที่ จ.ระนอง โดยขณะนั้นยังไม่มีการออกหมายจับ แต่ภายหลังทราบว่าศาลออกหมายจับจับ น.ส.พสิษฐ์ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ต่อจากนี้ต้องดูในข้อกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ส่วนในเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะเอาผิดในความผิดหมิ่นเบื้องสูงต่อ น.ส.พสิษฐ์ หรือไม่ ต้องรอดูทางพนักงานสอบสวนก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร แต่ยืนยันว่าขณะนี้มีเพียง น.ส.พสิษฐ์เพียงคนเดียวเท่านั้นที่ถูกออกหมายจับ ส่วนครอบครัวยังไม่มีการออกหมายจับใดๆ ทั้งสิ้น

'บิ๊กตู่' ชี้ปฏิรูปต้องใช้เวลา ปัญหาการศึกษาซับซ้อน

เมื่อวันที่ 14 เม.ย.60 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ "ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" ว่า สำหรับการปฏิรูปการศึกษาโดยคณะกรรมาธิการของ สปท. สนช.นั้น อาจมองว่าทำไมเราทำล่าช้า รัฐบาลดูแลอยู่หรือเปล่า ไม่เห็นจะตรงประเด็น ใช้งบประมาณไม่คุ้มค่า อยากเรียนว่าปัญหามันซับซ้อนมาก ต้องปฏิรูปในเชิงโครงสร้างไปด้วย เพื่อแก้ปัญหาในสิ่งที่สลับซับซ้อนกันมายาวนาน มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมาแกะกันวันสองวัน หรือปี สองปี เพราะเกี่ยวเนื่องกับ คน หลายกลุ่ม หลายฝ่าย กฎหมายด้านการศึกษาเดิม มีมากมาย มีหลากหลายองค์กรรับผิดชอบ และบุคลากรทางการศึกษาก็กระจัดกระจายออกไป ทำให้เราต้องจัดระบบ ระเบียบ เพื่อให้เกิดการบูรณาการ ทั้งนี้บุคลากรครู อาจารย์บางท่าน อาจยังมีความคิดเห็นไม่สอดคล้องกัน บางส่วนอาจจะคิดว่าของเดิมดีอยู่แล้ว หรือมองไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอย่างไร ในขณะที่อาจเป็นปัญหาในภาพรวม ไม่ใช่เฉพาะของท่าน องค์กรของท่าน ถ้าหากเราไม่บูรณาการกัน ก็ไม่เป็นระบบเดียวกัน ทั้งหมดที่เราเรียกว่า องคาพยพต้องทำงานเป็นเนื้อเดียวกัน ตอบโจทย์ความต้องการแรงงานในอนาคต เหล่านี้รอการปฏิรูป เกิดการบูรณาการด้วยกัน ระหว่างหน่วยงานไม่ใช่ของใครของมัน ทุกอย่าง ทุกเรื่อง เรียนว่า ไม่ใช่สั่งวันนี้ พรุ่งนี้ได้ หรือคิดอะไรวันนี้ พรุ่งนี้ทำสำเร็จ เป็นไปไม่ได้ ทุกคนมีทั้งทำตาม ไม่ทำตาม เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย

"บางครั้งตนจำเป็นต้องใช้ มาตรา 44 ก็ยังมีผู้เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยเลย ก็เห็นได้ว่ารัฐบาลนี้ ไม่ได้มุ่งหวังในการใช้อำนาจอย่างเต็มที่ อย่างที่หลายๆ คนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ บางส่วนอาจจะเห็นด้วยก็ทำ ก็ร่วมมือ บางส่วนแม้ไม่ขัดขวางแต่ก็ไม่ร่วมมือ หรือก็ไม่เห็นด้วยเลย ก็หาทางออกไปทำอย่างอื่น ก็เกิดการสับสนอลม่าน ก็ปฏิรูปไม่ได้อยู่ดี รัฐบาลและ คสช. เข้าใจว่าทุกคนจำเป็นต้องนึกถึงตัวเอง องค์กรตัวเอง ผมไม่ได้ว่าใคร ทุกคนต้องรักองค์กรของตัวเอง ต้องรักประเทศชาติแล้วก็มองเห็นปัญหาของประเทศร่วมกัน เพราะไม่ใช่ปัญหาขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นปัญหาของคนไทยทั้งประเทศ เราต้องมอง หาให้เจอว่าเขาจะได้อะไรจากการบริหารจัดการศึกษาของชาติ ปัจจุบันนั้นเราดีพอหรือยัง ระบบดีหรือยัง หรือส่วนของเราทำดีหรือยัง ต้องปรับปรุง แก้ไข หรือไม่ ต้องมีการพัฒนาไปในทิศทางใด" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ฉะนั้น ขอร้องให้บุคลากรการศึกษาทุกคน ต้องกลับมามองตัวเองด้วยว่า เราเองนั้นจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาเหล่านั้นตรงไหน ในส่วนใดของปัญหาใหญ่ หรือปัญหาเล็ก ถ้าดีก็ทำต่อไป ถ้ายังไม่ดีก็แก้ไข คนที่จะบอกว่าดี หรือไม่ดีไม่ใช่ตัวเรา คนจะบอกก็คือ เด็ก ผู้ปกครอง แล้วก็ที่เราเรียกว่า ผู้ที่รับ ผลผลิตจากการศึกษา การบริหารจัดการศึกษาของท่านไปใช้ ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน แล้วชักชวนกันทำส่ิงใหม่


“พัลลภ” เตือน “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” อย่ายึดติดอำนาจจะไร้แผ่นดินอยู่

(13 เม.ย.) พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เปิดเผยถึงอาการป่วยของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ว่ายังเดินไม่ได้ ปีนี้ท่านจึงงดเปิดบ้านจัดงานรดน้ำขอพรเนื่องในวันสงกรานต์ เพราะยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้ามาเดือนกว่าหลังเกิดหกล้มหน้าฟาดพื้นในห้องน้ำที่บ้านเมื่อช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อนวันเกิด ขณะนี้สภาพร่างกายดีขึ้น กำลังอยู่ในช่วงหัดเดิน แพทย์ยังไม่อนุญาตให้กลับบ้านขอให้อยู่โรงพยาบาลจนกว่าจะหายดี อย่างไรก็ตาม พล.อ.ชวลิต ยังมีความเป็นห่วงบ้านเมืองและฝากว่าประเทศไทยไม่สิ้นคนดี

พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ในทางการเมืองรออีก 8 เดือนร่างกฎหมายเสร็จเข้าสู่เลือกตั้งตามสัญญาประชาคมในช่วงกลางปี 61 ที่รัฐบาล คสช.แถลงไว้กับเวทีต่างๆ ทั่วโลก หลังเสร็จสิ้นงานใหญ่งานพระราชพิธีสำคัญสองงาน ต้องปลดล็อค ถ้าเลื่อนจะทำไม่ได้ ส่วนจะให้ความเห็นต่อการทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงพูดอะไรไม่ได้เพราะทุกคนเป็นลูกน้องตน รวมถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นมารยาทของทหาร จะไม่ตำหนิกัน ยิ่งเราเป็นรุ่นพี่ มีระบบซีเนียริตี้ ทำดีก็เชียร์ ทำไม่ดีก็ไม่พูด ส่วนการตั้งรัฐบาลใหม่ เกิดขึ้นหลังจากสภาเลือกนายกรัฐมนตรี จะเป็นเหมือนสมัยก่อนเมื่อปี 20 ที่มี ส.ว.สรรหาเลือกนายกฯ ด้วย ก็ได้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ แล้วท่านก็พอท่านไม่ยึดติดอำนาจ อย่างไรก็ตามต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ ส่วนพรรคการเมืองถ้ารวมได้ 372 เสียง ก็ตั้งนายกฯ ได้

พล.อ.พัลลภกล่าวว่า ตนห่วงเวลานี้ชาวไร่ชาวนาเดือดร้อนมาก เป็นทหารยิ่งต้องรับรู้แก้ไขก่อนปัญหาอื่น เมื่อก่อนไปหาเสียงตามบ้าน มีทีวี ตู้เย็น รถปิกอัพ ตอนนี้โดนยึดหมด ชาวนา เกษตรกรมี 47 ล้านคน เป็นส่วนใหญ่ เป็นพลังทางเศรษฐกิจ หากเกษตรกรทำอะไรไม่ได้ประเทศก็ไม่รอด เพราะพวกเศรษฐี มีไม่กี่คนไม่กี่ตระกูล พวกนี้มีอาชีพผลิตของมาขายให้คนระดับล่าง คือเกษตรกร ไม่มีเงินจับจ่ายจะฉุดทุกอย่างตกต่ำไปเรื่อยๆ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ เป็นทหารต้องสัมผัสประชาชน อยู่กับประชาชน ผมเชียร์นายกฯ ประยุทธ์ ให้ทำงานเรียบร้อยว่าตามโรดแมป แต่ให้ดูตัวอย่างคณะรัฐประหารรุ่นพี่ๆ ตอนหลังโดนไล่เจอก้อนหินหมด ในฐานะรุ่นพี่ที่ผ่านประสบการณ์ ร่วมรัฐประหารมา 2 ครั้ง ก็เป็นห่วงน้อง อย่าทำให้ประชาชนลำบาก เมื่อแก้ปัญหาพอนิ่งแล้วก็ไป อยู่นานไม่ได้ ใครอยู่ยาวอยู่ต่อมีบทเรียนไว้ สุดท้ายไม่มีแผ่นดินจะอยู่

“ฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตรด้วย บั้นปลายชีวิตผมห่วงประเทศชาติ ตั้งแต่จบนายร้อยมาเข้าสู่สนามรบทุกแห่งที่รบกันทั้งในและรอบประเทศ เอาชีวิตเข้าเสี่ยงตลอด วันนี้ผมอายุ 80 ปี อยากเห็นประเทศมั่นคง ประชาชนสันติสุข ขอบอกน้องๆ อย่ายึดติดอำนาจ จะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนรุ่นพี่ๆ ก็มีให้ดูในชีวิตเราเป็นทหาร ทำเพื่อประเทศชาติมากว่าอย่างอื่น ทหารพูดอะไรต้องทำตามนั้น ไม่ทำตามปัญหาตามกลับมาจะมีบทเรียนใหญ่ๆ กำลังเกิดขึ้น คนไทยไม่ชอบการกดขี่ และยอมรับความยุติธรรม รวมถึงบ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้ เพราะกลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่ข้างฝ่ายแพ้ซ้ำซากแล้วจะอ้างตนเองเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ หากไปปรับปรุงตัวเองอาจชนะเลือกตั้งได้บ้าง” พล.อ.พัลลภกล่าว


สหรัฐฯ-รัสเซียจ่อ เดือด หวั่นสงครามโลกครั้งที่ 3

หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้สั่งกองทัพยิงขีปนาวุธร่อนนำวิถีพิสัยไกล ‘โทมาฮอว์ก’ ถึง 59 ลูก โจมตีฐานทัพอากาศซีเรีย ช่วงเช้าตรู่ 7 เม.ย.โดยอ้างว่ารัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดของซีเรียโหดเกินไปที่ใช้อาวุธเคมีโจมตีจังหวัดอิดลิบ จนทำให้พลเรือน รวมทั้งเด็กๆซีเรีย ต้องพลอยดับสลด ถึงเกือบ 100 ราย

งานนี้ ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซีย โกรธมาก ในฐานะที่เป็นชาติมหาอำนาจที่ส่งทั้งกำลังทหารนับ 4,000 นายและอาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปสนับสนุนประธานาธิบดีอัสซาดอย่างเต็มตัว เพื่อช่วยปราบกบฏต่อต้านรัฐบาลและกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือไอซิสที่มีฐานอยู่ในซีเรียและอิรัก โดยรัสเซีย ชี้ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ฝ่าฝืนกฎหมายระหว่างประเทศ โจมตีชาติที่มีอธิปไตย และเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ ที่สำคัญ คือ ยังไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ยืนยันแน่ชัดว่าการใช้อาวุธเคมีโจมตีครั้งนี้ คือฝีมือของกองทัพซีเรียจริงๆ

ผู้นำรัสเซีย ตอบโต้สหรัฐฯ ทันที ด้วยการส่งเรือรบลำใหญ่ ‘แอดไมรอล กรีกอโรวิช’ (Admiral Grigorovich) ติดตั้งขีปนาวุธนำวิถี พร้อมกองเรือรบจากทะเลดำ มาเสริมทัพที่ซีเรีย! ทำให้อุณหภูมิความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียเพิ่มขึ้นอีกหลายระดับ ถือเป็นความขัดแย้งของ 2 ชาติมหาอำนาจยักษ์ใหญ่ที่ต่างฝ่ายต่างมีชาติพันธมิตรของตน คอยสนับสนุน จน ‘ใกล้’ จะเกิดการเผชิญหน้ากันมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นเลยทีเดียว ที่น่าสะพรึงกลัวมากขึ้น ก็คือ สงครามใหญ่ ที่อาจเกิดขึ้น มีโอกาสเป็นสงครามนิวเคลียร์!!


* 2 ชาติมหาอำนาจ กระโจนสู่สงครามกลางเมืองในซีเรีย

นับตั้งแต่รัสเซียกระโจนเข้าสู่สงครามกลางเมืองในซีเรียเมื่อปี 2558 ขณะที่สหรัฐฯ ตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาได้ส่งทหารและเครื่องบินรบนำชาติพันธมิตรปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มกลุ่มไอซิสในอิรักและซีเรียก่อนหน้าแล้วนั้น ดูเหมือนนักวิเคราะห์การเมืองได้จับตามาตั้งแต่นั้นแล้วว่า มีโอกาสที่สองชาติมหาอำนาจจะเกิดการเผชิญหน้าขึ้นได้ตลอดเวลา เนื่องจากรัสเซียหนุนรัฐบาลซีเรีย ขณะที่สหรัฐฯกลับให้การสนับสนุนฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาล

มีนักวิเคราะห์การเมืองจำนวนไม่น้อยมองกันมานานแล้วว่า 'สมรภูมิในตะวันออกกลาง' โดยเฉพาะสงครามกลางเมืองในซีเรียที่ดำเนินมานานนับ 6 ปี คือ 'สงครามโลกครั้งที่ 3 รูปแบบใหม่' เพราะตอนนี้ มีประเทศต่างๆ เข้ามาร่วมในสงครามซีเรียเกินกว่า 30 ประเทศแล้ว อีกทั้งยังแบ่งออกเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายชัดเจน เหมือนสมัยเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ไม่ผิดเพี้ยน!!

โดยฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายเดียวกับรัสเซีย ที่มีจีน อิหร่าน อิรัก ซีเรีย และเยเมน จับมือกัน และ (อาจมีเกาหลีเหนือมาเป็นพวกเพิ่มเข้ามาอีกประเทศ) ส่วนอีกฝ่ายเป็นฝ่ายโลกตะวันตก คือ สหรัฐฯ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิสราเอล รวมทั้งชาติที่เป็นสมาชิกนาโต ไปจนถึงตุรกี


* เชื่อปูตินยังไม่ต้องการให้เกิดสงคราม

ตามรายงานของเว็บไซต์ The Sun ในอังกฤษ เผยตามความเห็นของเซอร์ แอนโธนี เบรนตัน อดีตเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำรัสเซีย มองว่า เอาเข้าจริง ถึงแม้ประธานาธิบดีปูติน จะส่งกำลังทหาร เครื่องบินรบ และเรือรบไปซีเรีย แต่เชื่อว่าขณะนี้ ปูตินยังไม่อยากให้เกิดสงครามเผชิญหน้ากับสหรัฐฯ หรอก เพราะถ้าประเมินขุมกำลังทางทหารและอาวุธกันแล้ว รัสเซีย ยังถือว่าเป็น ‘รอง’ หรือด้อยกว่าแสนยานุภาพทางทหารของฝ่ายตะวันตกและสหรัฐฯ โดยผู้นำรัสเซียเคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของเดลี่ มิร์เรอร์ เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วอย่างตรงไปตรงมาว่า พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดสงคราม เพราะมีโอกาสที่จะเป็นฝ่ายแพ้


*สถานการณ์เปลี่ยน... รัสเซีย อิหร่านเดือด ขู่โต้กลับแน่

อย่างไรก็ตาม หลังจากมีรายงานรัฐบาลซีเรียส่งเครื่องบินรบใช้อาวุธเคมีอย่างโหดเหี้ยม ทำให้ทรัมป์ สั่งกองทัพยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กโจมตีซีเรีย จน รัสเซีย และอิหร่าน ซึ่งเป็นชาติปรปักษ์กับสหรัฐฯ ตัวเอ้เช่นกัน ได้ออกมาประณาม สหรัฐฯ ‘ล้ำเส้น’ ที่ถล่มฐานทัพซีเรีย ทั้งรัสเซียและอิหร่าน รวมถึงกลุ่มติดอาวุธที่ภักดีต่อประธานาธิบดีอัล อัสซาดยังได้ประกาศตั้งกองกำลังร่วม พร้อมออกแถลงการณ์เตือนรัฐบาลสหรัฐฯ ตลอดจนชาติพันธมิตร อย่างแข็งกร้าวว่า หากลงมือโจมตีซีเรียครั้งต่อไป จะต้องถูกตอบโต้ทางทหารจากฝ่ายรัสเซียแน่นอน

หลังจากก่อนหน้านี้ กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ประกาศจะเพิ่มระบบป้องกันภัยทางอากาศในซีเรียให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการถูกโจมตีทางอากาศในอนาคต พร้อมกับตัด 'ฮอตไลน์' สายด่วนที่ใช้เป็นทางติดต่อสื่อสารระหว่างสหรัฐฯ กับรัสเซียทันที

‘ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราจะใช้กำลังทหารตอบโต้ต่อการรุกราน หรือการก้าวข้าม ‘เส้นแบ่ง’ โดยใครทุกคนไม่ว่าหน้าไหนก็ตาม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็รู้ศักยภาพของพวกเราในการตอบโต้เป็นอย่างดี’ แถลงการณ์จากกองบัญชาการร่วม ของรัสเซีย อิหร่าน และกองกำลังติดอาวุธหนุนรัฐบาลซีเรีย


* กำลังเสี่ยงที่จะเกิดสงครามใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหรือ?

แน่นอน ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่ดูจะหวานชื่นขึ้นกว่าเดิมหลังทรัมป์ สาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้แปรเปลี่ยนเป็น 'ขม' ตึงเครียดขึ้นทันที หลังจากทรัมป์สั่งยิงโทมาฮอว์กโจมตีซีเรีย แม้สื่อต่างชาติได้รายงานในเวลาต่อมาว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ได้แจ้งไปยังรัสเซียก่อนหน้าแล้วก็ตามว่าจะมีการยิงโทมาฮอว์กถล่มฐานทัพอากาศเซย์รัต ในเมืองฮอมส์ ซึ่งเครื่องบินรบซีเรียได้ทะยานออกจากฐานทัพอากาศแห่งนี้ในปฏิบัติการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในจังหวัดอิดลิบ ขนาดนายกรัฐมนตรีดมิทรี เมดเวเดฟ แห่งรัสเซีย ถึงกับพูดว่า ขณะนี้สหรัฐฯ กำลังอยู่ริมเส้นที่จะเกิดการเผชิญหน้าปะทะกันทางทหารกับรัสเซีย

แต่ถึงกระนั้น ตามความเห็นของสื่อต่างชาติมองว่า ถึงแม้ประธานาธิบดีปูตินจะไม่พอใจสหรัฐฯ อย่างมากในเรื่องนี้ แต่ก็ยังคงไม่ยกเลิกกำหนดการเดินทางมาเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้พอทราบว่า รัสเซียยังไม่ถึงกับสะบั้นสัมพันธ์กับอเมริกาเลยทีเดียว

แต่ที่น่าเป็นห่วงมากกว่า คือ ท่าทีของรัฐบาลอิหร่าน ซึ่งเป็นชาติพันธมิตรหลักชาติหนึ่งของประธานาธิบดีอัสซาดแห่งซีเรีย ต่างหาก ว่าจะตอบโต้สหรัฐฯ รุนแรงขนาดไหน ขณะที่ทราบกันดีว่าอิหร่าน ถือเป็นชาติหนึ่งบนโลกนี้เช่นกันที่พยายามพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ

เรียกว่า ถึงตอนนี้ สงครามโลกครั้งที่ 3 ตามความเห็นของสื่อและนักวิเคราะห์ต่างชาติ มองว่า คงยังไม่ระเบิดเปรี้ยงปร้างขึ้นมาอย่างฉับพลันทันที แต่ถึงกระนั้น สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสมรภูมิสงครามกลางเมืองที่ซีเรีย ดูเหมือนกำลังทำให้สถานการณ์ในซีเรีย ทวีความรุนแรงจนไปถึงจุดนั้น รวมทั้งยังได้มีเสียงเตือนจากนักการเมืองรัสเซียบางคนแล้วว่า สงครามที่กำลังเกิดอาจรุนแรงถึงขั้น เป็นสงครามนิวเคลียร์ !!


มะกันจัดหนัก ทิ้ง‘โคตรระเบิด’ “ไอซิส”ตายเป็นร้อย! ที่อัฟกัน

เมื่อ 14 เม.ย. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานความคืบหน้ากองกำลังสหรัฐฯทิ้งระเบิด GBU-43/B Massive Ordanance Air Blast BOMB (MOAB) ซึ่งเป็นระเบิดขนาดใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ จนได้รับฉายาเรียกขานว่า ‘Mother of All Bombs’(แม่ของระเบิดทั้งมวล) เป็นครั้งแรก โจมตีเป้าหมายแห่งหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม หรือไอซิส ในเมืองอาชิน จังหวัดนันการ์ฮาร์ ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อเวลา 19.00 น.ของวันที่ 13 เม.ย.ตามเวลาท้องถิ่นว่า เป็นเหตุให้มีสมาชิกกลุ่มไอซิสสิ้นชีพนับ 100 ราย โดยการทิ้ง ‘โคตรระเบิด’ ครั้งนี้ เกิดขึ้นเพียง 5 วัน หลังจากกองกำลังสหรัฐฯต้องสูญเสียสิบเอก มาร์ก ดี อเลนซาร์ ทหารหน่วยปฏิบัติการพิเศษไปหนึ่งนายที่ถูกกลุ่มไอซิสปลิดชีพในพื้นที่ดังกล่าว

ข่าวแจ้งว่า การทิ้งระเบิด MOAB ซึ่งบรรจุวัตถุระเบิดน้ำหนักถึง 11 ตัน ความยาวของลูกระเบิดกว่า 9 เมตร มีพิกัดจีพีเอส ที่แม่นยำมาก และมีพลังการทำลายล้างสูงที่สุดของอเมริกา โจมตีไอซิสที่จังหวัดนันการ์ฮาร์ในครั้งนี้ของสหรัฐฯ ถือเป็นการใช้ระเบิด MOAB เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการทดสอบครั้งแรกในปี 2546 เลยทีเดียว โดยเป้าหมายของกลุ่มไอซิสที่ถูกโจมตี เป็นอุโมงค์ ถ้ำใต้ดินและบังเกอร์ ซึ่งเป็นที่พักหลบซ่อนของนักรบไอซิสในอัฟกานิสถาน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงต่อนักข่าวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ว่า ตนไม่ได้เป็นคนสั่งโจมตีครั้งนี้ แต่ได้มอบอำนาจให้แก่ทางกองทัพสหรัฐฯทั้งหมด และพลเอกจอห์น นิโคลสัน ผู้บัญชาการกองกำลังทหารสหรัฐฯและนานาชาติในอัฟกานิสถานเป็นผู้ออกคำสั่งทิ้งระเบิด MOAB ถล่มเป้าหมายไอซิสในจังหวัดนันการ์ฮาร์ ขณะที่ นายฌอน สไปเซอร์ โฆษกทำเนียบขาว เปิดเผยว่าเป้าหมายไอซิสที่ถูกโจมตี เป็นอุโมงค์และถ้ำที่สมาชิกไอซิสใช้เป็นช่องทางในการไปไหนมาไหนได้อย่างสะดวกและง่ายมากขึ้นสำหรับดำเนินการโจมตีเจ้าหน้าที่อเมริกันที่ให้คำชี้แนะด้านการทหารแก่อัฟกานิสถาน รวมทั้งกำลังทหารอัฟกานิสถานในพื้นที่ดังกล่าว

บีบีซี รายงานว่าแหล่งข่าวในพื้นที่ เผยว่า ความรุนแรงของระเบิด MOAB ตอนตกกระทบพื้นดิน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปไกลถึง 2 เมืองใกล้เคียง อย่างไรก็ตาม พื้นที่ที่โดนโจมตีอยู่ในเขตภูเขาและมีประชากรอาศัยอยู่ไม่มากนัก ขณะที่ นายฮามิด คาร์ไซ อดีตประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน ทวิตข้อความทางทวิตเตอร์ ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯที่ใช้ MOAB ถล่มว่า ขอใช้คำรุนแรงที่สุดในการทิ้งระเบิดที่รุนแรงที่สุด ที่ไม่ใช่ระเบิดนิวเคลียร์ในอัฟกานิสถาน.

โสมแดงพร้อมตอบโต้การยั่วยุของสหรัฐ โวบดขยี้ ‘บลูเฮาส์’ เป็นผุยผงในพริบตา

กองทัพเกาหลีเหนือประกาศกร้าวว่าจะตอบโต้อย่างไร้ความปรานีต่อการยั่วยุใดๆ ก็ตามของสหรัฐ ในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดในเรื่องโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือพุ่งสูงท่ามกลางการคาดการณ์ว่าเกาหลีเหนือเตรียมทดสอบอาวุธครั้งใหม่ ที่นับเป็นรอบที่ 6 ในวันที่ 15 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นวันฉลองครบรอบ 105 ปีชาตะกาลของนายคิม อิลซุง อดีตผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ปู่ของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดคนปัจจุบัน

โดยขณะนี้สหรัฐได้ส่งเรือพิฆาตที่มีสมรรถนะยิงมิสไซล์โทมาฮอว์กโจมตีได้จำนวน 2 ลำ ไปประจำการบนคาบสมุทรเกาหลีแล้ว โดยลำหนึ่งนั้นอยู่ห่างจากสถานที่ทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือออกไปเพียง 300 ไมล์เท่านั้น ขณะที่สหรัฐยังมีเครื่องบินทิ้งระเบิดหนักประจำการอยู่ที่เกาะกวม ซึ่งพร้อมลงมือโจมตีเกาหลีเหนือหากจำเป็น และเมื่อต้นสัปดาห์นี้สหรัฐยังส่งกองเรือโจมตีที่นำโดยเรือบรรทุกเครื่องบินยูเอสเอส คาร์ล วินสัน ไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันตกเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับเกาหลีเหนือด้วย

ในแถลงการณ์ที่เผยแพร่ผ่านสำนักข่าวกลางเกาหลี (เคซีเอ็นเอ) ของทางการ กองทัพประชาชนเกาหลีของเกาหลีเหนือระบุว่า นายทรัมป์ ได้ย่างเท้าเข้าสู่เส้นทางในการข่มขู่แบล็กเมล์ต่อเกาหลีเหนือแล้ว โดยอ้างถึงการยิงมิสไซล์เข้าใส่ฐานทัพของซีเรียของสหรัฐ พร้อมเกทับว่า ฐานทัพสหรัฐที่ตั้งอยู่ในเกาหลีใต้เช่นเดียวกับทำเนียบประธานาธิบดีบลูเฮาส์ของเกาหลีใต้จะถูกบดขยี้เป็นเถ้าถ่านภายในเวลาไม่กี่นาที

“ยิ่งเป้าหมายใหญ่อย่างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์เคลื่อนเข้าใกล้คาบสมุทรเกาหลีมากเท่าไหร่ ผลของการถูกโจมตีอย่างไร้ความปรานีก็จะยิ่งมีมากเท่านั้น” แถลงการณ์ระบุ

ก่อนหน้านี้วันเดียวกัน นายหวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนเตือนว่า ความขัดแย้งอาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อในปัญหาเกาหลีเหนือ โดยจะไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะในสงคราม “การเจรจาถือเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญาหาได้”

วันเดียวกันนี้ ซีซีทีวีของทางการจีนรายงานด้วยว่า สายการบินแอร์ไชน่า ซึ่งเป็นสายการบินเดียวของต่างชาติที่ให้บริการเที่ยวบินพาณิชย์บินตรงถึงเกาหลีเหนือ จะระงับเที่ยวบินไปยังกรุงเปียงยาง ของเกาหลีเหนือนับตั้งแต่วันจันทร์ที่ 16 เมษายนนี้ โดยที่ไม่ได้ให้เหตุผลแต่อย่างใด โดยเที่ยวบินสุดท้ายคือเที่ยวบินที่เดินทางจากกรุงเปียงยางถึงกรุงปักกิ่งในเวลา 18.00 น. วันที่ 14 เมษายน

อย่างไรก็ตามรอยเตอร์รายงานว่า แอร์ไชน่าออกมาปฏิเสธรายงานข่าวของซีซีทีวีโดยระบุว่า จะมีการยกเลิกเที่ยวบินบางส่วนเนื่องจากความต้องการเดินทางน้อยลงเท่านั้น ไม่ได้ระงับเที่ยวบินในเส้นทางดังกล่าวไปทั้งหมดแต่อย่างใด