ข่าว
แฉนาที”ลูกชายนายพล” ถูกรุมยำ ไม่ได้เมากร่าง

เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจเฟชบุ๊ก อยากดังเดี๋ยวจัดให้ V4. ได้โพสต์ข้อความโดยถึงเหตุการณ์รุมทำร้าย นายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ อายุ 23 ปี บุตรชาย พล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผบ.มทบ.38 ที่ร้าน “มาลินสกาย” ผับชื่อดังของเมืองเชียงใหม่ เมื่อกลางดึกวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทั้งนี้เพจดังกล่าวได้ระบุว่า แอดมินเราเป็นอีกคนนึงที่ไปร้านนี้คืนนั้น ซึ่งธรรมดาอยู่แล้ว คนเบียร์ก็ต้องปวดฉี่ บังเอิญมากๆตอนเราไปเข้าห้องน้ำ โดนการ์ดปิดไว้ว่าไม่สะดวก รอสักครู่ เราก็รออยู่ตรงนั้นนานมากก สัก 5 -10 นาทีได้ เลยคิดว่านานไปปะเลยไปนั่งรอที่โต๊ะสักพักเห็นแขกวีไอพีออกมาดาราอะละ เราเลยไปเข้าก็เข้าไปตามปกติแต่ตอนก่อนเกิดเหตุ เราไม่เห็นนะว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมน้องคนนั้นถึงโดนแต่โต๊ะน้องเขาเราเห็นเพราะมุมพอดีจากโต๊ะเราก็เห็นน้องเขาเดินมาที่โต๊ะปกติ ย้ำว่าปกติมากก ไม่มีทีท่าว่าจะเมาหรืออะไร สักพักมีผู้ชาย 3-4 คน นี้แหละ เดินมาจากโต๊ะที่มีดารากับแฟนดารา ก็แบบมาหาน้องเขาคุยอะไรกันสักพักไม่ดังมากน้องคนนั้นก็โดนรุมเลยตอนนั้นไม่ทันคิดว่าจะโดนไงเพราะเขาล้อมน้องคนนั้นไว้เลยไม่เห็นว่าทำอะไรด้วยความที่อยากรู้ก็เลยมองๆดู เขาทำอะไรกัน สักพักน้องคนนั้นตกเก้าอี้หรือโดนลากลงไม่รู้ เราก็เห็นน้องเขาเอามือปิดหน้าไว้ แบบคนจะตีแล้วเอามือป้องหน้าไว้ มีคนแต่งตัวดูดีหน่อยน่ะผู้ชาย ตะโกนอะไรไม่รู้สักอย่าง แบบโชว์กร่างเงี้ย คนชื่อบอลที่ตะโกน แต่งตัวดูดีหน่อยตะโกนแบบโชว์มากๆ นึกว่าจะห้าม แต่เหมือนยิ่งการ์ดจะรุนแรงขึ้นพอคนเริ่มเห็น เหมือนจะลากน้องเขาไปที่อื่นละมีกลุ่มผู้ชายแบบมาช่วยคุยน่าจะนักศึกษาเหมือนกันคือน้องเขาไม่เมาไม่กร่างอะไรทั้งนั้นดูดีมากอ่ะคิดว่าน้องเขาน่าจะไปพูดจริงๆอ่ะ คนเราควรมีสิทธิ์ท่าเทียมกัน แต่มันก็จริงๆนะ คนกินเบียร์ฉี่แทบแตกแต่มาปิดห้องน้ำ ให้พวกวีไอพีเข้านี้ขนาด พี่โดม มา วอมอัพผับดังสุดเชียงใหม่เลยนะ ไม่มีการปิดห้องน้ำ ไม่มีการ์ดคุม ชิวๆสบายๆมาก…

แถลงการณ์พระราชินี ฉ.5 พระอาการดีขึ้น

เมื่อวันที่ 29 พ.ย.59 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่อง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ฉบับที่ 5 ตามที่ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จฯ ไปประทับ ณ ตึก สก. ชั้น 20 ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของคณะแพทย์ เพื่อถวายการรักษาพระอาการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) ซึ่งสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ประกาศให้ทราบมาแล้วนั้น คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้รายงานว่า พระอาการโดยทั่วไปดีขึ้นมาก ไม่มีพระปรอท (ไข้) ทรงรู้พระองค์ดี ทรงพระดำเนินได้ เสวยพระกระยาหารได้ดี มีพระกรรสะ (ไอ) เล็กน้อย ผลการตรวจพระโลหิตและการตรวจทางรังสีวิทยา พบว่าการอักเสบของพระปัปผาสะ (ปอด) หายเกือบเป็นปรกติ คณะแพทย์ฯ จึงกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ กลับมาประทับพักฟื้นที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2559


ครม.แจ้ง สนช.อัญเชิญพระบรมฯเป็น ‘สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ’

เมื่อเวลา 11.19 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ครั้งที่ 76/2559 เป็นพิเศษ ที่มีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานการประชุม ได้มีวาระการพิจารณาเรื่อง การดำเนินการตามมาตรา 2 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ประกอบกับมาตรา 23 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มีผู้เข้าร่วมประชุม 243 คน จาก 250 คน ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งต่อที่ประชุม โดยนายพรเพชร แจ้งต่อที่ประชุมว่า ตามที่มีประกาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร สวรรคต บัดนี้นายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือด่วนที่สุดที่ นร.0503/44549 ลงวันที่ 29 พฤศจิกายน เรื่อง แจ้งเรื่องการสถาปนาแต่งพระรัชทายาทไว้แล้วตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 แจ้งว่า บัดนี้ราชบัลลังก์ว่างลง และพระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้ง สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เป็นพระรัชทายาท ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 คณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงขอแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ แล้วให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อทราบ แล้วให้ประธานรัฐสภาอันเชิญองค์พระรัชทายาท ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป ทั้งนี้ตามรัฐธรรมนูญปี 2557 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ระบุหมวดสองเรื่องพระมหากษัตริย์ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปี2550 หมวด 2 ใน มาตรา 23 คือ กรณีที่ราชบัลลังก์หาว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาล ว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช 2467 แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบ จากนั้นจะให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ


จุฬาฯ 10,000 คน ในกิจกรรม”จุฬาฯ เทิด ธ พระภูมิพล”

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 30 พฤศจิกายน ที่ลานหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี กรุงเทพฯ คณะผู้บริหาร คณาจารย์ แพทย์ พยาบาล บุคลากร นิสิตแพทย์ ผู้ป่วย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์, สภากาชาดไทย, คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน, ศิลปินนักแสดง ร่วมจัดกิจกรรม “จุฬาฯ เทิด ธ พระภูมิพล” ถวายสักการะต่อเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีนายแผน วรรณเมธี เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นประธานพิธีกล่าวถวายราชสดุดี ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวว่า โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขึ้นประดิษฐาน ณ อาคาร ภปร.ด้านสวนลุมพินี เพื่อให้ประชาชนได้รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณพระองค์ท่าน ที่ทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมราชูปถัมภ์สภากาชาดไทยองค์กรสาธารณกุศลระดับชาติที่ดำเนินกิจการเพื่อมนุษยธรรมตามหลักการกาชาดสากล เป็นพึ่งของประชาชนโดยเฉพาะผู้ด้อยโอกาสให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมีความสุข ด้วยพระปรีชาสามารถและพระเมตตา ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระมหากรุณาธิคุณแก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และพสกนิกรชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ โดยกิจกรรมครั้งนี้ เป็นการรวมพลังจากทุกภาคส่วนกว่า 10,000 คน นำโดยคณะผู้บริหาร คณาจารย์ แพทย์ พยาบาล บุคลากร นิสิตแพทย์ แปรอักษรเลข ๙ มหามงคล และเครื่องหมายกาชาด ยืนถวายความอาลัย 89 วินาที พร้อมจุดเทียนถวายราชสดุดี หลังจากนั้นร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญ พระบารมี เพลงความฝันอันสูงสุด เพลงในหลวงของแผ่นดิน เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์โดย The O CU Band


จุฬาฯ ปลื้มติดอันดับ 1 ด้านคุณภาพบัณฑิตไทย

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน นายเกรียงไกร บุญเลิศอุทัย ผู้ช่วยอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกด้านคุณภาพของบัณฑิต QS Graduate Employability Rankings 2017 ซึ่งเป็นการจัดอันดับด้านคุณภาพของบัณฑิตผ่านมุมมองของผู้จ้างงาน โดยสถาบัน Quacquarelli Symonds (QS) สหราชอาณาจักร ได้ประกาศผลอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ปรากฏว่าจุฬาฯ ได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศไทย ซึ่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัยครั้งนี้ มีสถาบันการศึกษาที่ได้รับการจัดอันดับเพียง 300 แห่งจากทั่วโลก โดย 5 อันดับแรกของโลก ได้แก่ อันดับที่ 1 Stanford University สหรัฐ อันดับที่ 2 Massachusetts Institute of Technology (MIT) สหรัฐ อันดับที่ 3 Tsinghua University สาธารณรัฐประชาชนจีน อันดับที่ 4 The University of Sydney ออสเตรเลีย และอันดับที่ 5 University of Cambridge สหราชอาณาจักร สำหรับไทยมีเพียง 2 มหาวิทยาลัยที่ได้รับการจัดอันดับ คือ จุฬาฯ (อันดับ 151-200 ของโลก) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อันดับที่ 201+)


ยิงทิ้งผู้อพยพโซมาเลีย ทำร้ายคนในมหาวิทยาลัยโอไฮโฮ เจ็บ11

เกิดเหตุสะเทือนขวัญขึ้นในสหรัฐอีกครั้ง หลังนายอับดุล ราซัก อาลิ อาร์ตัน วัย 18 ปี ผู้อพยพชาวโซมาเลียที่ได้สิทธิพำนักในสหรัฐเป็นการถาวร ก่อเหตุขับรถพุ่งชนคนเดินภายในมหาวิทยาลัยโอไฮโอสเตท รัฐโอไฮโอ เมื่อเวลาราว 10.00 น. ของวันที่ 28 พฤศจิกายน จากนั้นจึงลงจากรถมาใช้มีดไล่แทงผู้คน ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิตในที่สุด รายงานระบุว่าอาร์ตันได้ขับรถขึ้นมาบนทางเดินและพุ่งชนผู้คนที่ทางเดินเท้าใกล้กับวัตต์ฮอล ซึ่งเป็นอาคารเรียนด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม จากนั้นก็ลงจากรถและใช้มีดหั่นเนื้อไล่แทงผู้คน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเพราะกำลังตรวจสอบก๊าซรั่วรีบเข้ามาระงับเหตุการณ์ และได้ยิงอาร์ตันเสียชีวิตหลังเหตุการณ์เกิดขึ้นเพียงไม่ถึงนาที โดยผู้ได้รับบาดเจ็บมีทั้งเจ้าหน้าที่และนักศึกษา ทั้งนี้กล้องวงจรปิดเผยให้เห็นภาพว่าอาร์ตันเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัยเพียงลำพังก่อนจะลงมือก่อเหตุ ทำให้เชื่อได้ว่าไม่มีผู้สมรู้ร่วมคิดในการลงมือครั้งนี้ อย่างไรก็ดีเจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า กำลังเร่งสอบสวนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการก่อการร้ายหรือไม่ ขณะที่สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ หรือเอฟบีไอ ก็ได้เข้าร่วมในการสอบสวนดังกล่าวด้วยเช่นกัน ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางสหรัฐได้เตือนว่ามีความพยายามของกลุ่มหัวรุนแรงที่จะหาผู้คนให้ลงมือก่อเหตุโจมตีด้วยมีดและรถ ซึ่งทำได้ง่ายกว่าการก่อเหตุระเบิด

‘บอล กฤษณะ’ มอบตัวตร. ยันไม่ได้ทำ

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ที่ สภ.ช้างเผือก อ.เมืองจ.เชียงใหม่ นายกฤษณะ อมิตรสูญ หรือบอล แฟนหนุ่มอุ้ม ลักขณา พร้อมนายสันต์ กาวิชัย ทนายความ นางสาริกา ณ ตะกั่วทุ่ง มารดา มาพบพนักงานสอบสวน เพื่อขอมอบตัว หลังตำรวจออกหมายจับคดีร่วมกับพวก รวม 4 คน ทำร้ายร่างกายนายอิศราชนุวัฒภ์ วรรคาวิสันต์ หรือเจมส์บอน บุตรชาย พล.ต.วิทยา วรรคาวิสันต์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 38 จ.น่าน จนได้รับบาดเจ็บสาหัส รักษาตัวที่โรงพยาบาลลานนา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน หรือ 5 วันที่ผ่านมา โดยมีสื่อมวลชนร่วมทำข่าวดังกล่าวจำนวนมาก นายกฤษณะ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า หลังตำรวจออกหมายจับ ได้มามอบตัวตามหมายจับ และตามหลักความยุติธรรม อะไรผิดอะไรถูกว่าตามความยุติธรรม หากผมทำผิดก็ต้องยอมรับในสิ่งที่ทำผิด แต่ยังยืนยืนว่า ความยุติธรรมน่าจะช่วยผมให้รอดจากความผิดได้ วันนี้มาให้ปากคำส่วนเมื่อวานนี้ ที่ไม่ยอมพบสื่อ หลังถูกสอบปากคำมากว่า 12 ชั่วโมง เพราะเหนื่อยมาก ไม่ได้นอนมา 3 วันแล้ว อยากกลับไปพักผ่อน ขอโทษด้วยครับ