ข่าว
โอลิมปิก2024 ฝรั่งเศสไม่ขายน้ำเมาให้แฟนกีฬาทั่วไป เหตุติดกฎหมาย แต่เสิร์ฟได้ในโซน VIP

วันที่ 30 มิถุนายน 2566 The Oregonian นสพ.ท้องถิ่นเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา เสนอข่าว Alcohol sales banned to fans at the 2024 Paris Summer Olympics ระบุว่า ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปี 2567 (Olympics 2024) ซึ่งประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพนั้น จะไม่อนุญาตให้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ในสนามกีฬาในพื้นที่ของบุคคลทั่วไป เว้นแต่ในโซนบุคคลสำคัญ (VIP) เท่านั้น

ที่มาของข้อห้ามดังกล่าวมาจากกฎหมายที่มีอยู่แล้วของฝรั่งเศส และแม้จะสามารถทำเรื่องขออนุญาตยกเว้นเป็นการเฉพาะได้ แต่คณะกรรมการจัดงานตัดสินใจไม่ดำเนินการ เนื่องจากกฎหมายอนุญาตให้มีการยกเว้น 10 เหตุการณ์ต่อผู้จัดงานต่อปีต่อเทศบาล แต่ด้วยการแข่งขันมากกว่า 700 ครั้งในสถานที่ระหว่างการแข่งขัน การขนส่งจะทำได้ยากและจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ VIP สามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ เนื่องจากมีช่องโหว่ในกฎหมายซึ่งไม่บังคับใช้กับพื้นที่ต้อนรับของสิ่งอำนวยความสะดวก โฆษกของคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2024 ชี้แจงว่า การใช้กฎหมายที่เข้มงวดของฝรั่งเศสที่อนุญาตให้บริการจัดเลี้ยงซึ่งรวมถึงการจัดหาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถดำเนินการในพื้นที่ต้อนรับได้ เนื่องจากอยู่ภายใต้กฎหมายแยกต่างหากเกี่ยวกับการจัดเลี้ยง

ฝรั่งเศสเริ่มใช้กฎหมายคุมเข้มการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ หรือที่เรียกกันว่า “กฎหมายเอวิน (Evin’s Law)” ตั้งแต่ปี 2534 อาทิ จำกัดการโฆษณาทางโทรทัศน์ การตลาดไปยังเยาวชน และการให้การสนับสนุนโดยแบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ท่ามกลางกฎระเบียบอื่นๆ เบียร์และไวน์มีจำหน่ายในสนามกีฬาโอลิมปิกที่บราซิลในปี 2559 และอังกฤษในปี 2555

ส่วนโอลิมปิกที่ญี่ปุ่นซึ่งเลื่อนจากปี 2563 มาแข่งกันในปี 2564 เป็นการแข่งขันแบบปิดไม่มีผู้ชม เนื่องจากเป็นช่วงที่โลกเผชิญสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่การแข่งขันฟุตบอลโลกเมื่อปี 2565 (World Cup 2022) ที่กาตาร์ ไม่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้กับแฟนบอลทั่วไปยกเว้นในโซน VIP

ขอบคุณเรื่องจาก https://www.oregonlive.com/sports/2023/06/alcohol-sales-banned-to-fans-at-the-paris-summer-olympics.html

อบรมทักษะเทคนิคการนวดสัญจร

สัญจร เมื่อวันที่ 29-30 มิ.ย. ที่ผ่านมา สมาคมนวดไทยและสปาแห่งสหรัฐอเมริกา ได้จัดอบรมทักษะเทคนิคการนวดสัญจรที่สถานเอกอัครราชทูตณ วอชิงตันดีซี โดยมีท่านฑูต ธานี แสงรัตน์ เอื้อเฟื้อสถานที่ เลยถือโอกาสร่วมฉลองงาน “สวัสดีดีซี” 190 ปีความสัมพันธ์การฑูตระหว่างไทย-อเมริกัน ในวันที่ 2 ก.ค. ด้วย


ศาลฎีกาสหรัฐฯ สั่งยกเลิกกฎการรับนักศึกษาโดยใช้เกณฑ์ “เชื้อชาติ”

ศาลฎีกาสหรัฐฯ ประกาศว่า เชื้อชาติไม่สามารถเป็นปัจจัยหนึ่งในการรับเข้าศึกษาในวิทยาลัยได้ และบังคับให้สถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อให้บรรลุถึงจำนวนนักศึกษาที่มีความหลากหลาย

การพิจารณาคดีครั้งสำคัญนี้ถือเป็นการยกระดับนโยบายของสหรัฐฯ ที่มีมานานหลายทศวรรษเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า “การปฏิบัติอย่างแตกต่างกันเพื่อความเป็นธรรม” (Affirmative action) หรือที่เรียกกันว่า “การเลือกปฏิบัติในเชิงบวก” ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดในวงการศึกษาของสหรัฐฯ โดย “การปฏิบัติอย่างแตกต่างกันเพื่อความเป็นธรรม” ถูกนำมาใช้เป็นนโยบายในช่วงทศวรรษที่ 1960 และได้รับการปกป้องในฐานะมาตรการเพื่อเพิ่มความหลากหลาย

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวว่า เขาไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินของศาล “เราไม่สามารถปล่อยให้การตัดสินใจนี้เป็นคำตัดสินสุดท้าย” และกล่าวว่า “การเลือกปฏิบัติยังคงมีอยู่ในอเมริกา”

“นี่ไม่ใช่ศาลธรรมดา” เขากล่าวเสริมถึงผู้พิพากษา 9 คน ซึ่งแตกแยกทางอุดมการณ์ระหว่างฝ่ายอนุรักษนิยม 6 คน และฝ่ายเสรีนิยม 3 คน

มิเกล คาร์โดนา รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ กล่าวว่า ศาลได้ยกเลิกเครื่องมือสำคัญที่ผู้นำมหาวิทยาลัยใช้เพื่อรับรองความหลากหลายในมหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ไม่ได้หายไปคือความตั้งใจที่จะทำให้วิทยาลัยของอเมริกา ประกอบด้วยนักศึกษาที่มีความหลากหลาย เช่นเดียวกับประเทศของเรา” และเสริมว่าทำเนียบขาวจะออกคำแนะนำแก่มหาวิทยาลัยต่างๆ พร้อมคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการ รักษาความหลากหลายตามกฎหมาย

การพิจารณาคดีครอบคลุมสองกรณีที่เกี่ยวข้องกับการรับเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา

ผู้พิพากษาตัดสินให้องค์กรชื่อ Student for Fair Admissions ซึ่งก่อตั้งโดยนายเอดเวิร์ด บลัม นักเคลื่อนไหวทางกฎหมาย เป็นฝ่ายชนะ กลุ่มดังกล่าวโต้เถียงกันต่อศาลเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วว่า นโยบายการรับเข้าเรียนที่คำนึงถึงเชื้อชาติของฮาร์วาร์ดนั้นละเมิดกฎหมายสิทธิพลเมืองปี 1964 หัวข้อที่ 6 ซึ่งห้ามการเลือกปฏิบัติโดยพิจารณาจากเชื้อชาติ สีผิว หรือชาติกำเนิด

หัวหน้าผู้พิพากษาระบุว่า “มหาวิทยาลัยหลายแห่งสรุปอย่างผิดๆ มานานเกินไปว่าหลักสำคัญของอัตลักษณ์ของแต่ละคนไม่ใช่ความท้าทาย ทักษะที่สร้างขึ้น หรือบทเรียน แต่เป็นสีผิวของพวกเขา” ความเห็นส่วนใหญ่ของเขาชี้ว่านโยบายของฮาร์วาร์ด และมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา นั้น “มีเจตนาดี” และคำตัดสินระบุว่า มหาวิทยาลัยไม่ควรถูกห้ามการพิจารณาผู้สมัครเข้าเรียน เกี่ยวกับ “การอภิปรายว่าเชื้อชาติส่งผลต่อชีวิตของเขาหรือเธออย่างไร”

ด้านแองจี กาโบ ประธานสมาคมนักเรียนผิวดำแห่งฮาร์วาร์ด กล่าวว่าเธอ “ท้อใจมาก” กับการตัดสินใจดังกล่าว

กาโบ ซึ่งอายุ 21 ปีและกำลังเรียนปีสุดท้ายที่ฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เธอเชื่อ 100% ว่าเชื้อชาติของเธอเป็นปัจจัยสำคัญในการสมัครของเธอ รวมถึงการผ่านการเขียนเรียงความการสมัครเข้าเรียนด้วย เธอกังวลว่า “นักเรียนที่ได้รับผลกระทบจากเชื้อชาติของตนเองในประเทศนี้ จะได้รับบาดแผลในการสมัครเข้าเรียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเชื้อชาติส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาอย่างไร”

นายลอเรนซ์ บาคาว ประธานมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวในแถลงการณ์ว่า ในขณะที่วิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ “จะปฏิบัติตามคำตัดสินของศาลอย่างแน่นอน” แต่จะยังคงรวม “ผู้คนที่มีภูมิหลัง มุมมอง และประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย” เข้าไว้ด้วยกัน

ด้านนายเควิน กัสเควิซ อธิการบดีของมหาวิทยาลัยนอร์ท แคโรไลนา กล่าวว่า แม้ว่าจะไม่ใช่ผลลัพธ์ตามที่มหาวิทยาลัยหวังไว้ แต่ก็จะทบทวนการตัดสินใจ และจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย


อาลัย คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ภรรยา 'เจ้าสัวธนินท์' แห่งเครือเจริญโภคภัณฑ์

เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. รายงานข่าวแจ้งว่า คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ภริยานายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด (ซีพีกรุ๊ป) เสียชีวิตแล้ว

เวลา 17.05 น.สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ป.ช.,ป.ม.,ต.จ. ณ บ้านเลขที่ 88 หมู่บ้านวินด์มิลล์ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ

ทั้งนี้ คุณหญิงเทวี นามสกุลเดิม วัฒนลิขิต สมรสกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ มีทายาทรวม 5 คน เป็นชาย 3 คน หญิง 2 คน ได้แก่ นางวรรณี เจียรวนนท์ รอสส์, นายสุภกิต เจียรวนนท์, นายณรงค์ เจียรวนนท์, นายศุภชัย เจียรวนนท์ และนางทิพาภรณ์ อริยวรารมย์

คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ นอกจากจะเป็นภรรยานักธุรกิจชั้นนำ และมารดาของผู้บริหารระดับประเทศ ยังมีความสนใจในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และส่งเสริมการศึกษาให้แก่เยาวชนที่ขาดโอกาสได้มีความรู้มาอย่างยาวนาน ทั้งยังช่วยเหลือประชาชนผ่านโครงการต่างๆ รวมไปถึง มูลนิธิธนินท์ เทวี เจียรวนนท์ รวมถึงมูลนิธิพุทธรักษา

ทั้งนี้ คุณหญิงเทวีได้รับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ "สตรีไทยดีเด่น" ในวันสตรีไทยประจำปี 2560 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และ รางวัลแม่ของผู้ทำประโยชน์ต่อสังคมและประเทศ ในงานวันแม่แห่งชาติ ปี 2556 ซึ่งเคยได้ให้สัมภาษณ์เมื่อครั้งได้รับรางวัลแม่ดีเด่นว่า เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูก ก็ต้องเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดทั้ง 5 คน และคอยสอนลูกตลอดว่า ทำอะไรผิดต้องบอกแม่ และยึดคติ รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี

อาลัยคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ภริยาเจ้าสัวซีพี "ผู้เปี่ยมเมตตา ถึงแก่อนิจกรรม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ “นายหญิงแห่งอาณาจักรซีพี” ภริยาเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ที่ครองคู่ใช้ชีวิตกันมายาวนานถึง 62 ปี ครอบครัวโศกเศร้าอาลัยรักสุดซึ้ง เผยประวัติชีวิตแสนงดงามเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต อบรมเลี้ยงดูบุตรธิดาจนได้รับเลือกเป็นแม่ดีเด่น ทั้งยังได้รับการยกย่องเป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อุทิศตนช่วยเหลือสังคมรวมถึงผู้ด้อยโอกาสเสมอ

เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 29 มิ.ย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ไปในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ ป.ช., ป.ม., ต.จ. ณ บ้านพักในหมู่บ้านวินด์มิลล์ บางนา การนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์โดยตลอด

ทั้งนี้ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ เป็นภริยาของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี ได้ถึงแก่อนิจกรรม ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ขณะอายุได้ 83 ปี ถือเป็นความสูญเสียที่สุดพรรณาและความเศร้าโศกสุดอาลัยรักต่อครอบครัวเจียรวนนท์ บุคคลใกล้ชิด รวมถึงพนักงานทุกคนในเครือเจริญโภคภัณฑ์และบริษัทในเครือ เนื่องด้วยคุณหญิงเทวีเป็นบุคคลที่เปี่ยมล้นไปด้วยความเมตตา ทำนุบำรุงศาสนา ช่วยเหลือสังคมและผู้ด้อยโอกาสเป็นนิจศีล จึงเป็นที่รักใคร่ของทุกคน รวมทั้งเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากสังคมในฐานะแม่ดีเด่นและสตรีไทยดีเด่น

สำหรับประวัติคุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ (นามสกุลเดิมวัฒนลิขิต) เกิดเมื่อวันที่ 25 ก.พ.2483 สมรสกับนายธนินท์ เจียรวนนท์ มีบุตรธิดาชายหญิงรวม 5 คน ได้แก่ นางวรรณี (เจียรวนนท์) รอสส์ สมรสกับ มร.ไมเคิล รอสส์ นายสุภกิต เจียรวนนท์ สมรสกับนางมาริษา เจียรวนนท์ นายณรงค์ เจียรวนนท์นายศุภชัย เจียรวนนท์ สมรสกับนางบุษดี มหพันธุ์ และนางทิพาภรณ์ อริยวรารมย์ สมรสกับ ดร.ชวัลวัฒน์ อริยวรารมย์

คุณหญิงเทวีเป็นผู้ที่อุทิศตนให้กับสังคม ดูแลครอบครัวอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง เป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังน้อมนำพระบรมราโชวาทและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการอบรมสั่งสอนบุตรหลาน กระทั่งในปี 2556 สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มอบรางวัลแม่ดีเด่นเนื่องในวันแม่แห่งชาติให้กับคุณหญิงเทวี

นอกจากนี้ คุณหญิงเทวียังได้เข้ารับพระราชทานโล่เชิดชูเกียรติ “สตรีดีเด่น” ประเภทส่งเสริมศาสนกิจและสังคมจากบทบาทของการเป็นภรรยานักธุรกิจชั้นนำระดับประเทศและการเป็นแม่ที่เลี้ยงดูบุตรให้เติบโตประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เป็นคนดี มีคุณธรรม บำเพ็ญตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ รวมทั้งยังเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่ทำให้เกิด “มูลนิธิ ธนินท์-เทวี เจียรวนนท์” เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ขาดโอกาสทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมถึง “มูลนิธิพุทธรักษา เพื่อสนับสนุนโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน และช่วยเหลือคุณครู”

คุณหญิงเทวียังมีความศรัทธาและใฝ่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างสม่ำเสมอ การลาจากของคุณหญิงเทวีที่ได้ทำหน้าที่เป็น “คู่ชีวิต” ผู้เข้มแข็งมั่นคง เป็นแม่ที่ดีและเป็นภรรยาที่แสนประเสริฐของเจ้าสัวซีพีมาอย่างยาวนานถึง 62 ปี จึงถือเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่และครั้งสำคัญของครอบครัว “ เจียรวนนท์”

ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก We are CP ได้โพสต์ข้อความไว้อาลัย “คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์” โดยระบุว่า “คณะผู้บริหารและพนักงาน เครือเจริญโภคภัณฑ์ ขอแสดงความอาลัยอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของ คุณหญิงเทวี เจียรวนนท์ และขอร่วมแสดงความเสียใจอย่างเป็นที่สุดต่อท่านประธานอาวุโส ธนินท์ เจียรวนนท์ และครอบครัวเจียรวนนท์ทุกท่าน”

ส่วนกำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศล มีดังนี้ พระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมในเวลา 18.30 น. ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 มิ.ย. ถึงวันที่ 5 ก.ค. กำหนดการบำเพ็ญพระราชกุศล 7 วัน วันอังคารที่ 4 ก.ค.เวลา 17.00 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ พระธรรมเทศนากัณฑ์ 1 พระสงฆ์ 4 รูป สวดธรรมคาถาวันพุธที่ 5 ก.ค. เวลา 10.00 น. พระสงฆ์ 10 รูป สวดพระพุทธมนต์ สวดถวายพรพระ รับพระราชทานภัตตาหาร (ปิ่นโต)


แหล่งข่าวเผย “นายพลรัสเซีย” คุมสมรภูมิยูเครน-ถูกจับฐานสมคบ “บิ๊กแวกเนอร์”

เอพี รายงานวันที่ 30 มิ.ย. ว่า แหล่งข่าวที่มีความใกล้ชิดกับหน่วยข่าวกรองของสหรัฐอเมริกาและยูเครนเปิดเผยว่า พล.อ.เซอร์เก ซูโรวิกิน รองผู้บัญชาการกองกำลังรัสเซียที่ปฏิบัติการพิเศษในยูเครน ถูกควบคุมตัวไม่กี่วันหลังเกิดกรณีที่นายเยฟเกนี ปริโกซิน หัวหน้ากลุ่มแวกเนอร์ กลุ่มทหารรับจ้างสัญชาติรัสเซีย พยายามก่อกบฏบุกกรุงมอสโกเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา

โดยมีการกล่าวหาว่า พล.อ.ซูโรวิกินอาจสมรู้ร่วมคิดกับนายปริโกซิน แต่ยังไม่มีรายงานการจับกุมอย่างเป็นทางการ รวมถึงไม่มีรายละเอียดว่าพล.อ.ซูโรวิกินถูกคุมขังที่ไหนและจะโดนดำเนินคดีในข้อหาอะไร

รายงานระบุว่า นายปริโกซินแสดงจุดยืนชัดเจนว่าไม่พอใจพล.อ.อาวุโส เซอร์เก ชอยกู รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมรัสเซีย รวมถึงเคยเสนอแนะให้แต่งตั้งพล.อ.ซูโรวิกินขึ้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารแทนพล.อ.วาเลรี เกราซีมอฟ

ด้านนิวยอร์กไทมส์ระบุว่า พล.อ.ซูโรวิกินรู้ว่านายปริโกซินมีแผนการขับไล่พล.อ.ชอยกู โดยทั้งคู่มีความสนิทสนามตั้งแต่รัสเซียส่งกองทัพ รวมทั้งกลุ่มแวกเนอร์ เข้าไปช่วยเหลือรัฐบาลซีเรียในสงครามกลางเมืองที่ตั้งแต่ปี 2558

นอกจากนี้ยังมีข่าวอีกว่าเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงหลายนายที่อาจสมรู้ร่วมคิดกับนายปริโกซินจะถูกดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดตามที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวก่อนหน้านี้ว่าจะลงโทษพวกกบฏที่แทงข้างหลัง

นายเอล็กเซ เวเนดิกตอฟ อดีตผู้อำนวยการสถานีวิทยุเอกโคมอสโก สถานีวิทยุอิสระชื่อดังที่ถูกทางการสั่งปิดหลังจากรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน เปิดเผยว่า พล.อ.ซูโรวิกินและเจ้าหน้าที่ทหารคนสนิทหลายนายไม่ได้ติดต่อกับครอบครัวมานาน 3 วันแล้ว แต่ไม่ได้ชี้ชัดว่าถูกควบคุมตัวหรือไม่

ขณะที่แพลตฟอร์ม รูบาร์ ช่องทางข่าวสารทางการทหารของรัสเซีย ระบุว่ามีการดำเนินการกวาดล้างทหารครั้งใหญ่ในกองทัพรัสเซีย และบางส่วนถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับนายปริโกซินา

ขณะเดียวกัน นายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวเมื่อต้นสัปดาห์ต่อประเด็นข่าวของนิวยอร์กไทมส์ที่ว่าเป็นแค่การคาดเดา และเมื่อถูกถามว่าพล.อ.ซูโรวิกินถูกจับหรือไม่เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา นายเปสคอฟปฏิเสธที่จะตอบคำถามดังกล่าว

ส่วนประเด็นความไว้วางใจของประธานาธิบดีปูตินต่อพล.อ.ซูโรวิกินนั้น นายเปสคอฟตอบเพียงว่านายปูตินทำงานร่วมกับรัฐมนตรีกลาโหมและหัวหน้าเสนาธิการทหาร ก่อนส่งต่อคำถามเกี่ยวกับพล.อ.ซูโรวิคินให้เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมชี้แจงแทน

ประธานาธิบดีโจ ไบเดนปูพรมแดง ต้อนรับ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” แห่งอินเดีย

แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเก้าปีก่อน “นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี” แห่งอินเดียเคยถูกปฏิเสธวีซ่าเข้าสหรัฐฯ แต่บัดนี้กลับตาลปัตรกลายเป็นนักการเมืองเนื้อหอมที่สหรัฐอเมริกานิยมชมชอบไปเสียแล้ว

โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 22 มิถุนายน 2023นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการจาก “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” และสภาคองเกรส แถมด้วยคนอเมริกันกว่าเจ็ดพันคนที่ต่างแห่แหนไปต้อนรับและส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้อง เมื่อนายกรัฐมนตรีโมดีเดินทางมาถึงทำเนียบขาว !!!

ทั้งนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อมานานแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นแห่งศตวรรษที่ 21 และข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกในรอบสิบห้าปีที่มีโอกาสได้ต้อนรับการเยือนของผู้นำแห่งสาธารณรัฐอินเดีย และขอกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี สู่ทำเนียบขาว”

แค่เพียงประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวคำต้อนรับจบประโยคลง ปรากฏว่าผู้เข้าร่วมต้อนรับนายกรัฐมนตรีนเรน ทรา โมดี ก็ได้ส่งเสียงเชียร์อย่างกึกก้องว่า “โมดี ! โมดี ! โมดี !”

โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้กล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “หากย้อนกลับไปในอดีตครั้งที่ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี และท่านเพิ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เราเคยมีโอกาสใช้เวลาพูดคุยเจรจากันหลายครั้งหลายครา และขณะนี้ก็มีโอกาสที่เราจะสานต่อความสัมพันธ์ที่ไว้เนื้อเชื่อใจและเคารพซึ่งกันและกันอย่างจริงใจ เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาที่ทั่วทุกมุมโลกกำลังเผชิญอยู่อย่างท้าทายในศตวรรษนี้”

ต่อจากนั้น นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ก็ได้กล่าวตอบว่า “การเป็นหุ้นส่วนความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหรัฐอเมริกาและอินเดีย ถือเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของทั้งโลก…อินเดียและสหรัฐอเมริกาได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในทุกเรื่องตั้งแต่ปัญหาการยุติความยากจน และการขยายการเข้าถึงในการบริการด้านสุขภาพ เรื่อยไปจนถึงการจัดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปจนถึงการแก้ปัญหาความไม่มั่นคงด้านอาหารและพลังงาน…อีกทั้งเรายังเป็นเสาหลักเพื่อสร้างความมั่นใจที่จะทำให้เทคโนโลยีที่สำคัญและที่เกิดใหม่ ที่เราทั้งสองประเทศจะร่วมสานต่อในการเป็นหุ้นส่วนจากรุ่นสู่รุ่นต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีความสำคัญสำหรับสหรัฐอเมริกาและอินเดียและสำหรับนานาประเทศทั่งโลกอีกด้วย”

ตอนหนึ่งนายกรัฐมนตรีโมดีได้ยังเสริมต่อไปอีกว่า “ข้าพเจ้าขอแสดงความขอบคุณต่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน สำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นและมิตรภาพที่มอบให้ และพิธีต้อนรับที่ยิ่งใหญ่ ณ ทำเนียบขาวในวันนี้ ถือเป็นเกียรติและเป็นความภาคภูมิใจสำหรับคนอินเดียมากกว่า 1.4 พันล้านคน และยังเป็นเกียรติต่อคนอินเดียมากกว่า 4 ล้านคนที่พำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยินดีอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสได้เห็นชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียจำนวนมากในรัฐสภาคองเกรสอีกด้วย”

นอกจากนั้นนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ยังได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากสภาคองเกรสอีกด้วย

ขณะที่นายกรัฐมนตรีโมดีกล่าวสุนทรพจน์ต่อสมาชิกสภาคองเกรส เขาได้ชี้ไปที่ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” ที่นั่งบนแท่นเวทีด้านหลังและได้กล่าวยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศอินเดีย”

สำหรับการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสนั้น นายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวตอนหนึ่งว่า “เรามาจากสถานการณ์และประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน แต่เราก็เป็นหนึ่งเดียวกันมีวิสัยทัศน์และมีโชคชะตาร่วมกัน”

ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีโมดีได้กล่าวปิดท้ายว่า “เมื่อความร่วมมือของเราก้าวหน้าก็จะนำความเฟื่องฟูทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น จนมีผลทำให้นวัตกรรมเติบโต วิทยาศาสตร์เฟื่องฟูเพิ่มพูนความรู้เพื่อผลประโยชน์ของมนุษยชาติ ของท้องทะเลและของท้องฟ้าให้มีความปลอดภัยมากขึ้น มีประชาธิปไตยที่มั่นคงจนทำให้โลกน่าอยู่มากขึ้น”

เมื่อมองจากภาพรวมของการเยือนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีโมดี ในครั้งนี้นับได้ว่าทั้งสองประเทศต่างได้กระชับความสัมพันธ์และมีข้อตกลงกันว่า ในปีค.ศ. 2024 ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันทำงานทางด้านกลาโหม ด้านการดูแลสุขภาพ เศรษฐกิจ และเทคโนโลยีด้านอวกาศ โดยมีข้อตกลงที่จะทำภารกิจร่วมกันในองค์การนาซา ณ สถานีอวกาศนานาชาติ !!!

และเมื่อวิเคราะห์ในแง่ผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ต่อข้อตกลงด้านการเป็นหุ้นส่วนกับประเทศอินเดียแล้วนั้น ดูเหมือนประธานาธิบดีโจ ไบเดนคาดการณ์เอาไว้ว่า จะเป็นความความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างสองประเทศและแน่นอนว่าย่อมจะลดความสัมพันธ์ของอินเดียที่มีต่อรัสเซียให้ลดน้อยถอยลงอีกด้วย

ทั้งนี้ทางด้านการต่างประเทศของอินเดียนั้นนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ออกมากล่าวว่า “อินเดียยังคงยืนหยัดที่จะวางตัวเป็นกลาง”

ซึ่งที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า อินเดียไม่เคยแสดงท่าทีคัดค้านต่อการรุกรานของรัสเซียในการบุกเข้ารุกราน “ยูเครน” และอินเดียยังส้มหล่นได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย เพราะรัสเซียต้องการเงินตราเข้าประเทศหลังจากที่โดนคว่ำบาตรนั่นเอง

และการวิเคราะห์จากข้อมูลดาวเทียมของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์พบว่า มีเรือบรรทุกน้ำมันหลาย สิบลำเดินทางจากรัสเซียพุ่งตรงไปอินเดียทุกๆ เดือนในช่วงสงครามยูเครน โดยอินเดียกลายเป็นผู้ซื้อหลักน้ำมัน ดิบจากรัสเซีย

และจากรายงานข่าวของ International Energy Agency เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วยังได้ออกมาระบุว่า อินเดียซื้อน้ำมันเกือบสองล้านบาร์เรลต่อวัน หรือประมาณร้อยละ 45% ของการนำเข้า ทำให้อินเดียมีธุรกิจที่ดีจากการกลั่นน้ำมันดิบ และจากการวิเคราะห์ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ระบุว่า ราคาโดยเฉลี่ยที่รัสเซีย ขายให้แก่อินเดียอยู่ที่ 78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามยูเครนส่วนใหญ่แล้วอินเดียสั่งซื้อน้ำมันดิบจากกลุ่มประเทศแถบตะวันออกกลาง

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นจากการรายงานครั้งล่าสุดของสำนักหยั่งเสียง Morning Consult ด้านภาพลักษณ์โดยรวมของ “นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี” แห่งประเทศอินเดียปรากฏออกมาว่าขณะนี้ได้กลายเป็นผู้นำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกเหนือจากผู้นำจากบรรดานานาประเทศ โดยขณะนี้ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” ได้รับคะแนนนิยมจากทั่วโลกแค่เพียง 40% และจากการเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการของผู้นำอินเดียในครั้งนี้ ก็อาจจะเป็นโอกาสดีที่สหรัฐฯ จะพูดจาโน้มน้าวหว่านล้อมให้อินเดียยอมถอยห่างจากรัสเซียและหันหลังให้กับจีน

ข่าว:วิวัฒน์ เศรษฐช่วย