ข่าว
พระพยอมพูดถึงพระมิตซูโอะ-หลวงปู่เณรคำ

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 7 ก.ค. ที่วัดสวนแก้ว หมู่ 1 ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี พระพยอม กัลยาโณ กล่าวถึงเรื่องพระที่ตกเป็นข่าวดังอยู่ในขณะนี้ว่า กรณี เณรคำ เท่าที่ติดตามข่าว โดยส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงิน ซึ่งเงินทำบุญจากญาติโยมนั้นเยอะผิดปกติ เชื่อว่าหากพระรูปใดเดินทางเป็นขบวนใหญ่ มีรถนำ เกินกว่าฐานะของพระสงฆ์ ใช้ข้าวของที่แพงเกินจริง นั้นจะต้องมีอะไรแอบแฝงอยู่อย่างแน่นอน เพราะเวลาอาตมาเดินทางไปไหนก็เดินทางไปเพียงลำพัง หรือก็มีลูกศิษย์ติดตามไปไม่กี่คนเท่านั้น แต่ที่น่าตำหนิที่สุดก็น่าจะเป็นยายของเด็กสาว ที่อ้างว่ามีลูกกับเณรคำ ถ้าเป็นเรื่องจริงทางยายของเด็ก ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าสมควรหรือไม่ ที่ทำไปเพียงเพราะอยากได้เงินเท่านั้น ส่วนเณรคำตอนนี้ก็ไม่น่าจะอยู่ในฐานะของพระสงฆ์แล้ว น่าจะกลับมาสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความจริงกันไป แต่เชื่อว่าน่าจะหลบหนีล่องหนไม่ยอมกลับมารับความผิดอย่างแน่นอน

พระพยอม กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของอดีตพระมิตซูโอะ อาตมาเห็นว่าเป็นพระที่ดี อยู่ในศีลธรรมมาตลอด แต่เหตุน่าจะเกิดจากความสนิทสนมชิดใกล้กับสีกามากเกินไป โดยน่าจะโทษทางผู้หญิงที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระสงฆ์ ก็ไม่น่าจะเข้ามาเกี่ยวข้อง จนเกินเลย มาวัดก็ควรมาแค่เพียงศึกษาธรรมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และเสียดายที่พระมิตซูโอะ ไม่ยอมพูดความจริงเสียตั้งแต่แรก ว่าลาสิกขาเพราะเหตุใด น่าจะพูดกันโดยตรง ไม่ว่าจะสึกออกไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม

สองสาวไทยหนีซ่องนรกฮ่องกง ร้อง“เจ๊ปิ๊ก”ถูกหลอกขายตัว

วันที่ 10 ก.ค. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) นางปวีณา หงสกุล รมว.การพัฒนาสังคมฯ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชวลิต แสวงพืชน์ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) ได้นำผู้เสียหาย ซึ่งเป็นหญิงวัย 27 ปี จำนวน 2 คน ถูกนายหน้าคนไทยหลอกไปค้าประเวณีที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกงมาร่วมแถลงข่าว โดยนางปวีณา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ได้รับโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจาก 2 สาวที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่ฮ่องกง แต่หลบหนีออกมาได้และซุกซ่อนตัวอยู่สนามบินที่ฮ่องกง ตนจึงได้ประสานไปยังอธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ความช่วยเหลือโดยเร่งด่วนและได้นำตัวกลับยังประเทศไทย

นางปวีณา กล่าวว่า จากการสอบถามหญิงผู้เสียหาย 2 คนดังกล่าว ซึ่งเป็นคนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทราบว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันและถูกนายหน้า ซึ่งเป็นหญิงไทยอายุ 38 ปีมาแนะนำให้ไปทำงานนวดแผนโบราณที่ฮ่องกง โดยอ้างว่ารายได้ดี เพียง1เดือนก็ได้เงิน 8-9 หมื่นบาท เพราะความที่รู้จักกับหญิงนายหน้าที่ว่าและเชื่อใจจึงได้เดินทางไปเมื่อวันที่ 4ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายหน้าที่ว่าจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินให้ ขณะที่เดินทางไปนายหน้าก็จะโทรศัพท์แจ้งถึงวิธีการขั้นตอนการยื่นเอกสารต่างๆ เพื่อเข้าฮ่องกง และเมื่อไปถึงก็มีชายชาวฮ่องกงอายุ 45 ปี นำรถแท๊กซี่มารับตัวไปยังเกาะเกาลูน จากนั้นก็พาขึ้นไปห้องพักตึกแถวแห่งหนึ่งที่มีการล็อคประตูแน่นหนาไม่สามารถไปไหนได้ โดยมีคนคอยคุมตลอดเวลา และถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ ตั้งแต่เวลา 07.00-02.00 น.ทุกวัน โดยบอกเงื่อนไขว่าต้องรับแขกให้ได้จำนวน 200 คน เพื่อปลดหนี้จากค่าใช้จ่ายการเดินทาง เมื่อปลดหนี้ครบก็จะได้รายได้ประมาณ 240 บาทต่อการขายบริการ 1 คน

รมว.การพัฒนาสังคมฯ กล่าวด้วยว่า ผู้เสียหายทั้งสองพยายามหาทางหลบหนีออกมาได้เมื่อเวลา 05.00 น. ของวันที่ 6 ก.ค.และเรียกแท๊กซี่มาส่งที่สนามบินฮ่องกง และหลบซ่อนอยู่ที่สนามบิน 4 วัน เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ โดยพยายามหาหนทางขอความช่วยเหลือ ซึ่งได้ใช้โทรศัพท์ที่ติดตัวและอาศัยไวไฟที่สนามบินค้นหาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต เพื่อขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ เมื่อตนได้รับทราบก็เร่งประสานกรมการกงสุลในการช่วยเหลือผู้เสียหายโดยเร่งด่วน ขณะนี้ทั้งสองยังอยู่ในอาการหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากถูกนายหน้าข่มขู่จะเอาถึงชีวิตถ้าหลบหนี อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้ประสานกับกระทรวงยุติธรรม และ ปคม.ในการคุ้มครองพยานและครอบครัวแล้ว และประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเร่งดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องจนถึงที่สุด ในส่วนของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ก็ได้ส่งนักสังคมสงเคราะห์คอยช่วยดูแลฟื้นฟูสภาพจิตใจ รวมถึงการช่วยเหลือสงเคราะห์ด้านต่างๆ ในการดำเนินชีวิต

น.ส.เอ (นามสมมติ) หนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ก่อนหน้านี้ทำงานเสิร์ฟ แต่นายหน้ามาเสนอให้ไปทำงานนวดรายได้ดีที่ฮ่องกง จึงตัดสินใจไปพร้อมเพื่อน ไม่คาดคิดว่าจะถูกหลอกไปค้าประเวณี โดนบังคับให้ทำงานใช้หนี้ให้ได้จำนวน 200 คน ซึ่งตั้งแต่มาถึงต้องถูกบังคับให้บริการมาแล้วประมาณ 40 คน ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนงานก่อสร้างชาวเนปาล อินเดีย ปากีสถาน เป็นชาวฮ่องกงน้อยมาก โดยไม่ได้เงินแต่อย่างไร และได้กินอาหารเพียง 2 มื้อเฉพาะเที่ยงและเย็น และไม่สามารถติดต่อใครได้ เพราะมีคนคอยเฝ้าดูตลอดเวลา ทั้งยังถูกข่มขู่ว่าถ้าหลบหนีหรือแจ้งมูลนิธิปวีณาจะฆ่าทิ้งและฆ่าพ่อแม่ครอบครัวด้วย เท่าที่ดูมีหญิงที่ค้าบริการอยู่ที่แห่งนั้นมีทั้งชาวจีน รัสเซีย และมีคนไทย 1 คนที่สมัครใจไปทำ

ด้านพล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า ขณะนี้ได้สอบสวนผู้เสียหายเบื้องต้นแล้ว และจะรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อให้ศาลออกหมายจับและดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องที่เป็นคนไทยโดยเร็วที่สุด ในส่วนของผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นชาวฮ่องกงคงต้องพิจารณาว่ามีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ หากไม่มีก็อาศัยช่องทางพ.ร.บ.ขอความร่วมมือทางอาญาในการดำเนินคดีจนถึงที่สุด ส่วนผู้เสียหายขณะนี้อยู่ในความดูแลที่ปลอดภัยแล้ว


"มิตซูโอะ"โพสต์ 2 คลิปลงเฟซบุ๊ก ขอร้องหยุดว่าร้าย ปล่อยให้อยู่อย่างสงบกับภรรยา ลั่นเต็มใจ"สึก"พระเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 21.17 น. วันที่ 9 กรกฎาคม นายมิตซูโอะ ชิบาฮาชิ หรือ อดีตพระมิตซูโอะ คเวสโก ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว Mitsuo Shibahashi ชี้แจงถึงการลาสิกขาบท และไปแต่งงานกับ น.ส.สุทธิรัตน์ มุตตามระ ท่ามกลางการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักตลอดเวลาที่ผ่านมานั้น

ทั้งนี้ คลิปแรกที่อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ โพสต์มีความยาว 01.01 นาที โดยปรากฎภาพ นายมิตซูโอะ ในเสื้อยืดสีม่วง สวมหมวกแก๊ป ระบุเนื้อหาว่า "ขอยืนยันว่าสิ่งที่สังคมวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา ส่วนใหญ่ไม่ใช่ความจริง ใคร่ขอร้องทุกคน หยุดพูดวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทาคนอื่น ดูหมิ่นเขาเท่ากับดูหมิ่นตัวเอง นินทาเขาเท่ากับนินทาตัวเอง ทำร้ายเขาเท่ากับทำร้ายตัวเอง ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในคิดดี พูดดี ทำดี ทำหน้าที่ของตัวเองในปัจจุบันให้ดีที่สุด"

ในเวลาไล่เลี่ยกัน นายมิตซูโอะ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ตัวที่ 2 มีความยาว 01.07 นาที ระบุว่า "ขอร้องให้หยุดวิพากษ์วิจารณ์นินทาว่าร้าย ต่ออาจารย์และภรรยา อย่ากำหนดชีวิตของอาจารย์ ให้ปล่อยอาจารย์อยู่อย่างสงบกับครอบครัว ภรรยาอาจารย์เป็นคนเลือกเอง ไม่มีใครจับสึกได้ นอกจากอาจารย์เต็มใจ ปัจจุบันได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย อาจารย์ก็รักและให้เกียรติ พยายามดูแลอย่างดีที่สุด ใครไม่ชอบจะกี่ร้อยกี่พันคนก็ตาม อาจารย์ก็ต้องให้เกียรติดูแลอย่างดีที่สุด ทำหน้าที่เป็นสามีที่ดี เป็นตัวอย่างที่ดีของสังคม ขอให้ทุกคนอยู่อยางสงบ หาความสุขแก่ครอบครัวของตัวเอง"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา อดีตพระอาจารย์มิตซูโอะ ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กดังกล่าว ระบุว่า

"อาจารย์ตั้งใจจะให้ธรรมะ รวมทั้งสื่อสารความคิด ให้สังคมเข้าใจ แต่กลับทำให้สังคมเข้าใจผิดมากขึ้น เพราะอคติ ไม่พอใจเกิดการนินทา ให้ร้าย เป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นมากขึ้น จริงๆแล้วพวกเราทุกคนควรหยุดพูดเรื่องอดีตทั้งหมด ควรอยู่กับปัจจุบัน จึงขออยู่อย่างสงบ และปิดการสื่อสารผ่าน Face Book ไว้ก่อน...อาจารย์ มิตซูโอะ ชิบาฮาชิ"

อย่างไรก็ตาม ได้มีผู้เข้าไปแสดงความเห็นในคลิปวิดีโอ ทั้ง 2 คลิปที่อดีตพระมิตซูโอะ โพสต์อย่างหลากหลาย ทั้งให้กำลังใจ และทั้งต่อว่าตำหนิ

"ข้าวตราฉัตร" ท้า "เช็ค-สุทธิพงศ์" พิธีกรคนค้นฅน เยี่ยมชมโรงงาน หลังกล่าวหาขายสต๊อกเก่า-เจ้าตัวแจงวุ่น

วันที่ 10 ก.ค. เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการของ "ข้าวตราฉัตร" (http://www.facebook.com/KhaoTraChat) โพสต์ข้อความระบุว่า จากกรณีคุณสุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ พิธีกรผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน และผู้บริหารทีวีบูรพา ได้แชร์ข้อความลงในเฟสบุ๊คชื่อ Sutthipong Thamawuit เกี่ยวกับการซื้อข้าวจากโรงสีข้าวและห้ามซื้อข้าวหอมปทุมธานี ข้าวเสาให้ รวมถึงข้าวตราฉัตร ซึ่งปัจจุบันข้อความนี้ได้ลบออกไปแล้วนั้น ในการนี้ข้าวตราฉัตรขอขอบคุณ สุทธิพงษ์ ที่ได้แสดงความคิดเห็นและทีมงานข้าวตราฉัตรขอชี้แจงข้อมูลเพิ่มเติมดังนี้ บริษัทซี.พี.อินเตอร์เทรดจำกัดดำเนินการบริหารงานภายใต้ระบบมาตรฐานคุณภาพสากล อาทิ ระบบบริหารงานคุณภาพ( ISO9001 :2008) , ระบบการดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร (GMP) ตลอดจนมีระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤติที่ต้องควบคุม (HACCP) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้าวตราฉัตรที่มีคุณภาพ สะอาดและความปลอดภัย ภายใต้มาตรฐานสินค้าที่ยอมรับไปทั่วโลก

ข้าวตราฉัตร ได้ดำเนินการตรวจสอบคุณภาพสินค้าตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ ที่คัดเลือกจากแหล่งเพาะปลูกที่มีคุณภาพและปลอดภัย ไม่มีการปนเปื้อนของสารตกค้างต่างๆ โดยข้าวตราฉัตรได้ใส่ใจและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคซึ่งเราได้สุ่มตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปทางด้านต่างๆเป็นประจำทุกปีอาทิเช่นตรวจสารตกค้างจากยาฆ่าแมลง(Pesticide), ตรวจสารตกค้างจากการรมยา, ตรวจโลหะหนัก (Heavy metal) และตรวจเชื้อจุลินทรีย์รวมทั้งสารพิษจากเชื้อราที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อการบริโภค (Microbiological and Toxin) ซึ่งผลการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปของข้าวตราฉัตรในแต่ละปี จะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพอ้างอิงตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ

ทั้งนี้ ข้าวตราฉัตรเป็นข้าวสารบรรจุถุงเพียงยี่ห้อเดียวของเมืองไทย ที่การันตรีคุณภาพของสินค้า เปลี่ยนคืนให้ทันที หากผู้บริโภคไม่พึงพอใจ

นอกจากนี้หากผู้บริโภคท่านใดสนใจเข้าเยี่ยมชมกระบวนการผลิตทางข้าวตราฉัตรมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการอำนวยความสะดวกโดยมาเป็นกลุ่มซึ่งสามารถติดต่อได้ที่หน่วยงานบริหารความพึงพอใจ โทร 02 646 7200 หรือ www.cpthairice.com

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบความเห็นในเฟซบุ๊กและเว็บบอร์ดต่างๆ พบว่า มีประชาชนบางกลุ่มตั้งข้อสังเกตถึงการออกมากล่าวหาข้าวยี่ห้อต่างๆ ของนายสุทธิพงศ์ พิธีกรคนค้นฅน เพราะบริษัททีวีบูรพาของนายสุทธิพงศ์ ก็ทำข้าวบรรจุถุงออกขายเช่นกัน

ขณะที่พิธีกรคนดัง นายสุทธิพงษ์ ให้สัมภาษณ์ “ข่าวสด” ถึงกรณีการโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊กของตนเองชื่อ Suttipong Thamawuit ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงโรงสีข้าวที่มีสารพิษตกค้างและกำลังเตรียมส่งข้าวออกจำหน่าย รวมถึงการห้ามซื้อและรับประทานข้าวบางยี่ห้อ ก่อนจะตัดสินใจลบข้อความดังกล่าวไป ว่า ตนได้ข้อมูลดังกล่าวมาจากการแชร์ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คทั่วไป และเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวหรือไม่มีใครทำให้ปรากฎเพื่อที่จะมีการรู้เท่าทันแก้ไขได้ และตนเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้บริโภค จึงได้ตัดสินใจโพสต์ เพราะตนยืนยันว่ามีเจตนาเป็นห่วงสุขภาพของคนไทย แต่เมื่อโพสต์ไปแล้วมีการตั้งคำถามและโจมตีตนมากมายว่าพิสูจน์ความจริงได้อย่างไร ตนกลับมาคิดทบทวนจึงรู้ว่าระวังน้อยไปหน่อย ยอมรับว่าผิดพลาดที่มือไวในการโพสต์และได้ตัดสินใจลบไปแล้ว

นายสุทธิพงษ์ กล่าวอีกว่า การตรวจสอบเรื่องข้าวนั้นสื่อมวลชนย่อมทราบดีว่าที่ผ่านมา เรื่องข้าวมีสารพิษตกค้างรับรู้กันอย่างกว้างขวาง และตนก็สนับสนุนให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง ซึ่งไม่ใช่การโจมตีรัฐบาลเรื่องนโยบายจำนำข้าว เพียงแต่ตนพูดในฐานะที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของคนไทยเท่านั้น เพราะถ้ามีข้าวที่มีสารพิษจริง ไม่ต่างอะไรกับการวางยาพิษหมู่คนไทย ตนพูดอย่างคนมีจิตบริสุทธิ์ และไม่เคยสังฆกรรมกับความเห็นที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างสิ้นเชิง ส่วนจะให้ตนพูดถึงทางออกของปัญหานโยบายข้าวที่รัฐบาลปัจจุบันดำเนินการอยู่นี้ ตนไม่สามารถพูดได้ เพราะเป็นเรื่องที่ใหญ่เกินไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้าวคุณธรรม ที่ดำเนินการโดย บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด มีเจตนาอย่างไร นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า โครงการข้าวคุณธรรม หรือในชื่อเครือข่ายฅนกินข้าวเกื้อกูลชาวนา เริ่มมาได้ 5 ปี มีเจตนาที่จะให้คนกินข้าวกับชาวนาผู้ปลูกข้าวได้เห็นถึงความสัมพันธ์ต่อกันและกัน ผู้บริโภคห่วงสุขภาพอยากกินข้าวที่ปลอดภัยไร้สารพิษ ส่วนชาวนาปลูกข้าวเริ่มตั้งแต่คัดแยกเมล็ดพันธุ์ มีถึง 100 กว่าสายพันธุ์ ปลูกเอง เกี่ยวข้าวและสีเอง เคารพผืนดินเคารพผู้บริโภค ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง เครือข่ายชาวนาดังกล่าวเป็นเครือข่ายเล็กๆ ประมาณ 100 ครอบครัว

เมื่อถามว่า การโพสต์ข้อความเรื่องข้าวมีสารพิษ เพราะอยากให้ข้าวคุณธรรมขายได้หรือไม่ ผู้ดำเนินรายการคนค้นฅน กล่าวว่า ข้าวคุณธรรมเป็นโมเดลที่เล็กเกินกว่าจะไปเปรียบเทียบกับข้าวกระแสหลัก ไม่ใช่การดิสเครดิตข้าวยี่ห่ออื่นๆ ที่ผ่านมาเราผลิตได้เฉลี่ยปีละ 40-50 ตัน ซึ่งนับว่าเป็นมูลค่าที่น้อยมาก และไม่สามารถพึ่งพาการผลิตแบบข้าวทั่วไปได้ อีกทั้งไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะได้กินข้าวคุณธรรมในราคาตามท้องตลาด เพราะเราขายแพงกว่าปกติ แม้จะไม่ได้กำไรเป็นเงินมาก แต่เครือข่ายเราภาคภูมิใจและมีความสุขที่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคมีสุขภาพดี ตนย้ำเสมอว่าเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าที่เคร่งครัด สิ่งใดที่เบียดเบียนผู้อื่นหรือสังคมตนไม่ทำ