ข่าว
จ๊อบใหม่ “ดลฤดีหนีทุน” เงินเดือนทั้งปี 4 ล้าน

เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ของ รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ ภาควิชาเคมี คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยความเคลื่อนไหวของ น.ส.ดลฤดี ปอร์เช่ จำลองราษฎร์ อดีตนักเรียนทุนมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เบี้ยวสัญญา ทำให้อาจารย์ที่ค้ำประกันได้รับความเสียหาย และศาลล้มละลายกลาง สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนหน้านี้ ระบุว่า ในข่าวของมหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐอเมริกา ล่าสุด เป็นการต้อนรับอย่างเป็นทางการในการเข้าทำงาน ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์คลินิก (Clinical Assistant Professor) และเธอยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ดูแลสุขภาพในช่องปาก (Director of the new Pediatric Oral Healthcare Center) ในข่าวระบุชัดเจนว่า เธอไม่ได้ใช้ชื่อ ดลฤดี แต่ใช้ชื่อ “Porshe” และมีประวัติการศึกษาว่า จบหมอฟันจาก มหาวิทยาลัยมหิดล ประเทศไทย โดยเงินเดือนของ น.ส.ดลฤดี ในตำแหน่ง ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน มีเงินเดือนประจำปี เฉลี่ย 122,793 เหรียญสหรัฐฯ (4,299,264.61 บาท) เงินเดือนนี่คือการประมาณการของเงินเดือนสำหรับการเรียนการสอน อันนี้ยังไม่รวมค่าตำแหน่งที่เธอ ควบตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์ดูแลสุขภาพในช่องปาก (Director of the new Pediatric Oral Healthcare Center) และคลินิก ซึ่งปกติคลินิกได้วันละประมาณ $500 (17,506.15 บาท)

กลุ่มนักดนตรีจัดงาน ปชช.ร่วมร้องดังกึกก้อง “Songs of Soul บทเพลงแห่งดวงใจสยาม”

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 30 ต.ค. ที่ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถนนราชดำริ แขวงและเขตปทุมวัน กทม. นายวิทิตนันท์ โรจนพานิช ประกอบอาชีพครีเอทีฟ รายการโทรทัศน์และผู้กำกับภาพยนตร์ นำกลุ่มนักดนตรีรวมตัวจัดงาน “Songs of Soul บทเพลงแห่งดวงใจสยาม” พร้อมทั้งนำเครื่องดนตรีทั้งไทยและสากลมาบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร และบรรเลงเพลงเทิดพระเกียรติ เพื่อแสดงออกถึงสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ โดยมีเรืออากาศตรีสุเทพ วงศ์กำแหง ศิลปินแห่งชาติ และประชาชนต่างเข้ามาร่วมชมการแสดงเป็นจำนวนมาก

นายวิทิตนันท์ กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้เกิดจากนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ และคุรุศาสตร์ ที่รวมตัวเล่นดนตรีกันภายในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยทั้งหมดอยากแสดงดนตรีเพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ และสะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพด้านการดนตรี ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร จึงติดต่อมายังตนซึ่งเคยเป็นศิษย์เก่าคณะศิลปกรรมศาสตร์ให้ช่วยจัดหาสถานที่ในการจัดแสดงดนตรีหลังจากนนั้นตนจึงประสานไปยังผู้บริหารของทางศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเป็นลานที่เหมาะแก่การจัดแสดงและสามารถลองรับประชาชนได้เป็นจำนวนมาก โดยในครั้งนี้มีนักดนตรีเข้ามาร่วมบรรเลงเพลงทั้งหมดจำนวน 90 ราย คอรัสอีก 50 ราย และมีเครื่องดนตรีกว่า 90 ชิ้น มีทั้งหมด 4 วง ประกอบด้วย วงไทยชื่อ “ตาแดง วงแจ๊ส ชื่อแจ๊สใจเย็น วงเสียงไทยคอรัส และวงตาบวมซิมโฟนีออร์เคสตร้า ซึ่งทั้งหมดเป็นวงเฉพาะกิจ

ทั้งนี้ในช่วงท้ายงานเรืออากาศตรีสุเทพ ได้ร้องนำเพลงสรรเสริญพระบารมีและความฝันอันสูงสุดโดยมีประชาชนที่เข้ามาร่วมงานต่างพากันเปล่งเสียงร้องดังกึกก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ


พสกนิกร แน่นขนัด ต่อคิวเข้าถวายสักการะพระบรมศพ

เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 30 ต.ค. ที่บริเวณประตูวิเศษชัยศรี พระบรมหาราชวัง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประชาชนยังทยอยเข้าถวายพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เบื้องหน้าพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้จัดแถวให้ประชาชนเป็นแถวตอนเรียงสี่ โดยความยาวของแถวยาวเข้าไปถึงภายในบริเวณท้องสนามหลวง เจ้าหน้าที่ได้ประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนที่เดินทางมาในวันนี้สามารถเข้าไปหลบฝนได้ตามเต้นท์ที่ใกล้ตัวเองที่สุด รวมถึงภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และมหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ประชาชนระวังสัมภาระสิ่งของมีค่าที่พกติดตัวมาด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะมีมิจฉาชีพขโมยสิ่งของมีค่าดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มจิตอาสาได้นำร่มและเสื้อกันฝนมาคอยแจกจ่ายให้กับประชาชนที่เดินทางมาสักการะพระบรมศพในวันนี้ด้วย


รัฐบาลให้รายการทีวี-วิทยุออกอากาศปกติ 14 พ.ย.

เมื่อเวลา 16.00 น. วันที่ 31 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปะกร รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธณะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และพล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกฯ ในฐานะรักษาราชการอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เพื่อหารือถึงกรณีความชัดเจนแนวในการจัดกิจกรรมด้านบันเทิงของผู้ประกอบการ สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ โดยใช้เวลาหารือประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ท.สรรเสริญ กล่าวภายหลังว่า การหารือดังกล่าวมีข้อสรุปเบื้องต้นแล้ว และนายสุวพันธุ์จะนำเข้าหารือต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่พรุ่งนี้ โดยผลจากการหารือนั้นเห็นว่าเรื่องการจัดกิจกรรม การแสดง และการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับบันเทิง หากเป็นสถานที่ในอาคารมีขอบเขตชัดเจน หรือเป็นที่ส่วนตัวก็สามารถทำได้ตามปกติอยู่แล้ว แต่พล.อ.ธนะศักดิ์และนายสุวพันธุ์ มีประเด็นหารือเพิ่มเติม เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลจากประชาชน ผู้ประกอบการ นายกสมาคมผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับธุรกิจด้านบันเทิง ที่มีความเห็นต่อมติครม.เมื่อวันที่ 18 ต.ค.2559 ขอความร่วมมือประชาชนงดจัดกิจกรรมบันเทิงนาน 30 วัน ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วน ทุกคนแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้แสดงความอาลัย ดังนั้นเมื่อครบ 30 วัน คือในวันที่ 14 พ.ย.นี้ สิ่งที่เคยทำก็ให้ทำตามปกติ


ศาลยกฟ้อง! “วัฒนา” ไม่ผิด โพสต์วิจารณ์คสช. เป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ

ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง 63 ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1244/2559 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อายุ 58 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 โดยวันนี้ นายวัฒนา อดีต รมว.พาณิชย์ พรรคเพื่อไทย จำเลย เดินทางมา พร้อมกับนายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายแห่งประเทศไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางกฎหมาย เพื่อฟังคำพิพากษา ซึ่งภายหลัง นายนรินท์พงศ์ ที่ปรึกษาทางกฎหมายของนายวัฒนา เปิดเผยถึงผลคำพิพากษาว่า ศาลพิจารณาพยานหลักฐานแล้ว ได้พิพากษาให้ยกฟ้องนายวัฒนา เนื่องจากเห็นว่าข้อความที่วิจารณ์ทำนองว่า คสช.อยู่ลากยาว และยังไม่มีการจัดเลือกตั้งนั้น เป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต ซึ่งทางนำสืบชั้นพิจารณาเราก็มีนายโภคิน พลกุล อดีตรองนายกฯ , นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษา เบิกความถึงข้อเท็จจริงในสถานการณ์ว่าปัจจุบัน คสช. ยังคงอยู่ และยังไม่มีการจัดเลือกตั้ง ดังนั้นกรณีไม่ใช่การนำความเท็จเผยแพร่ แต่เป็นการแสดงความเห็นที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน


ณัฐวุฒิย้อน หากร่วมโรงสีกดราคาจริง คงไม่รอดถึงวันนี้

เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ปัญหาราคาข้าวตกต่ำคือความจริงที่เจ็บปวดของชาวนา ไม่ใช่ประเด็นการเมืองที่ใครจะหาเรื่องให้ร้ายกัน ถ้าคนแบบ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์พูด ตนจะไม่ใส่ใจ แต่เมื่อนายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาลใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยการกล่าวหาว่ามีนักการเมืองร่วมมือกับโรงสีกดราคาข้าวก็ไปกันใหญ่ ทั้งนี้ ที่ผ่านมาแค่แสดงความเห็นต่างก็ถูกคุกคาม ดำเนินคดีจนสะบักสะบอม ถ้ามีนักการเมืองรายไหนไปทำอย่างที่กล่าวหาจริงรัฐบาลจะปล่อยไว้ได้อย่างไร อยากให้ผู้มีอำนาจให้เกียรติชาวนาและประชาชนโดยการพูดถึงปัญหาด้วยความจริง แล้วแสดงฝีมือแก้ไขให้ได้ เรื่องนี้ตนเอาใจช่วย นายณัฐวุฒิกล่าวอีกว่า เมื่อเห็นมาตรการที่ออกมานั้นก็มีข้อสังเกตบางประการ เช่น การจำนำยุ้งฉางไม่ใช่เรื่องใหม่ รัฐบาลนี้ประกาศเดินหน้าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 แต่มีการสรุปผลการดำเนินการหรือไม่ ควรแถลงต่อสังคมด้วยว่าได้ผลเป็นอย่างไร จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องขายผ้าเอาหน้ารอดเพียงให้มีคำตอบกับชาวนาว่าได้แก้ปัญหาให้ และรัฐบาลต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงด้วยว่า มาตรการเหล่านี้จะถูกเทียบเคียงกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลที่แล้ว ทั้งในแง่ผลสัมฤทธิ์และความผูกพันทางกฎหมาย ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ต่างๆ จะขาดความเชื่อมั่น เพราะในขณะที่เดินโครงการจำนำยุ้งฉางก็มีการดำเนินคดียึดทรัพย์กับเจ้าหน้าที่ในโครงการจำนำข้าวเกือบ 1,000 คดี ซึ่งส่วนตัวกังวลว่ามาตรการนี้อาจมีปัญหาในการปฏิบัติ เพราะเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่วนใหญ่ยังเป็นคนเดิม และกำลังตกเป็นผู้ต้องหาจากการทำโครงการในลักษณะเดียวกัน


‘ประวิตร’ เปรยข้าวถูกกว่าปุ๋ย ก็ไปขายปุ๋ยแทน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 ตุลาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาข้าวราคาตกต่ำว่า เรื่องนี้อย่ามาถามตน เพราะไม่สามารถตอบได้ เนื่องจากตนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งไม่ได้รับผิดชอบด้านการเกษตรและราคาข้าว แม้ว่าตนจะเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (กขย.) ก็ตาม แต่เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับผิดชอบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพยายามช่วยทุกอย่าง ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเราต้องดูแลประชาชน พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขปัญหาราคาข้าวตกต่ำ เพื่อทำให้ชาวนาไม่ขาดทุนและสามารถอยู่ได้ ซึ่งแนวทางจะเป็นอย่างไรต้องไปถามนายกฯเมื่อถามว่า ขณะนี้ราคาขายข้าวถูกกว่าราคาปุ๋ย พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า “ผมไม่ทราบ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไปขายปุ๋ยแทน”

‘เจ๊ยุ’สื่ออาวุโสประจำทำเนียบ ถูกห้ามเข้า

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 1 พฤศจิกายน ทางสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามมาตรการการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะการเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาลของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ให้แต่ละคนนำบัตรประจำตัวที่ทางสำนักโฆษกออกให้ ซึ่งจะหมดอายุในสิ้นเดือนธันวาคม 2559 ให้มาเปลี่ยนเป็นบัตรชั่วคราวสำหรับสื่อมวลชนด้วยตัวเอง นอกจากนี้การเดินเข้าทำเนียบของบรรดาทีมข่าวแต่ละสำนักต้องจำกัดให้เข้าเฉพาะประตู 1 เท่านั้น เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอทำบัตรใหม่ปี 2560 ในช่วง 2 เดือนที่เหลือ ทางสำนักโฆษกฯได้แจ้งให้ต้นสังกัดของทีมข่าวแต่ละสำนักให้ออกใบรับรองมาก่อนหน้า เพื่อยืนยันสถานะ หากไม่มีใบรับรองจะไม่อนุญาตให้เข้าทำเนียบโดยเด็ดขาด และเป็นที่น่าสังเกตว่ามาตรการดังกล่าวเจาะจงไปที่นางยุวดี ธัญญศิริ ผู้สื่อข่าวอาวุโสประจำทำเนียบ โดยเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ภายในทำเนียบ อ้างว่าบัตรหมดอายุและไม่มีต้นสังกัดประจำ หากจะเข้าทำเนียบต้องแลกบัตรเข้า แต่นางยุวดีตัดสินเดินทางกลับไม่ได้เข้าไปภายในทำเนียบแต่อย่างใด