ข่าว
นางงาม"แคนาดา""ผู้ชนะเลิศ "ดีใจเก้อ-หน้าแตกยับ" หลังถูกยึด"มงกุฎ"คืน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 29 พ.ค.ว่า น.ส.เดนิส การ์ริโด้ นางงามแคนาดาผู้ชนะเลิศเวทีมิสยูนิเวิร์สแคนาดา ประจำปี 2013 ต้องดีใจเก้อและสุดเซ็งอารมณ์ เพราะถูกยึดมงกุฎคืนเพียง 24 ชม.เนื่องจากกองประกวดระบุว่า เกิดความผิดพลาดในการนับคะแนนเกิดขึ้น และเธอได้คะแนนเป็นรองนางงามอันดับสี่เท่านั้น ขณะที่นางงามผู้ชนะเลิศที่แท้จริง คือ น.ส.ริซ่า ซานโต้ส

รายงานระบุว่า การประกวดดังกล่าวได้เกิดปัญหาความผิดพลาดในการนับคะแนนอย่างมาก และทำให้มีการประกาศว่า น.ส.เดนิส เป็นผู้ชนะเลิศคว้ามงกุฎรายการนี้ และเจ้าตัวต้องเสียหน้าอย่างแรงหลังถูกยึดมงกุฎ ขณะที่หัวหน้ากองประกวดมิสยูนิเวิร์สแคนาดาอ้างว่า จากการนับคะแนนที่ผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ พบว่ามีความผิดพลาดของผลคะแนนของผู้ประกวดที่เข้ารอบสุดท้าย 5 คน แต่เหตุการณ์นี้ถือเป็นความผิดพลาดครั้งแรกของกองประกวดมิสยูนิเวิร์สแคนาดา และเขาได้ขอโทษต่อน.ส.เดนิส เรียบร้อยแล้ว โดยก่อนหน้านี้ เขาได้เดินทางไปยังเมืองอัลเบอร์ต้า ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของน.ส.เดนิส เพื่อขอมงกุฎคืน

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า แม้ว่าจะมีการขอโทษเกิดขึ้น แต่ความผิดพลาดหน้าแตกก็ยังปรากฎบนเว็บไซต์ของกองประกวดแคนาดา เนื่องจากมีการขึ้นภาพ น.ส.ริซ่า ซานโตส บริเวณด้านบนสุดของเว็บไซต์ ชี้ว่าเธอเป็นผู้คว้ามงกุฎ แต่ข้อความในเว็บไซต์กลับเขียนว่า มิสยูนิเวิร์สแคนาดาปีนี้ คือ น.ส.เดนิส การ์ริโด้

ปฏิบัติการปล้นแบงก์แห่งศตวรรษที่ 21

การปล้นธนาคารอย่างอุกอาจในยุคศตวรรษที่ 21 อาชญากรไม่ต้องสวมหน้ากากคลุมหน้า ถือปืนไปขู่ตะคอกเจ้าหน้าที่หลังเคาน์เตอร์ หรือบุกเข้าไปยังตู้เซฟ แต่ด้วยแล็ปท็อป อินเทอร์เน็ต แฮ็กเกอร์และเครือข่ายมิจฉาชีพ ก็สามารถกระทำการปล้นเงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(1,300 ล้านดอลลาร์)ได้ ผ่านการแฮ็กข้อมูลและกดเงินจากตู้เอทีเอ็มในโลกไร้พรมแดนได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาในสหรัฐ ลอเรตตา ลินช์ อัยการนิวยอร์ก แถลงข่าวการทลายเครือข่ายแก๊งฉกเงินจากตู้เอทีเอ็มข้ามชาติ ที่มีกลุ่ม หรือเซลล์ อยู่ในทั้งหมด 27 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ด้วยบัตรปลอมติดแถบแม่เหล็กบรรจุข้อมูลจากธนาคารตะวันออกกลางสองแห่ง ลงมือและเคลื่อนไหวได้รวดเร็วอย่างน่าตกตะลึง ซึ่งอัยการลินช์ออกปากว่า "การปล้นธนาคารครั้งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 21"

จากรายละเอียดเนื้อหาในคำฟ้อง ให้ภาพของอาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อนสุดยอดและได้ผลเลิศมากที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเคยเปิดโปงสำเร็จ ทั้งยังเป็นหนึ่งในคดีโจรกรรมอันครึกโครมที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์นครนิวยอร์ก ไม่แพ้คดีปล้นสายการบินลุฟท์ฮันซา เมื่อปี 2522 ที่เคยถูกผูกเรื่องไปทำเป็นภาพยนตร์เรื่อง กู๊ดเฟลลาส

นอกจากจำนวนเงิน 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกฉกไปได้แล้ว ยังเป็นการตอกย้ำอีกครั้งว่า สถาบันการเงินทั่วโลกยังล่อแหลมที่จะถูกอาชญากรรมปัญญาปราดเปรื่อง ที่มักจะคิดและทำ ล้ำเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไปอีกก้าวอยู่เสมอ

ปฏิบัติการครั้งนี้ ใช้แฮ็กเกอร์ฝีมือดี กับอาชญากรข้างถนนเป็นทีมกดเงิน โดยแฮ็กเกอร์เข้าเจาะระบบฐานข้อมูลบริษัทสัญชาติอินเดียแห่งหนึ่งซึ่งในคำฟ้องไม่ได้เปิดเผยชื่อ แต่เป็นบริษัทรับดำเนินธุรกรรมบัตรเดบิต วีซ่า และมาสเตอร์การ์ด (ซึ่งผู้เชี่ยวชาญความปลอดภัยคอมพิวเตอร์กล่าวว่า บริษัททำนองนี้มักดึงดูดเหล่าอาชญากรไซเบอร์ เพราะถูกมองว่ามีระบบความปลอดภัยไม่เข้มเท่ากับสถาบันการเงิน) จากนั้น เข้าไปแก้ไขข้อมูลโดยยกเลิกการจำกัดวงเงินที่ถอนได้ของบัตรเดบิตมาสเตอร์การ์ด ที่ออกโดยธนาคารแห่ง ชาติ "ราส อัล ไคมาห์" หรือที่รู้จักในชื่อ รัคแบงค์ ตั้งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และตั้งรหัสเข้าใหม่

หลังจากนั้น แฮ็กเกอร์กระจายข้อมูลที่โจรกรรมได้ให้แก่ผู้ร่วมขบวนการในกว่า 20 ประเทศ โดยโหลดข้อมูลลงในบัตรพลาสติกติดแถบแม่เหล็กที่อาจเป็นคีย์การ์ดสำหรับห้องพักโรงแรม หรือบัตรเครดิตหมดอายุแล้ว ที่ใช้งานได้ตราบใดที่ยังสามารถบรรจุข้อมูลบัญชีและรหัสเข้าได้ ก่อนกระจายกำลังหน่วยกดเงิน ออกกดเงินตามตู้เอทีเอ็มในเมืองต่างๆ ทั่วโลก

เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปฟอกผ่านการซื้อของราคาแพง อาทิ นาฬิกาโรเล็กซ์ หรือรถหรู

เงินที่ฉกได้มา 45 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มาจากปฏิบัติการเพียง 2 ครั้ง

ครั้งหนึ่งคือเมื่อ 21 ธันวาคม ได้เงินทั่วโลก 5 ล้านดอลลาร์ เมื่อสำเร็จจึงได้ใจและมั่นใจ ลงมืออีกครั้งในอีกสองเดือนต่อมา คือ 19 กุมภาพันธ์ แต่ในครั้งหลังนี้ แฮ็กเกอร์เจาะระบบบริษัทสหรัฐแห่งหนึ่งที่ดำเนินการให้แก่บัตรเดบิตมาสเตอร์การ์ดและวีซ่าเช่นกัน และธนาคารที่ตกเป็นเหยื่อคือ ธนาคารมุสกัต ตั้งอยู่ในประเทศโอมาน

ทันทีที่พร้อม ลูกมือหน่วยกดเงินในกว่า 20 ประเทศ ก็ออกปฏิบัติการดูดเงินจากตู้เอทีเอ็ม กวาดไปอีกประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเวลาเพียง 10 ชั่วโมง ผ่านการโอน 36,000 ครั้ง

เฉพาะที่นครนิวยอร์ก แห่งเดียว เหล่ามิจฉาชีพถอนเงินจากเอทีเอ็ม 2,904 ครั้ง ในระยะ 10 ชั่วโมง ถอนเงินได้ 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังไม่สำเร็จเท่ากับทีมกดเงินในญี่ปุ่น ที่กวาดได้ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจเป็นเพราะธนาคารหลายแห่งในญี่ปุ่นอนุญาตให้ถอนเงินได้สูงถึง 1 หมื่นดอลลาร์ได้จากตู้เอทีเอ็มเครื่องเดียว

ตู้เอทีเอ็มที่ถูกดูดเงินจากขบวนการนี้ อยู่ใน 27 ประเทศ ได้แก่ เบลเยียม บัลแกเรีย แคนาดา โคลอมเบีย โดมินิกัน อียิปต์ เอสโตเนีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ อินโดนีเซีย อิตาลี ญี่ปุ่น ลัตเวีย มาเลเซีย เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ ปากีสถาน โรมาเนีย รัสเซีย แอฟริกาใต้ สเปน ศรีลังกา ไทย ยูเครน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา โดยการสอบสวนได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในกว่า 10 ประเทศ

ผู้ต้องสงสัยคนแรกถูกจับภาพได้โดยกล้องวงจรปิด ขณะแบกเป้ที่เต็มไปด้วยเงินสดหนักขึ้นเรื่อยๆ ส่วนอีกสองคนมีรูปถ่ายของตัวเองกับเงินสดเป็นมัดๆ ท่าทางเริงร่าขับรถอยู่ในแมนฮัตตัน

อัยการลินช์ ไม่ได้เปิดเผยว่า ใครคือผู้บงการการขโมยเงินจากตู้เอทีเอ็มทั่วโลกที่แท้จริง ใครคือแฮ็กเกอร์เหล่านั้น พวกเขาอยู่ที่ประเทศใดกันบ้าง หรือใครคือผู้ที่จะต้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยเปิดเผยเพียงว่า การสอบสวนในกว่า 10 ประเทศกำลังดำเนินอยู่ และมีการระบุเพียงว่า นายอัลเบอร์โต ลาจูด เปนญา วัย 23 ปี คือหัวหน้าหน่วยฉกเงินสดในนิวยอร์ก

ผู้ต้องหาทั้ง 8 คนรวมนายลาจูด เปนญา เป็นชาวอเมริกัน มีถิ่นพำนักในย่านยองเคอร์ส อายุผู้ต้องหาส่วนใหญ่อยู่ในวัย 20 ปีเศษ มากสุดคือ 35 ปี ทั้งหมดถูกแจ้งข้อหาคบคิดและฟอกเงิน หากถูกตัดสินมีความผิด อาจถูกจำคุก 10 ปี

นายลาจูด เปนญา เริ่มไหวตัวและหลบหนีออกจากสหรัฐไปสาธารณรัฐโดมินิกันทันทีที่สหรัฐเริ่มจับกุมหนึ่งในลูกทีมของเขาเมื่อเดือนมีนาคม

และเมื่อ 27 เมษายน สื่อในโดมินิกันรายงานว่า มือปืนสวมฮู้ดสองคน บุกบ้านพักของนายลาจูด เปนญา ขณะกำลังเล่นโดมิโนและกราดยิงเสียชีวิตโดยไม่ได้แตะต้องซองบรรจุเงินสด 1 แสนดอลลาร์ของเขาเลย ทางการโดมินิกันกำลังสอบสวนเหตุฆาตกรรมเช่นกัน

อาวิวาห์ ไลทัน นักวิเคราะห์ที่ตามเรื่องความมั่นคงระบบเครือข่ายของบริษัทการ์ตเนอร์ กล่าวว่า การฉกเงินจากตู้เอทีเอ็มไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่นี่เป็นเหตุโจรกรรมเงินจากตู้เอทีเอ็มใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยได้ยิน

อันที่จริง ในแง่เทคโนโลยีด้านการรักษาความปลอดภัยที่น่าจะป้องกันการฉ้อฉลลักษณะนี้ได้ ธนาคารและบริษัทที่ดำเนินธุรกรรมในตะวันออกกลางตามหลังไม่มากนัก แต่ประเด็นของกรณีนี้คือเป็นอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

"วิธีการที่จะเปลี่ยนตัวเลขไม่กี่ตัวออกมาเป็นเงินสด มันง่ายดายมาก" ไลทันกล่าว

ความผิดพลาดอย่างหนึ่งคือ แถบแม่เหล็กหลังบัตร ซึ่งราวครึ่งโลกเลิกใช้บัตรประเภทนี้ และหันมาใช้บัตรแบบฝังชิพแทน ซึ่งการคัดลอกข้อมูลแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่ธนาคารสหรัฐและผู้ประกอบการค้าในสหรัฐยังยึดติดกับแถบแม่เหล็กแบบเดิม เพราะยังเป็นที่ยอมรับทั่วโลก

อย่างไรก็ดี นายรอเบิร์ต โรดริเกซ ประธานเครือข่ายนวัตกรรมความปลอดภัย กล่าวว่า มิจฉาชีพพยายามหาจุดอ่อนในระบบและใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนนั้นทุกยุคทุกสมัย แต่ความแตกต่างในวันนี้ คือพลวัตของอินเทอร์เน็ตและไซเบอร์สเปซ รวดเร็วเสียจนยากที่ฝ่ายรับมือจะแซงหน้าฝ่ายจ้องเล่นงาน ที่สำคัญ คนเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วโลก ถึงทางการจะรู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการจับกุม หรือโน้มน้าวให้หน่วยงานรักษากฎหมายอีกประเทศดำเนินการด้วย


บริกรหญิง"ช็อก"ได้ทิปสุดเว่อร์ ลูกค้ากินอาหาร 5 ดอลลาร์ ให้ทิปเกือบ 500 ด.

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ซีซี บรู๊ซ บริกรหญิงประจำร้านอาหาร"Steak ′n Shake"ในเมืองอินเดียนาโปลิส ของสหรัฐ ถึงกับช็อก หลังจากพบว่า ตัวเองได้ทิปอย่างสุดโอเวอร์จากลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งสั่งอาหารมากินแค่ 5 ดอลลาร์ แต่กลับให้ทิปเธอถึงเกือบ 500 ดอลลาร์

รายงานระบุว่า ซีซี บรูซ ได้ให้บริการแก่ลูกค้ารายหนึ่งในช่วงอาหารช่วงเช้า ปรากฎว่า ลูกค้ารายนี้ได้ให้ทิปเธอถึง 446 ดอลลาร์ สร้างความช็อกให้แก่เธอและเพื่อน ๆ ในร้านทั้งหมด โดยลูกค้ารายนี้ หรือ"นายโจ" เป็นลูกค้าประจำที่มักมานั่งกินอาหารที่ร้านแห่งนี้เสมอในช่วงเช้าวันพุธ ได้เล็งบริกรหญิงรายนี้ไว้ก่อนหน้า ก่อนจะเรียกเธอมาคิดเงินค่าอาหาร ซึ่งมีราคาเพียง 5.97 ดอลลาร์ก่อนที่เขาจะให้ให้ทิปแก่บริกรหญิง"ซีซี บรูซ"เป็นจำนวนเกือบ 500 ดอลลาร์

ขณะที่บริกรหญิงคิดว่า ลูกค้ารายนี้คงเข้าใจผิดบางอย่าง เธอจึงกล่าวปฎิเสธบอกว่า ทิปดังกล่าวมากเกินไป เธอรับไว้ไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ต้องยอมรับมัน เนื่องจากนายโจยืนยันว่า เขาตั้งใจให้ทิปนี้แก่เธอจริง ๆ

ด้านบริกรหญิงรายนี้ กล่าวว่า ทิปดังกล่าวทำให้เธอรู้สึกว่า ชีวิตมักมีสิ่งดี ๆ เสมอ และว่า มิสเตอร์โจ เป็นคนน่ารักมาก และทิปที่เขาให้เธอเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ขณะที่นายเกร กูเลย์ เจ้าของร้านบอกว่า เขาไม่แปลกใจที่"ซีซี บรู๊ซ"ได้รับทิปมากขนาดนี้ เพราะเธอเป็นพนักงานที่ขยันมาก มาทำงานแต่เช้า แถมเลิกเย็น และพร้อมที่จะให้บริการอยู่ตลอดเวลา และเขาคิดว่า เธอสมควรได้ทิปดังกล่าวแล้ว และว่า เหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าพนักงานได้รู้ว่า ถ้าพวกเขาทำงานหนัก ก็จะมีคนคอยดูพวกเขาอยู่ และพร้อมจะให้รางวัล

รัสเซียเจ๋งค้นพบ "เลือด" ในซากแมมม็อธ

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ว่า คณะนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเผยในวันนี้ ว่า ค้นพบเลือดในซากแมมม็อธ สัตว์ตระกูลช้างในยุคดึกดำบรรพ์ ถือเป็นการค้นพบที่สำคัญ ที่จะนำไปสู่การโคลนนิ่งสัตว์ชนิดนี้ ให้กลับมีชีวิตบนโลกอีกครั้ง โดยเลือดได้จากซากแมมม็อธเพศเมียสภาพสมบูรณ์ ที่คณะสำรวจนำโดยนักวิทยาศาสตร์พบเมื่อช่วงต้นเดือนนี้ ที่เกาะห่างไกลแห่งหนึ่ง ในมหาสมุทรอาร์คติก แถบขั้วโลกเหนือ

นายเซเมียน กริกอร์เยฟ นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาตินอร์ธอีสเทิร์น ในเมืองเอียร์คุสก์ ในฐษนะหัวหน้าทีมสำรวจ กล่าวว่า แมมม็อธตัวที่พบซากตายตอนอายุประมาณ 60 ปี เมื่อประมาณ 10,000 – 15,000 ปีที่แล้ว และนับเป็นครั้งแรก ที่มีการพบแมมม็อธเพศเมียที่อายุมากขนาดนี้ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือ ซากที่พบอยู่ในสภาพสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะส่วนล่าง สองขาหน้าและท้อง ยังมีแม้กระทั่งเลือดและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ แต่ส่วนบนรวมถึงหลังและหัวแหว่งหายไป เชื่อว่าถูกกัดกินโดยสัตว์นักล่า “เมื่อเราทุบน้ำแข็งจากใต้ส่วนท้องของเธอ เลือดไหลออกจากตรงนั้น เลือดสีคล้ำมาก” กริกอร์เยฟ กล่าว และว่า การค้นพบถือเป็นความหวังใหม่ สำหรับคณะนักวิจัยที่กำลังพยายามหาวิธีโคลนนิ่ง เพื่อนำสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดนี้ กลับมามีชีวิตบนโลกอีกครั้ง