ข่าว
‘ทรัมป์’ขู่เกิดจลาจลหากไม่มีชื่อตน เป็นตัวแทนชิงตำแหน่งปธน.สหรัฐ

นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีด้านอสังหาริมทรัพย์เตือนเมื่อวันที่ 16 มีนาคมว่า อาจเกิดจลาจลหากเขาถูกปฏิเสธการเสนอชื่อให้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันลงสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังชนะการเลือกตั้งขั้นต้น “ซุปเปอร์ทิวส์เดย์ 2” ได้ในหลายรัฐ แต่การล้มเหลวที่จะเอาชนะในรัฐสำคัญอย่างโอไฮโอ หมายถึง นายทรัมป์อาจจะขาดคะแนนคณะผู้เลือกตั้งหรือเดลิเกตเพื่อให้ได้รับสิทธิโดยอัตโนมัติ

หลังการหาเสียงที่แตกแยกมากที่สุดครั้งหนึ่งที่มีทั้งการทำลายมารยาทและปลุกเร้าผู้มีสิทธิออกเสียงที่โกรธแค้น ยังไม่ชัดเจนว่านายทรัมป์ จะสามารถสมานรอยร้าวในพรรคได้ทันเวลาก่อนหน้าการประชุมใหญ่ที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอในเดือนกรกฎาคมนี้หรือไม่

อย่างไรก็ตาม แกนนำพรรครีพับลิกันยังคงพยายามชักใยอยู่เบื้องหลังเพื่อขัดขวางนายทรัมป์ที่ถูกมองว่าเป็นคนนอก และกำลังมองถึงวิธีการที่เรียกว่า “โบรกเกอร์ด คอนเวนชั่น” คือหาโอกาสเสนอชื่อคนอื่นในการประชุมใหญ่ของพรรค โดยการชักจูงเดลิเกตของแต่ละรัฐให้เปลี่ยนมาสนับสนุนผู้สมัครคนใหม่ที่ได้รับการเสนอชื่อ ซึ่งเกิดขึ้นได้ในกรณีไม่มีผู้สมัครคนใดได้เสียงข้างมาก ก่อนหน้าการประชุมใหญ่ของพรรค

ถึงตอนนี้ นายทรัมป์มีเดลิเกต 640 เสียง โดยเขาต้องการ 1,237 เสียงเพื่อเป็นตัวแทนพรรค ขณะที่นายเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส คู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุดมี 405 เดลิเกต

ด้านนายทรัมป์กล่าวกับซีเอ็นเอ็นว่า หากถึงวันประชุมใหญ่แล้วตนขาดเดลิเกตไปสัก 100 เสียง เชื่อว่าจะยังได้เป็นตัวแทนพรรคอยู่ดี พร้อมขู่ว่า หากไม่เป็นเช่นนั้นคงเกิดจลาจลแน่

'บิ๊กตู่' 'สืบทอดอำนาจ’ ไม่จัดให้มีเลือกตั้งก็จบ

"ประยุทธ์" ย้ำ ไม่คิดลัดขั้นตอน EIA-EHIA แค่ทำคู่ขนานกัน บ่นทำคนเสียประโยชน์เลยโดนบิดเบือน ลั่นถ้าอยากสืบอำนาจแค่ไม่จัดเลือกตั้งก็จบ ฟุ้งต่างชาติยอมรับไทย 90% ขาดแค่การเลือกตั้ง ระบุสำรวจนิตยสารหัวนอกยกไทยเจ๋งทุกด้าน เบอร์ 1 เอเชีย สวมบท "ติ่งเกาหลี" ดันซีรีส์ "จุงกิ" ไม่เลิก บอกคนไทยต้องดู ส่วนตัวดูผ่านๆ แต่รู้เรื่องละเอียดยิบ

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. 59 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยตอนหนึ่งถึงคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 9/2559 ที่อนุญาตให้เปิดประมูลโครงการต่างๆ ที่ยังไม่ผ่านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) และการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (EHIA) ไว้ว่า เป็นหนึ่งในมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล และ คสช. ที่ต้องการปลดล็อกเงื่อนเวลาที่เป็นอุปสรรคในการเดินหน้าโครงการต่างๆ ของประเทศ หลายโครงการล่าช้า 5 ปี 10 ปีมาแล้ว จนต้องยกเลิกและสร้างความเดือดร้อน เพราะความไม่เข้าใจและความขัดแย้งของประชาชน คำสั่งที่ออกมาก็เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เร็วขึ้น โดยไม่ได้ละเลยสุขภาพอนามัยประชาชน หรือผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมแต่อย่างใด

"วันนี้ คสช. เข้ามาก็มีผู้เสียประโยชน์ ที่เคยมี เคยได้ เรียกร้องมา บิดเบือนกันไป ข้อเท็จจริงก็เลยถูกบิดเบือนทั้งหมด ขอให้ประชาชนช่วยกัน อย่าตกเป็นเครื่องมือของใครอีกต่อไป" หัวหน้า คสช.กล่าว

นายกฯ กล่าวถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์จากบางฝ่ายที่ระบุว่า คสช.ต้องการสืบทอดอำนาจด้วยว่า ขอตำหนิผู้ที่พูดเรื่องที่ไม่จริง บิดเบือน ไปพูดให้กับคนที่ทำผิดกฎหมาย กำลังพิจารณากฎหมายมาเอาผิดฐานสนับสนุนการกระทำความผิด จึงอยากขอให้ระมัดระวังอาจจะต้องถูกดำเนินคดี และอยากให้พิจารณาข้อเท็จจริงว่า หากรัฐบาล และ คสช.ต้องการอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด ก็ไม่จำเป็นต้องให้มีการเลือกตั้ง อยู่ในอำนาจต่อไป วันนี้ตนก็มีอำนาจเต็มอยู่แล้ว ซึ่งเท่าที่พูดคุยต่างประเทศก็ถามถึงแค่การเลือกตั้งเท่านั้นเอง แต่นักการเมืองขยายความทุกเรื่อง แล้วก็เน้นเรื่องไม่เป็นประชาธิปไตย สืบทอดอำนาจ

"ขอให้ทุกอย่างเดินหน้าไปให้ได้ วันนี้ต่างประเทศมองเรา 90% แล้ว ด้วยความเชื่อมั่นในผม ในรัฐบาล แต่ก็มีอย่างเดียวก็คือการเลือกตั้ง ก็ขอให้รัฐบาล คสช. รักษาสถานการณ์ให้สงบ ปลอดภัย ทุกประเทศคาดหวังอย่างนั้น มีเสถียรภาพแบบนี้ตลอดไป คนจะรับรองต่อจากผมก็คือรัฐบาลต่อไป เพราะฉะนั้นกรุณาทำความเข้าใจในเรื่องของรัฐธรรมนูญ ประชามติ เลือกตั้ง ปฏิรูป ยุทธศาสตร์ชาติ แผนสภาพัฒน์ฯ นโยบายความมั่นคงว่าควรจะต้องทำอะไรต่อไป ให้เชื่อมโยงและอธิบายให้ได้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่รัฐบาล และ คสช. อยากเห็นก่อนมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง คือการเริ่มต้นวางพื้นฐานในประเด็นกิจการที่สำคัญนะครับ ระยะแรกคือในปีงบประมาณ 59-60 ให้ได้ เช่น ในเรื่องของการศึกษา การวิจัยพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นรูปธรรม การปฏิรูประบบราชการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ เป็นธรรม ไม่มีสองมาตรฐาน ปรับโครงสร้างการบริหารงาน ปฏิรูปหน่วยงานตนเองจากภายในไปสู่ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน รวมไปถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รายได้ประเทศกับโครงสร้างการเกษตรให้เชื่อมโยงกันทั้งหมด


คุมเสี่ยเบนซ์ฝากขังผัดแรก รพ. ยันขอตรวจเลือดแล้ว

วันที่ 18 มี.ค. ที่กองบังการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รองผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยทีมพนักงานสอบสวน ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าของคดี โดย พล.ต.ต.สุทธิ กล่าวว่า ได้มีการโอนย้ายสำนวนคดีรถเบนซ์ชนรถเก๋งของนักศึกษาปริญญาโทเสียชีวิต 2 ราย มาให้พนักงานสอบสวน ของภ.จ.พระนครศรีอยุธยา ดำเนินการ จึงได้ตั้งทีมงานในการสอบสวนทีมีความรู้ความสามารถจำนวน 9 นาย มีพ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รองผบก. เป็นหัวหน้าชุด เพื่อให้สังคมเกิดความเชื่อมั่นในการทำงานของพนักงานสอบสวน สามารถตรวจสอบได้

วันเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจ นำตัวนายเจนภพ วีรพร ผู้ต้องหาคดีขับรถยนต์โดยประมาท ทำให้ทรัพย์สินเสียหาย ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขึ้นรถพยาบาลของโรงพยาบาลสมิติเวช พร้อมด้วยพยาบาล นำตัวนายเจนภพมายังศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยเข้าจอดด้านหลังศาล นายเจนภพนอนอยู่บนเตียง ยังให้น้ำเกลืออยู่ แล้วเข็นเตียงขึ้นเข้าไปยังศาล ใช้เวลาในการฝากขังประมาณ 50 นาที จึงนำออกไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล

พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. กล่าวว่า พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหามาฝากขังผัดแรก โดยศาลได้สั่งขังผู้ต้องหาเป็นเวลา 12 วัน ทางทนายความได้ยื่นเงินสดจำนวน 200,000 บาทประกันตัว เพื่อนำผู้ต้องหาไปรักษาตัว ศาลได้อนุมัติ โดยศาลได้ สั่งห้ามออกนอกประเทศ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ และ ต้องมารายงานตัวต่อศาลตามที่ศาลสั่ง ในช่วงระยะเวลา 12 วัน พนักงานสอบสวนจะเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อแจ้งข้อหาเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้นำตัว นายเจนภพ ไปขออำนาจศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฝากขังผัดแรก 12 วัน ในข้อหาเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ขับรถโดยประมาท และเพิ่มข้อหาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่(ไม่ยอมให้ตรวจวัดแอลกอฮอล์ในร่างกาย) โดยพนักงานสอบสวนให้เหตุผลว่า การสอบสวนคดียังไม่แล้วเสร็จ อีกทั้งยังต้องรอผลตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ จากผู้เชี่ยวชาญ จึงจำเป็นต้องขออำนาจศาลฝากขัง โดยนายเจนภพได้นอนมาบนเตียงผู้ป่วย มีพยาบาลคอยดูแล รวมถึง นายเจริญ แก้วยอดหล้า ทนายความส่วนตัวเดินทางมาด้วย โดยปฏิเสธที่จะตอบคำถามกับสื่อมวลชน

ขณะที่ผู้ต้องหาพร้อมทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัวจากศาล เป็นเงิน 2 แสนบาท ศาลได้วิเคราะห์ให้ประกันตัวได้เพื่อให้ผู้ต้องหาได้กลับไปพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล โดยอยู่ใน 4 เงื่อนไขคือ ห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ห้ามขับขี่รถทุกประเภท ให้ยึดใบอนุญาตใบขับขี่ และต้องมารายงานตัวต่อศาลทุกครั้งเมื่อมีหมายศาล

วันเดียวกัน ที่โรงพยาบาลบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผบ.ตร. พล.ต.ต.วราวุธ ทวีชัยการ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.สุทธิ พวงพิกุล ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับพันบุบผา รอง ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วยทีมพนักงานสอบสวน เข้าตรวจสอบภายในห้องฉุกเฉิน และสอบสวน น.ส.สุวัจนา ภักดิ์ภูมินทร์ พยาบาล นายอดิสร จันทร์เป้า พนักงานเปล ที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน วันที่นายเจนภพ วีรพร คนขับรถเบนซ์ ถูกส่งมารักษาตัว โดยพยาบาและพนักงานเปล ยืนยันตรงกันว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้บอกให้ช่วยเจาะตรวจเลือดด้วย แต่นายเจนภพปฎิเสธไม่ยอม พยาบาลจึงให้พนักงานเปลเข้ามาช่วยพูด แต่นายเจนภพบอกว่าไม่ได้ครับ ไม่ให้ตรวจ ผมกลัวเข็ม จะให้ รพ.สมิติเวช ตรวจอย่างเดียว เจ้าหน้าที่จึงไม่ได้ตรวจ

"ที่เดินทางมาที่โรงพยาบาล เพื่อมาสอบสวนพยาบาล และพนักงานเปล ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ว่าตรงกับที่ทางพนักงานสอบสวนแจ้ง ว่าได้บอกให้พยาบาล ช่วยเจาะเลือดนายเจนพบแล้วแต่ถูกปฎิเสธ ได้รับข้อเท็จจริงพอสมควร จึงได้ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนพยาบาลและเวรเปล ประกอบสำนวนคดีเพื่อแจ้งข้อกล่าหาเพิ่มเติมกับนายเจนภพ ในข้อหา ขัดขวางการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในส่วนของการตรวจหาสารเสพติด ที่หลายคนสงสัยว่าผ่านมาหลายวันจะตรวจหาได้หรือไม่ ตนเองทำงานยาเสพติดมายืนยันว่ายังสามารถตรวจได้โดยตรวจจากเส้นผมหรือในร่างกายสารเสพติดหรือยายังคงอยู่ในร่างกาย ขณะนี้พนักงานสอบสวนชุดใหม่ที่ทำหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุญาตศาลออกหมายขัง สำนวนคดีทั้งหมดคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2-3 วันนี้"พล.ต.อ.พงศพัศ กล่าว


ตู่-จตุพร ชี้ ต้องมีส.ส. 411 คน พรรคการเมืองที่จะชนะคสช.ได้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล เมื่อ 17 มีนาคม อธิบายตัวเลขสนับสนุนทางการเมืองว่า ถ้าคิดถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงเกินครึ่งแล้วพรรคที่เป็นรัฐบาลต้องเสียงสนับสนุนตั้งแต่ 250 คน จากทั้งหมด 500 คน แต่เสียงจำนวนนี้ไม่เพียงพอต่อการให้อยู่รอดได้ในกรณีถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งคณะ เพราะคสช.เสนอให้ ส.ว.สรรหา 250 คน มีสิทธิ์ลงมติด้วย ดังนั้น เสียงรัฐบาลจึงต้องมีมากกว่าครึ่งหนึ่งคือ 375 คน จากทั้งหมด 750 คน

อย่างไรก็ตาม การอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งคณะนั้น ในทางการเมือง คณะรัฐมนตรีจำนวน 36 คน ลงมติไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องมีเสียงมาสนับสนุนให้มีมากกว่าครึ่งเพิ่มอีก 36 คน ร่วมเป็น 411 คน เมื่อตำแหน่งประธานสภาและรองอีก 2 คน ไม่ลงมติตามมารยาททางการเมืองด้วย จึงต้องหาเสียงมาเพิ่มทดแทนเข้าไปอีก 3 เสียง ร่วมแล้วพรรคการเมืองที่ตั้งรัฐบาลต้องมีเสียงหนุนทั้งสิ้น 375 บวก 36 บวก 3 เป็น 414 คน จึงจะทำให้รอดพ้นจากลงมติไม่ไว้วางใจทั้งคณะได้

“ดังนั้น ถ้าต้องการคว่ำรัฐบาลจากการเลือกตั้ง คสช. ไม่ต้องเอามา 125 แล้ว แต่เอามาแค่ 86 คน จากจำนวน 500 คน ก็คว่ำได้ ดังนั้น ในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคการเมืองต้องการบริหารประเทศจะได้เสียงถึง 414 จึงจะบริหารประเทศได้ จึงเป็นสภาวะที่หนักกว่าประเทศพม่า ที่มีตัวแทนกองทัพถึง 25% แต่ไทยกลับมีตัวแทนกองทัพถึง 50% แต่เสียงของประชาชนที่ต้องให้เกิดรัฐบาลพรรคการเมืองมีเสียง 414 จากทั้งหมด 500 เสียง จึงไม่มีความเป็นไปได้เลย ด้วยเหตุนี้ทฤษฎีด้านได้อายอดจึงมีความชัดเจน”


'ปู' เดินสายไหว้พระ 3 วัด ปชช.วอนกลับเป็นนายกฯ

"ยิ่งลักษณ์" เดินสายไหว้พระ 3 วัดดัง "วัดสุทัศน์-วัดชนะสงคราม-ศาลเจ้าพ่อเสือ" ขณะที่ ปชช.-ขรก.แห่ขอถ่ายรูป บอกอยากให้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ หวังฟื้น ศก.ประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 มี.ค.59 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปไหว้พระสวดมนต์ ที่วัดสุทัศน์ฯ ศาลเจ้าพ่อเสือ และวัดชนะสงคราม ก่อนจะมาเดินซื้อขนมและรับประทานอาหารบริเวณศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร โดยมีพ่อค้า แม่ค้า เด็กๆ อีกทั้งประชาชนจำนวนมาก เข้ามาขอถ่ายรูปด้วย รวมถึงข้าราชการที่ทำงานอยู่บริเวณดังกล่าว ซึ่งหลายคนบอกว่า ดีใจที่มีโอกาสได้เจอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตัวจริง และระบุว่า อยากให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ยิ้มรับ แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ตอบ

“กางมุ้งกินสเต็ก” ลูกค้าแน่นเต็มร้าน

เมื่อวันที่ 18 มี.ค. บนเครือข่ายสังคมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ชาวเน็ตต่างพากันแชร์รูปภาพร้านสเต็กแห่งหนึ่งริมถนน หลังผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “พอลล่า คุโด้ ชินอิจิ” โพสต์ภาพพร้อมข้อความว่า “ร้านสเต็กเก๋ๆ สไตล์แปลกๆ สเต็กกางมุ้ง กินสเต็กกันในมุ้งเลย” จึงกลายเป็นกระแสฮือฮาในโลกออนไลน์ ผู้คนต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นว่าไอเดียดังกล่าว ถือเป็นกลยุทธที่แปลกใหม่ ซึ่งต่างจากร้านสเต็กทั่วไป ที่ปกติจะเห็นเป็นโต๊ะนั่งธรรมดา แต่กับร้านนี้มีทั้งนั่งกับโต๊ะและนั่งพื้นที่กางมุ้งให้ลูกค้าได้เลือก โดยลูกค้ารายใดที่นั่งทานในมุ้งไม่ต้องกังวลใจว่าจะโดนยุงกัด จนมีกระแสชื่นชมไอเดียสุดเจ๋งตามมา ตามที่ปรากฏบนสังคมออนไลน์

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น.ส.ณัฏฐ์กานดา พรธนพงศ์เกษม 1 ในหุ้นส่วนร้านสเต็กดังกล่าว เปิดเผย ด้วยว่า ที่ตั้งร้านอยู่บริเวณตลาดโค้งสน อ.พระสมุทธรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเปิดมาได้เพียงแค่ 8 วัน ไม่คาดคิดด้วยว่าจะมีลูกค้าให้ความสนใจมากมายขนาดนี้ เนื่องจากคิดทำกันเล่นๆ กับเพื่อนอีก 2 คน ที่เป็นหุ้นส่วนร้าน

โดยจุดเริ่มต้นของไอเดียดังกล่าว มาจากต้องการเปิดร้านอาหาร เพราะบริเวณนี้ร้านอาหารค่อนข้างน้อย จะมีแต่ตลาดนัดเท่านั้น ประกอบกับอยู่แถวชานเมือง ยุ่งค่อนข้างเยอะ จึงคิดว่าจะทำอย่างไร กระทั่งไปเดินตลาดนัดละแวกนั้น เห็นพ่อค้ากางมุ้งเป็นหลังๆ เรียงขายอยู่ จึงเข้าไปนั่งทดสอบ ปรากฏว่าน่าจะใช้ได้ จึงตัดสินใจซื้อมาหลังละ 200 กว่าบาท 10 กว่าหลัง “ได้มุ้งมาแล้ว ก็ไปสั่งทำเบาะลองนั่งนิ่มๆ ซึ่งร้านเปิดเที่ยง ถึง 3 ทุ่ม

ไม่กี่วันนี้มีลูกค้ามาบอกว่าวันนั้นขับรถผ่านเห็นกางมุ้งเป็นสีๆ สะดุดตา ก็เลยแปลกใจ แต่ไม่ได้จอด วันหลังจึงมากินสเต็ก พาลูกๆมานั่งกินกันแบบชิวๆ ผู้ใหญ่ก็นั่งได้ 2 คน ไม่อึดอัดไป แต่ถ้าเป็นเด็กหรือคนตัวเล็กหน่อยก็นั่งได้ 4 คนสบายๆ แต่ใครจะนั่งโต๊ะก็ได้ ร้านเราตอนนี้มี 3-4 โต๊ะ แต่ส่วนใหญ่ที่มาจะเลือกเป็นนั่งกินในมุ้งมากว่า เพราะไม่มีใครทำแบบนี้ แต่ก็ลูกค้าบางคนแอบบ่นว่ามุ้งเล็กไป น่าจะใหญ่กว่านี้ ทางเราก็คิดว่าจะสั่งทำมุ้งเป็นพิเศษ เพราะก็อยากให็ลูกค้าได้รับการบริการที่ดีที่สุด” น.ส.ณัฏฐ์กานดา ระบุ.“