ข่าว
ขับรถไม่พก‘ใบขับขี่’ส่งศาลปรับ กม.ใหม่เพิ่มโทษ หวังลดสูญเสีย

24 ส.ค.61 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ส.3 ในฐานะคณะทำงานแก้ไขปัญหาจราจร , พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. , นายกมล บูรณพงศ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก , รศ.ดร.กัณวีร์ กนิษฐ์พงศ์ ผู้จัดการศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่ง ประเทศไทย สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย , นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน มูลนิธินโยบายถนนปลอดภัย , นพ.วิวัฒน์ ศีตมโนชญ์ ผู้จัดการแผนงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับองค์การอนามัยโลกด้านความปลอดภัยทางถนน และรองประธาน สอจร. ร่วมแถลงข่าวการแก้ไขกฎหมาย กรณีโทษความผิดเกี่ยวกับใบอนุญาตขับรถ เพื่อสร้างเสริมวินัยการขับขี่ ลดสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ที่เกิดจากการไม่มีใบอนุญาตขับรถ หวังเพิ่มความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคม

นายกมล กล่าวว่า กฎหมายด้านการขนส่งทางบกฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน บังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2522 ซึ่งการขอแก้ไขพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ.2522 ดังกล่าวจำเป็นต้องมีการปรับเนื้อหาให้มีความทันสมัย และให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้มีส่วนในการสร้างความตระหนักและรับผิดชอบต่อสังคม

ทั้งนี้ เนื่องจากข้อมูลศูนย์วิจัยอุบัติเหตุแห่งประเทศไทย พบว่า กลุ่มผู้ขับขี่ที่ไม่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ มีโอกาสการเสียชีวิตร้อยละ 34 สูงกว่ากลุ่มผู้ขับขี่ที่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ถึง 2 เท่า และจากข้อมูลของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า เด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 ปี เป็นกลุ่มอายุที่มีการเสียชีวิตจากการเกิดอุบัติเหตุทางท้องถนนสูงสุดเฉลี่ยปีละ 1,688 คน

นอกจากนี้ จากการศึกษาจากต่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับด้านความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เช่น ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา พบว่า กรณีความผิดเกี่ยวกับการขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถในประเทศญี่ปุ่น มีโทษปรับไม่เกิน 300,000 เยน (88,000 บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 1 ปี และถูกตัดแต้ม 12 คะแนน ส่วนประเทศสหรัฐอเมริกา มีโทษปรับไม่เกิน 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ (800,000บาท) หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี และถูกบันทึกประวัติตลอดชีวิต

'บิ๊กตู่' รับอารมณ์ร้อน! ขออย่ามองเผด็จการ

เมื่อวันที่ 24 ส.ค.61 ที่โรมแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิร์ด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น ประจำปี 61 โดย นายกฯ กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจทำงานร่วมกับตนมา 4 ปีแล้ว วันนี้มอบรางวัลให้ท่านแต่ท่านต้องทำรางวัลให้กับชาวบ้านด้วย ทำให้ทุกคนมีความสุขเข้าถึงโอกาส เหมือนกับการตอกเสาเข็มประเทศให้แข็งแรง ที่บ้านหลังนี้มีคนอยากอยู่เยอะ โดยมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ขณะที่ข่าวโซเชียลมีเดียออกมาติติง ใครพูดก่อนเชื่อก่อน แต่เวลาเราพูดยังไงก็ไม่เชื่อ ดังนั้นต้องชี้แจงให้ได้ ขอเถอะปรับตัวให้ได้ปรับความคิด วิธีการ เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุคแห่งความรุ่งเรือง ต้องคิดให้ไกลไปให้ถึง ทยอยทำไปเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ ฟังความต้องการประชาชนด้วย ปีหน้าตนไม่รู้จะได้พูดอยู่หรือเปล่า คงไม่ได้พูดเพราะมีรัฐบาลใหม่แล้ว แต่รัฐวิสาหกิจต้องทำให้สำเร็จ

"ผมเป็นคนอารมณ์ร้อน แต่วันนี้พูดด้วยอารมณ์ปกติ ผมก็พูดเสียงดังอย่างนี้ ถ้าโมโหก็อีกเรื่องหนึ่ง อยู่กับทหารก็อีกแบบหนึ่ง ทุกวันนี้ประคับประคองจิตใจมากที่สุดแล้ว แต่ไม่ขออดทนต่อการมายั่วยุ เป็นนายกฯพูดจาไพเราะแล้วทำอะไรได้ไหมล่ะ พูดแต่ครับๆดีๆหรือทำโน้นทำนี้ให้ แล้วทำไม และขอให้จับตาตอนหาเสียง คนที่พูดอะไรไว้ทำอะไรได้บ้าง ถ้าไม่มีงบประมาณก็ทำไม่ได้ และขอโทษที่ไม่ได้ร่วมรับประทานอาหารด้วย ขออนุญาตกลับไปอยู่กับครอบครัว เพราะภริยากับลูกออกบ้านแต่เช้าไม่ได้เจอกัน เพราะผมทำงานแบบไม่มีวันหยุดราชการ ขอเวลาหน่อยอย่าหาว่าผมเห็นแก่ตัว หรือเป็นเผด็จการ หัวใจผมให้ท่านอยู่แล้ว ให้คนไทยทั้งประเทศ ถ้าผมไม่ได้เป็นคนแบบนี้ พูดกับท่านไม่ได้แบบนี้แน่ ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว ไม่ใช่ขยิบตาซ้ายขยิบตาขวา แต่ผมมองคนทั้งโลก เพราะผมไม่มีผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น ซึ่งไม่มีใครรู้เท่าตัวเราเอง และทุกคนรู้ว่าผมเข้ามาเพื่ออะไร ก็อยากให้ช่วยกันทำงาน" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


นายกฯปรี๊ดแตก! ไล่นักข่าวออกไป

เมื่อเวลา 11.40 น.วันที่ 24 ส.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม คสช.เพื่อพิจารณาคลายล็อกพรรคการเมืองว่า จะประชุมในวันที่ 28 ส.ค. ส่วนประเด็นการคลายล็อกต่างๆ ขอให้ไปถามนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เพราะได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายไปดูแล้วว่ามีข้อติดขัดอย่างไรบ้าง จากนั้นให้นำมาเสนอต่อที่ประชุม คสช. ก็โอเคตามนั้น การจะมาถามหมดทุกเรื่องบางทีก็ตอบไม่ได้ เพราะว่ามีคนทำงานเป็นกลุ่มๆ อยู่แล้วอันนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับการเลือกตั้ง

"ก็ไม่ใช่ว่ากฎหมายที่ออกมาแล้วมันผิด ออกกฎหมายมาก็หวังว่าจะให้ใช้อย่างยาวนานยั่งยืน เพื่อให้เกิดการปฏิรูปทางการเมือง แต่ไม่ใช่ว่าออกมาแล้วก็มีปัญหาอีก แล้วการเมืองไม่อยากปฏิรูปไหมล่ะ ถ้าไม่อยากปฏิรูปก็มีปัญหา ผมถึงบอกว่าอะไรที่ทำได้ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นวันข้างหน้าจะกลับไปที่เดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมา ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะไม่ปฏิรูปแต่ท่านไม่ยอม แล้วจะให้ทำอย่างไรจะให้บังคับกันหรือ เพราะกฎหมายธรรมดายังไม่ปฏิบัติกันเลย" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินออกจากวงสัมภาษณ์ เพื่อกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า แต่ระหว่างนั้นก็ได้เดินไปที่ น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนหันมาบอกสื่อว่าทำไมไม่ถามประเด็นเศรษฐกิจบ้าง สนใจบ้างหรือไม่ การค้าการพาณิชย์ให้ถามกันบ้าง เพราะการเมืองไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นทั้งหมด จากนั้นผู้สื่อข่าวกล่าวตอบว่า ตัวเลขเศรษฐกิจดีอยู่แล้ว มีนักข่าวเศรษฐกิจเป็นคนตามอยู่แล้ว นายกฯ จึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “เธออย่ามาต่อปากต่อคำกับฉัน ”ปรากฏว่าทันทีที่พูดจบ ได้มีผู้สื่อข่าวคนหนึ่งหันมาพูดกับผู้สื่อข่าวด้วยกันเองว่า “ต่อปากต่อคำก็ไม่ได้" โดยนายกฯ ได้ยินและถึงกับโมโห พร้อมหันมาตะคอกอย่างเสียงดังและชี้นิ้วมาที่ผู้สื่อข่าวที่พูดว่า "ก็ไม่ได้ไง นินทาอะไรวะ ไม่ต้องมาต่อปากต่อคำกับฉันหรอก ถ้าต่อปากต่อคำไม่ได้ ก็ออกไปข้างนอกโน่นใครที่พูดเมื่อกี๊".


'นคร' ปลุกปชช.ถล่มคสช. อาการร่อแร่ใกล้โดนน็อค

24 ส.ค.61 นายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์ข้อความผ่านเฟชบุ๊ก โดยระบุว่า "ขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่มีให้กับผม ระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบเดือน ผมแทบจะไม่มีเวลาได้หยุดพักเพื่อทักทายกับพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเลยเพราะต้องเตรียมข้อมูล พยานหลักฐานทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารพยานวัตถุหลายพันชุด ทั้งภาพ เสียง วีดีโอ คลิป เพื่อต่อสู้คดี ที่ทั้งพรรคการเมืองบางพรรค กองทัพ คสช.และลิ่วล้อของเหล่าเผด็จการจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับผมให้สมบูรณ์และครบถ้วนที่สุด ผมขอกราบขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจ ผมตั้งปณิธานแน่วแน่เด็ดเดี่ยวที่จะร่วมสู้กับทุกท่านที่มีอุดมการณ์เดียวกันเพื่อประชาชนและประชาธิปไตย เพื่ออนาคตของชาติบ้านเมืองและลูกหลานของเราทุกคนครับ

ผมเห็นกิริยาอาการของพลเอกประยุทธ์ พลเอกประวิตร แกนนำคณะรัฐประหารและบรรดาลิ่วล้อที่รับใช้ใกล้ชิดของคสช ไม่ว่าจะเป็นพวกเนติบริกร พวกสนช. สปท. ครม. ที่กำลังเสวยสุข มีตำแหน่งใหญ่โต มีเงินเดือนเป็นแสน เป็นล้าน มีอภิสิทธิ์ต่างๆที่ได้มาจากการสมคบคิดร่วมกันปล้นอำนาจปล้นประชาชนสำเร็จแบ่งสรรปันส่วนอำนาจ ยศตำแหน่ง เงินทองที่ได้มาจากการรัฐประหาร บนความทุกข์ยากแร้นแค้นของอาณาประชาราษฎร์ และฉุดรั้งประเทศให้ถอยหลังไปแบบสุดกู่ กฎกติกาบ้านเมืองกลายเป็นกฏของเผด็จการ โดยเผด็จการ และเพื่อเผด็จการอย่างแท้จริง ไม่ใช่กฎหมายที่สร้างขึ้นมาโดยประชาชน ของประชาชน และเพื่อประชาชนเลย วิกฤตจึงเกิดขึ้นกับคนไทยและประเทศไทยของเราอย่างหนักหน่วงและรุนแรง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ประชาชนเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้าเช่นที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เกือบ 5 ปีแล้ว

ดูกิริยาอาการของพวกเขาร้อนรน โกรธง่ายโมโหง่าย ชอบด่ากราด และพยายามประชดประชันไปถึงนายกทักษิณ นายกยิ่งลักษณ์ ตลอด ถ้าเป็นภาษามวยเขาเรียกว่าออกอาการ อาการหมดแรง ไร้พลัง ไม่มีกองหนุน ไม่มีคนเชียร์ เป็นมวยที่มีอาการล่อแล่ ที่จะถูกน็อคในเวลาอีกไม่นาน ในขณะที่ฝ่ายประชาธิปไตยกลับมีพลังมากขึ้นๆๆทุกขณะและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วด้วยความรู้ ด้วยความจริง ด้วยปัญญา จึงอาจกล่าวได้ว่าเผด็จการคสช.กำลังจะพังทลายลงแล้วในเร็ววันนี้ อยู่ที่ว่าจะไปวันไหน จะลงท่าไหน และจะมีแผ่นดินอยู่หรือไม่ เพราะพวกคุณ ทำบาปทำกรรมกับประชาชนและประชาธิปไตยกับประเทศไทยไว้มากมาย แม้จะพยายามจะยื้ออำนาจเพื่ออยู่ต่อ คนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ให้โอกาสพวกคุณอีกแล้ว

จึงอยากส่งสัญญาณเตือนไปยังบรรดาลิ่วล้อเครือข่ายของเผด็จการทุกคน และบรรดาข้าราชการที่รับใช้ระบอบเผด็จการอยู่ ที่มีใจเป็นธรรม รักความจริง รักความถูกต้อง รักความยุติธรรม รักประชาชน และประชาธิปไตย ได้โปรดใช้วิจารณญาณของทุกท่านว่าจะอยู่ฝั่งไหน ระหว่างฝ่ายเผด็จการที่ไม่มีความชอบธรรมมาตั้งแต่ต้นและกดขี่ข่มเหงประชาชนและพวกท่านอยู่ กับฝ่ายประชาชนและประชาธิปไตย ที่พร้อมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกท่าน เพราะดูอาการของแกนนำเผด็จการแล้ว ไม่น่าจะรอด ในเวลาอันสั้นนี้แน่นอนครับ"


เงินประกัน 5 ล้าน! ปล่อย'กี้ร์ อริสมันต์' คดีโกงบ้านเอื้ออาทร ห้ามออกนอกปท.

24 ส.ค.61 เมื่อเวลา 15.20 น.ที่ผ่านมา นายกัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความของ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือกี้ร์ อายุ 54 ปี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่เมื่อวานนี้ (23 ส.ค.) นายอริสมันต์ ได้เดินทางไปเเสดงตัวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำเเหน่งทางการเมือง พร้อมยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 3 ล้านบาท เพื่อขอประกันตัวในฐานะจำเลย คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร แต่ศาลฎีกาฯ พิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว กำหนดหลักทรัพย์ยื่นประกันในส่วนของนายอริสมันต์ จำนวน 5 ล้านบาท (เท่ากับราคาประกันของนายวัฒนา เมืองสุข รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยุครัฐบาลทักษิณ 2 และแกนนำพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 1 คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทร ทำให้หลักทรัพย์ที่นายอริสมันต์เตรียมไปยื่นไม่เพียงพอในวันนี้ ตนจึงนำสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงไทยฯ จำนวน 5 ล้านบาท มายื่นต่อศาล

ศาลฎีกาฯ พิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวนายอริสมันต์ โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล ซึ่งภายหลังได้รับคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเเล้ว คาดว่า นายอริสมันต์จะได้ออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันนี้ เวลาประมาณ 20.00 น.

โดยนายอริสมันต์ จะต้องเดินทางไปศาลในวันนัดสอบคำให้การ วันที่ 5 ต.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก พร้อมกับสำนวนของ นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยุครัฐบาลทักษิณ 2 และแกนนำพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 1 คดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในสำวนหมายเลขดำ อม.42/2561

"ตนยืนยันว่าคดีนี้ในวันดังกล่าวนายอริสมันต์จะเดินทางไปศาลแน่นอน เราแสดงเจตนาไม่หลบหนีสู้คดีโดยมาแสดงตัวก่อนวันนัดพิจารณาคดีครั้งแรก และยืนยันว่า คดีนี้นายอริสมันต์เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องในโครงการบ้านเอื้ออาทรและเกี่ยวข้องกับนายวัฒนา ในตอนเกิดเหตุนายอริสมันต์ก็ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยหลังจากนี้จะขอดูรายละเอียดในสำนวนและจะมีการฟ้องกลับ ส่วนจะฟ้องใครบ้างในขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ เนื่องจากยังไม่ทราบรายละเอียดในสำนวนที่กำลังจะมีการพิจารณาคดี" ทนาย กล่าว

สำหรับคดีนี้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.102/2561 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ , บริษัท พาสทิญ่าไทย จำกัด , บริษัท นามแฟทท์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด , บริษัท พรินซิพเทค ไทย จำกัด และ น.ส.สุภาวิดา คงสุข กรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนบริษัท ไทยเฉนหยูฯ เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนายวัฒนา อดีต รมว.พม.ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจหรือจูงใจ เพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด แก่ตนเองหรือผู้อื่น และสนับสนุน นายมานะ วงศ์พิวัฒน์ อดีต กคช.ซึ่งเป็นพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อให้กระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 148 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 6 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 , 91 ภายหลังจากศาลมีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา


เจ็บช้ำน้ำใจ โง่ถูกหลอกโอน 7 ล้าน โอกาสรอด’เสี่ยอ้วน’ฆ่า’น้องสปาย’

คดีที่สังคมติดตามจากกรณีเสี่ยอ้วน หรือนายปัญญา ยิ่งดัง บงการและฆ่าน.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือน้องสปาย อายุ 20 ปี และนายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือน้องฟอส อายุ 21 ปี เสียชีวิต เมื่อเกิดจุดเปลี่ยนสังคมกลับมารู้สึกเห็นใจเสี่ยอ้วน จากเดิมเชียร์ให้ประหารชีวิต เพราะความโหดร้าย

เพราะภายหลังเสี่ยอ้วนโดนจับกุม ออกมาเน้นย้ำก่อนเข้าเรือนจำ ถึงการโอนเงินให้กับน้องสปาย และครอบครัวของน้องสปาย คาดหวังว่าน้องสปายจะแต่งงานด้วย รวมจำนวนกว่า 7 ล้าน มีหลักฐานชัดเจนอยู่ในเฟซบุ๊ก จึงเกิดความแค้นที่ผิดหวังเรื่องความรัก และโดยเฉพาะการโดนหลอกเงิน

แม้ทางฝ่ายแม่น้องสปาย ได้ออกมาโต้ไม่เป็นความจริง ยังคงยืนยันได้เงินมาเพียง 1 ล้านเท่านั้น แต่การออกมาพูดแต่ละครั้ง ไม่เหมือนกัน จากการจับผิดของชาวโซเชียล ว่าแม่น้องสปายโกหกคำโต

กลายเป็นว่า!! เกิดอาการพลิกเมื่อแม่น้องสปาย โดนถล่มเละโดนด่าทำนองว่าขายลูกกิน หลอกเอาเงินเสี่ยอ้วนใช้ซื้อรถซื้อบ้าน ตามมาด้วยความสงสารน้องฟอสที่มาตายฟรี เพราะน้องสปายและครอบครัวเป็นต้นเหตุ

ยังไม่จบเท่านั้น เมื่อมีกระแสออกมาว่า ทางเสี่ยอ้วน เตรียมให้ทนายความดำเนินการฟ้องเรียกเงินคืนจากครอบครัวน้องสปาย หลังออกมาแฉความจริง อีกทั้งหลักฐานการโอนเงินได้อยู่ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย จนมีการตั้งคำถามว่า ประเด็นการโอนเงิน จะนำไปสู่การบรรเทาโทษเสี่ยอ้วนหรือไม่? เนื่องจากข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ระวางโทษสถานเดียวคือประหาร

ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา กล่าวในฐานะวิทยากรสอนกฎหมาย กับไทยรัฐออนไลน์ ว่า ประเด็นการโอนเงินจำนวนมากขนาดนี้ คงไม่มีใครให้โดยเสน่หา เพราะจากคำให้สัมภาษณ์ของเสี่ยอ้วนแล้วไม่ใช่ เพราะเหมือนการหลอกลวงว่าจะยกน้องสปายให้ ถือเป็นการละเมิด สามารถฟ้องเอาผิดพ่อแม่น้องสปายได้ เชื่อว่าทางเสี่ยอ้วน ต้องฟ้องอย่างแน่นอน และมูลเหตุจูงใจจากพ่อแม่น้องสปายหลอกเงิน จะบรรเทาโทษได้จากเหตุเป็นคนโฉดเขลา เบาปัญญา คือคนโง่ ทนทุกข์ทรมาน ตามมาตรา 78 ประมวลกฎหมายอาญา สามารถต่อสู้ลดโทษจากประหารชีวิตได้ เพราะทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ

“จุดนี้เข้าทางเสี่ยอ้วน ไม่โดนโทษประหาร เพราะมีการย้ำชัดเรื่องถูกหลอกโอนเงิน 7 ล้าน ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ มีการหลอกลวงว่าจะยกน้องสปายให้ ทั้งที่ๆ รู้อยู่แล้วว่าน้องสปายไม่ยอม และพ่อแม่ไม่ยกลูกสาวให้อยู่แล้ว เป็นลักษณะร่วมกันฉ้อโกง สามารถฟ้องดำเนินคดีอาญาพ่อแม่น้องสปายได้ ภายใน 3 เดือนนับแต่รู้ตัวผู้กระทำความผิด จากการปกปิดความจริง พูดโกหก หรือแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ได้ไปซึ่งเงิน 7 ล้าน”

นอกจากนี้ยังสามารถฟ้องทางแพ่งได้อีกเด้ง เพราะมีลักษณะหลอกลวง จงใจฉ้อฉล ฉ้อโกง เอาเงินเอาทองไป เป็นการฟ้องละเมิดเอาทรัพย์คืนได้ ซึ่งทางเสี่ยอ้วนสามารถตั้งทนายความฟ้องได้ และจากประเด็นการโอนเงินได้พลิกวิกฤติกลายเป็นโอกาสให้กับเสี่ยอ้วน ประเมินว่าเมื่อลดโทษไปมา ทางเสี่ยอ้วนจะติดคุกประมาณ 10 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเสี่ยอ้วนพูดมาตลอดว่าเสียใจกับสิ่งที่ทำ ฆ่าคนต่อหน้าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เหมือนเป็นนักเลงโดนหยามไม่ได้ เรื่องถูกหลอก

พร้อมทิ้งท้ายว่า การที่กระแสสังคมกลับมาเห็นใจเสี่ยอ้วนโดนหลอกเอาเงิน ถือเป็นเรื่องอารมณ์ ขอให้เวรกรรมจัดการ ไม่ต้องรอชาติหน้า ซึ่งเงินตั้ง 7 ล้านบาท ใครให้ไปทำไม ตัวเองรู้อยู่แก่ใจ การบอกไม่รู้เรื่องเงิน คงไม่มีใครเชื่อ เพราะผัวเมียนอนบนเตียงเดียวกัน บอกไม่รู้ไม่ได้ รวมถึงการที่น้องสปายได้เงินมา บอกว่าไม่รู้ ไม่มีใครเชื่อ ให้ไปสาบานที่เขาชีจรรย์ กลางฝนตก เชื่อว่าโดนฟ้าผ่าตายแน่.

มะกันตะลึง เจออุโมงค์ลับขนยา ข้ามชายแดนไปโผล่ ที่เม็กซิโก

เมื่อ 24 ส.ค.61 สำนักข่าวบีบีซีและฟ็อกซ์ นิวส์ รายงานเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เจออุโมงค์ ใช้เป็นเส้นทางลับลำเลียงยาเสพติดข้ามชายแดนระหว่างรัฐแอริโซนา ของสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ซึ่งอุโมงค์ลับดังกล่าว ความยาว 200 ฟุต ถูกขุดจากบริเวณชั้นใต้ดินของอาคาร ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งร้าน San Luis KFC ในเมืองซาน หลุยส์ รัฐแอริโซนา ลอดพรมแดนไปยังบ้านหลังหนึ่งในเมืองซาน หลุยส์ ริโอ โคโลราโด ในรัฐโซโนรา ประเทศเม็กซิโก

ข่าวแจ้งว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ พบอุโมงค์ลับแห่งนี้ เมื่อสัปดาห์ก่อน หลังได้จับกุมนายอีวาน โลเปซ เจ้าของอาคาร ในระหว่างตำรวจจราจรได้เรียกรถเขาให้หยุด และสุนัขตำรวจได้กลิ่นยาเสพติด จึงทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถนายโลเปซ และเจอยาเสพติดจำนวนมาก อาทิ เมทแอมเฟตามีน น้ำหนักถึง 118 กิโลกรัม โคเคน 6 กรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 1 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 33 ล้านบาท

จากการค้นบ้านพักของนายโลเปซ และร้าน KFC เก่าของเขา ปรากฏว่า ตำรวจได้พบอุโมงค์ลับ ซ่อนอยู่ในบริเวณห้องครัวที่ใช้ในการประกอบอาหารฟาสต์ฟูดของ KFC โดยอุโมงค์นี้ลึกจากผิวดิน 22 ฟุต มีความสูง 5 ฟุต และกว้าง 3 ฟุต ถูกขุดให้ไปโผล่ใต้เตียงในห้องนอนของบ้านหลังหนึ่งในประเทศเม็กซิโก โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เชื่อว่า แก๊งยาเสพติดแก๊งนี้ใช้วิธีขนยาเสพติดโดยใช้เชือกลากมา

อย่างไรก็ตาม การพบอุโมงค์ขนยาเสพติดข้ามชายแดนระหว่างสหรัฐฯกับเม็กซิโกครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะเมื่อ 2 ปีก่อน เจ้าหน้าที่เคยพบอุโมงค์ยาว 2,600 ฟุต ในเมืองซานดิเอโก แคลิฟอร์เนีย จนถือเป็นหนึ่งในอุโมงค์ลำเลียงยาเสพติดที่เคยพบมาเลยทีเดียว