ข่าว
โรงเรียนมัธยมรัฐเท็กซัส ยิงสนั่นดับ 8 เจ็บเพียบ

ซานตาเฟ รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 18 พ.ค. โฆษกตำรวจในเมืองซานตาเฟ เปิดเผยว่า เกิดเหตุยิงกันในโรงเรียนมัธยมปลายซานตาเฟ ตั้งอยู่ในเมืองซานตาเฟเขตชานเมืองฮุสตัน โดยอยู่ห่างออกไป 48 กม.ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฮุสตันรัฐเท็กซัส เมื่อเช้าวันศุกร์ที่ผ่านมา และจากคำบอกเล่าของพยานทราบว่า คนร้ายมีอาวุธปืนเดินเข้ามาในโรงเรียนแล้วยิงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้าที่ขาจนได้รับบาดเจ็บ ทำให้นักเรียนหลายคนแตกตื่นเผ่นหนีออกจากโรงเรียน

ส่วนทางโรงเรียนมัธยมปลายซานตาเฟได้สั่งปิดโรงเรียนห้ามเข้าออก ขณะที่กำลังตำรวจ หน่วยฉุกเฉินก็รุดมายังที่เกิดเหตุ ตำรวจให้นักเรียนตั้งแถวตรวจค้นอาวุธแล้วออกมาจากอาคารเรียน นักเรียนบางคนหนีไปอยู่ที่ร้านซ่อมรถยนต์ที่อยู่ใกล้กันและผู้ปกครองมารอรับบุตรหลานของตัวเอง ตำรวจรายงานด้วยว่า มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ศพและได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งจากเหตุยิงกันครั้งนี้ และมือปืนผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นเด็กนักเรียน 2 คนถูกควบคุมตัวไว้ได้แล้ว

นับเป็นเหตุยิงกันล่าสุดที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในสหรัฐอเมริกา หลังจากประเด็นเรื่องการควบคุมอาวุธปืนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง รวมถึงสิทธิในการครอบครองอาวุธปืน หลังเกิดเหตุกราดยิงจนมีนักเรียนและเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนเสียชีวิต 17 ศพ เมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมาที่โรงเรียนมัธยมปลายในเมืองพาร์คแลนด์รัฐฟลอริดา

"บิ๊กตู่"พ้อ 4 ปีปรองดองยาก ไล่นักการเมืองปฏิรูปตัวเอง

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า หากใครเคยเป็นคนกลางอยู่ระหว่างความขัดแย้ง คงเข้าใจว่าสิ่งที่ยากไม่ใช่การยุติความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการสร้างความปรองดองที่ยั่งยืน เพราะการปรับตัวเข้าหากัน โดยปฏิบัติตามคำแนะนำของคนกลาง ตามกฎกติกาที่ควรจะเป็นนั้น เป็นเรื่องของความสมัครใจและความยินยอมของทุกฝ่าย เราไม่อาจบังคับกันได้และนั่นเป็นอุปสรรคในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศอยู่ในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม “4 ปี ของ คสช.” นับเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปประเทศ บางอย่างทำได้ทันที บางอย่างสำเร็จง่าย เพราะทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน หลายอย่างขับเคลื่อนได้ยาก เพราะยังไม่เข้าใจกัน และที่แย่กว่านั้น บางคน บางกลุ่ม ยังปกป้องผลประโยชน์ส่วนตน จนมองไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนรวม ตนขอย้ำว่า การปฏิรูปเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีวันจบสิ้น บางเรื่องกว่าจะสำเร็จต้องใช้เวลานาน ต้องทุ่มเททรัพยากรมาก โดยเฉพาะความร่วมมือกัน และทุกการปฏิรูปต้องเริ่มที่การปฏิรูปตนเอง ก่อนเสมอ อย่างน้อย เราจะต้องไม่หยุดพัฒนาตนเอง

“ผม รัฐบาล และคสช. ไม่อยากให้ประชาชนหลงเชื่อ คำวิพากษ์วิจารณ์ที่บิดเบือน ไม่สุจริตใจ และขาดความรับผิดชอบ ที่พยายามจะกล่าวหาว่ารัฐบาล และคสช.ไม่ได้ทำการปฏิรูป และกล่าวว่าสิ่งที่รัฐบาลทำ เป็นเพียงการบริหารราชการแผ่นดินปกติ ที่ทุกรัฐบาลต้องทำอยู่แล้ว ผมอยากให้ลองกลับไปคิดดูว่า แล้วทำไมรัฐบาลที่ผ่านมาไม่ทำ เราต้องมาเสียเวลา เอาของเดิมมาทำพร้อมกับของใหม่ไปด้วย แล้วมาว่าเราไม่ได้ทำอะไร ผมว่าไม่เป็นธรรมกับผม เราอาจบังคับใช้กฎหมาย ประชาชนรู้สึกเดือดร้อน ผู้มีรายได้น้อยรู้สึกถูกรังแก จึงทำให้การปฏิรูปไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นผมอยากให้ทุกคน ทุกพรรค ที่จะเข้าสู่การเลือกตั้งเข้ามาเป็น ส.ส. เป็นรัฐบาล ควรจะออกมาพูดว่าจะปฏิรูปอะไร ดีกว่ามาพูดว่ารัฐบาล ติรัฐบาลทำ ไม่ทำ ท่านพูดว่าอยู่กันมานานแล้ว รู้ปัญหาประเทศดีมากอยู่แล้ว ผมอยากรู้ว่าแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง ดีกว่าจะมาพูดให้ร้ายซึ่งกันและกัน หากยังทำการเมืองในลักษณะเดิม การเมืองก็ต้องปฏิรูปด้วย ปฏิรูปที่ตัวเองก่อน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว.


ลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 ติดมือมา สาวใจงามรีบนำส่งคืนเจ้าของ

เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเพจเฟซบุ๊กชื่อทนายพร เพชรนก ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ไปสภ.คูคต ลงปจว.คุณเอช พบลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 พร้อมคืนเจ้าของ พร้อมกับภาพที่อยู่ระหว่างลงประจำวัน ภายในห้องประจำวันสภ.คูคตพร้อมกับโพสต์รูปลอตเตอรี่จำนวน 1 ฉบับเลข 075629 ลงวันที่ 16 พ.ค.2561

โดยนายสีเภา เพชรนก ทนายความ ซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่ภายในเขตอ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เล่าว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ค.เวลาประมาณ 17.00 น. น.ส.ริญญาภัทร์ ดีมาก หรือเอช อายุ 35 ปี ได้เข้ามาปรึกษาตนเองหลังจากก่อนหน้านี้ได้ไปสมัครรับเลี้ยงเด็ก ที่สถานที่แห่งหนึ่งย่านพระราม 9 กทม.ก่อนที่ผู้ที่จะรับเข้าทำงานได้ให้เงินซึ่งเป็นธนบัตรมาจำนวนหนึ่ง เพื่อจ่ายค่ารถแท็กซี่ขณะนั่งรถกลับบ้านพัก กระทั่งมาทราบว่ามีลอตเตอรี่ติดมาด้วยก็ตอนที่ควักเงินจ่ายค่ารถแท็กซี่ และได้มีการส่งภาพถ่ายลอตเตอรี่จำนวน 3 ฉบับผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ กลับไปยังผู้เป็นเจ้าของให้ทราบว่ามีลอตเตอรี่จำนวน 3 ฉบับติดมากับตนเองเพื่อขอให้รับคืน กระทั่งมาทราบวันที่ 16 พ.ค.2561 ที่ผ่านมาช่วงเย็นว่ามีจำนวน 1 ฉบับถูกรางวัลที่ 1 เป็นเงินมูลค่า 6 ล้านบาท จึงมาขอคำปรึกษาและร่วมในการลงบันทึกประจำวันเพื่อความบริสุทธิ์ใจไว้เพื่อความบริสุทธิ์ใจ และส่งมอบลอตเตอรี่ให้กับผู้เป็นเจ้าของและจะมีการนัดส่งมอบคืนกันในวันนี้แต่ก็ไม่ได้ประสานให้ตนเองเป็นพยานจึงไม่ทราบว่าคืนลอตเตอรี่ให้กันตอนไหน

ขณะที่ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังน.ส.ริญญาภัทร์ เพื่อสอบถาม แต่ปรากฏว่าไม่ขอให้ข้อมูลใดๆทั้งสิ้น และบอกเพียงว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ


เมียตาซาเล้งแจ้งความลูกสาว ขโมยเงิน-ทอง-ด่าทอย่ำยีจิตใจ

เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2561 นายเตชะ ทับทอง ที่ปรึกษาสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงกรณีครอบครัวลุงตาซาเล้งที่กำลังเป็นกระแสดราม่าระหว่าง นางฉลวย มณีพันธ์ เมียตาซาเล้งกับ น.ส.วนิดา มณีพันธ์ หรือเจี๊ยบ ลูกสาวในตอนนี้ว่า ตั้งแต่เริ่มเข้ามาช่วยเหลือครอบครัว นายจรูญ มณีพันธ์ หรือตาจรูญ นั้นก็คิดว่าจะต้องมีปัญหาขึ้นสักวัน เกี่ยวกับเงินที่ครอบครัวตาจรูญได้รับบริจาคมา เขาก็พยายามหาวิธีการแก้ไข แต่ก็ยังคงมีปัญหาเกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ เพราะคนเพียงคนเดียวที่ไปให้ข่าวสร้างกระแสว่าเขาและแอดมินเพจแหม่มโพธิ์ดำ โกงเงินบริจาค ไม่เคยเห็นลงมาช่วยเหลือที่บ้านบ้าง ให้ข่าวว่าเขาเคยเดินทางมาที่บ้านเพียงครั้งเดียว ทั้งที่ความจริงเขาเคยเดินทางไปช่วยเหลือที่บ้านประมาณ 9 ครั้ง เท่าที่จำได้ แต่นางสาววนิดาไม่ยอมดูตัวเองว่าได้ช่วยเหลืออะไรครอบครัวบ้าง

ส่วนเงินเยียวยาที่ได้จากกระทรวงยุติธรรม ก็ไม่ยอมแบ่งให้กับแม่และพี่ชาย ไม่ยอมดูแลแม่ ปล่อยให้แม่ต้องอยู่คนเดียวที่บ้าน ส่วนเจ้าตัวกลับไปเที่ยวดูลิเก ล่าสุดยังมาก่อเรื่องขโมยทองคำรูปพรรณและสมุดบัญชีเงินฝาก และยังดุด่าบังคับเอาเงินจนนางฉลวยโทรมาระบายให้ฟัง ขณะนี้เขาเตรียมดำเนินการจัดการกับน.ส.วนิดา เพื่อให้สภาพความเป็นอยู่ของนางฉลวยดีขึ้น

ต่อมา นายเตชะ ได้ติดต่อไปหานางฉลวย โดยนางฉลวยได้คุยทางโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสั่นบอกว่า ถูกน.ส.วนิดา มณีพันธ์ หรือ เจี๊ยบ ลูกสาว ทำร้ายร่างกายเพราะต้องการเงิน นายเตชะ จึงตัดสินใจรีบเดินทางไปหานางฉลวยที่บ้านในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทีมข่าวก็ติดตามไปด้วย โดยขับรถจากย่านลาดหลุมแก้ว กระทั่งใช้เวลาประมาณ 45 นาที ก็เดินทางมาพบนางฉลวยนั่งอยู่ที่บ้านญาติ

นางฉลวย กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าลูกสาวได้เข้ามาขอเงินจำนวน 2 หมื่นบาท อ้างว่าจะเอาไปใช้ค่าบันไดบ้าน เธอก็บอกว่าไม่มี ค่าบันไดบ้าน เธอก็ได้จ่ายไปแล้ว แต่ลูกสาวก็ยังยืนยันจะเอาเงินให้ได้ ก็ยืนยันว่าไม่มีให้ จู่ๆ ลูกสาวก็เข้ามากระชากเสื้อ และเอาเงินในกระเป๋าเสื้อไป และยังจะเอาเงินที่ซ่อนไว้ในตัวอีก เธอก็พยายามปัดป้อง กระทั่งคนที่เห็นเหตุการณ์รีบมาพาตัวเธอหนีมาอยู่ที่บ้านญาติ ทั้งนี้ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้พานางฉลวยเดินทางไปลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว

ต่อมาเมื่อเวลา 16.00 น. น.ส.วนิดา ก็เดินทางเข้าพบตำรวจที่ สภ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อให้ปากคำกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว โดยทันทีที่นางฉลวยพบหน้าลูก ก็มีปากเสียงด่าลูกสาวทันที ขณะที่ตำรวจต้องจับทั้งคู่แยก เพื่อให้ได้สงบสติอารมณ์กัน ก่อนจะแยกนำ น.ส.วนิดาไปให้ปากคำ

ล่าสุด เมื่อ 17.25 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาววนิดา หรือ เจี๊ยบจะเก็บของย้ายออกจากบ้านไป และจะไปอยู่กับบ้านป้าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านแม่นัก โดยพนักงานสอบสวนให้เจี๊ยบลงบันทึกประจำวันว่า ห้ามเจี๊ยบเข้าไปเหยียบบ้านแม่อีก หากเข้าไปจะถูกตำรวจจับ ขณะที่ เรื่องขโมยทองและสมุดบัญชีเงินฝากให้พนักงานสอบสวนเป็นคนดำเนินการ ส่วนเรื่องเงินที่เจี๊ยบได้ไปร่วม 2 แสนบาท คือ ส่วนที่ได้จากกระทรวงยุติธรรม และจากนายจ๊อด แต่ว่าใช้เงินไปหมดแล้ว.


ตร.มาเลเซียค้นคอนโด “นาจิบ” พบ “เงินสด-เครื่องเพชร” อื้อ!

(18 พ.ค.)ตำรวจมาเลเซียยึดกระเป๋าถือแบรนด์เนมหลายสิบใบซึ่งอัดแน่นไปด้วยเงินสดและเครื่องเพชร ขณะเข้าตรวจค้นที่พักและสำนักงานหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัค อามาร์ สิงห์ หัวหน้าหน่วยสืบสวนอาชญากรรมเชิงพาณิชย์ของมาเลเซีย เผยต่อสื่อมวลชนเมื่อช่วงเช้า ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งตำรวจเข้าไปตรวจค้น โดยระบุว่า ทรัพย์สินที่พบมีจำนวนมากจนยังไม่อาจประเมินมูลค่าได้

“เจ้าหน้าที่ของเราได้ตรวจค้นกระเป๋าเหล่านี้ และพบเงินสดสกุลต่างๆ รวมถึง ริงกิตมาเลเซีย และดอลลาร์สหรัฐ นาฬิกาข้อมือ และเครื่องเพชร ถูกซุกอยู่ในกระเป๋ารวม 72 ใบ”

กระเป๋าแบรนด์เนมถูกยึดมีทั้ง แอร์เมส เบอร์กิน และหลุยส์วิตตอง โดยคาดว่าทรัพย์สินเหล่านี้ถูกค้นเจอในคอนโดมิเนียมหรูย่านใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์

นาจิบ ผู้อื้อฉาวต้องหมดสิ้นอำนาจในชั่วข้ามคืน หลังกลุ่มแนวร่วม บาริซาน เนชันแนล (บีเอ็น) ที่ผูกขาดการปกครองมาเลเซียมานานกว่า 6 ทศวรรษพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งให้แก่พันธมิตรฝ่ายค้านที่นำ มหาเธร์ โมฮาหมัด เมื่อวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมาตำรวจได้บุกค้นบ้านพักของนาจิบ และสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่งตั้งแต่กลางดึกของวันพุธ (16) ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีมหาเธร์ วัย 92 ปี ซึ่งให้คำมั่นว่าจะนำตัว นาจิบ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม นาจิบ วัย 64 ปี ถูกห้ามเดินทางออกนอกประเทศหลังแพ้เลือกตั้ง และ มหาเธร์ ได้สั่งรื้อคดีที่ นาจิบ ถูกครหาว่ามีส่วนรู้เห็นกับการปล้นเงินหลายพันล้านดอลลาร์ออกไปจากกองทุนเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ วัน มาเลเซีย ดีเวลลอปเมนต์ เบอร์ฮัด (1MDB) ที่ก่อตั้งขึ้นเองกับมือเมื่อปี 2009

รอสมะห์ มันซูร์ ภริยาของนาจิบ ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางมานานว่ามีนิสัยฟุ้งเฟ้อ สะสมกระเป๋าแบรนด์เนม เสื้อผ้า และเครื่องเพชรเอาไว้มากมาย และยังนั่งเครื่องบินไปช้อปปิ้งต่างประเทศเป็นว่าเล่น พฤติกรรมของ รอสมะห์ ยังมีส่วนทำให้รัฐบาลบีเอ็นเสื่อมความนิยมในกลุ่มชนชั้นกลางมาเลเซียที่ยังต้องปากกัดตีนถีบ

แม้ยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่า นาจิบ หรือบุคคลอื่นจะถูกออกหมายจับในเร็วๆ นี้ แต่ทั้งนายกฯ มหาเธร์ และ อันวาร์ อิบราฮิม แกนนำฝ่ายค้านซึ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเมื่อวันพุธ (16 พ.ค.) ต่างยืนยันตรงกันว่า นาจิบ จะถูกตั้งข้อหาในอีกไม่ช้า มหาเธร์ เคยดำรงตำแหน่งนายกฯ และผู้นำกลุ่มบีเอ็นระหว่างปี 1981-2003 แต่ตัดสินใจลาออกเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เพื่อประท้วงพฤติกรรมฉ้อฉลของรัฐบาลนาจิบ

หนุ่มอัดคลิปไหว้ขอโทษทำเกินกว่าเหตุ ปมไลฟ์สดประจานทหารจอดรถในที่ห้าม

หนุ่มไลฟ์สดประจานทหารจอดรถในที่ห้าม แม้อีกฝ่ายยกมือไหว้ขอโทษก็ยังตามไปต่อว่า จนกระทั่งกระแสโซเชียลตีกลับอย่างรุนแรง กลายเป็นคนถ่ายคลิปถูกรุมด่าซะเอง เจ้าตัวถึงขั้นต้องอัดคลิปยกมือไหว้ขอโทษนายทหารคนดังกล่าว ยอมรับทำเกินกว่าเหตุ น้อมรับทุกคำตำหนิไว้เป็นบทเรียน แต่ยืนยันเจตนาดีต้องการให้ทุกคนเคารพกฎหมาย

(18 พ.ค.) จากกรณีที่โซเชียลฯมีการเผยแพร่คลิปวิดีโอหนุ่มคนหนึ่งไลฟ์สดต่อว่าเจ้าหน้าที่ทหารยศสิบตรีรายหนึ่ง จอดรถในจุดห้ามจอด แม้ทหารจะยกมือไหว้ขอโทษแล้วแต่หนุ่มไลฟ์สดก็ไม่ยอมเลิกรายังคงตามไปต่อว่า จนกระทั่งกระแสในโลกออนไลน์ตีกลับอย่างรุนแรง กลับกลายเป็นว่าหนุ่มคนถ่ายคลิปโดนรุมด่าเสียเอง

ล่าสุด หนุ่มคนดังกล่าวได้อัดคลิปโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว “ธกร อำพันธ์เปรม” แสดงความเสียใจและขอโทษกับสิ่งที่ทำลงไป โดยกล่าวว่า ตนต้องขอโทษนายทหารท่านนั้น ตนไม่ได้มีเจตนาจะให้รับโทษรุนแรง แค่อยากสื่อว่าไม่ว่าใครก็ไม่ควรทำผิดกฎหมาย ตนทำในสิ่งที่ถูกต้องในเรื่องของกฎหมาย แต่ยอมรับผิดว่าทำเกินกว่าเหตุ คนที่มาคอมเมนต์ทุกคน ตนต้องขอบคุณมาก มันเป็นบทเรียนว่าไม่ควรทำแบบนั้น เข้าใจว่าเจตนาดีแต่วิธีการของตนมันรุนแรงไป เขาขอโทษแล้วก็ไม่ยอมจบ

“ผมต้องขอโทษนายทหารท่านนั้น ผมรู้สึกว่าผมผิดจริงๆ ที่ทำแบบนั้นลงไป ผมขอโทษจริงๆ (กล่าวพร้อมยกมือไหว้) ไม่ได้อยากให้เรื่องราวมันใหญ่โตขนาดนี้เลย อยากให้ทุกคนเข้าใจ เข้ามาด่าเข้ามาว่า เอาเถอะครับ ผมต้องยอมรับในสิ่งที่ทำลงไป แต่ขออธิบายว่าเจตนาของผมแค่อยากให้ทุกคนเข้าใจและเคารพในกฎจราจร แล้วก็ได้รู้แล้วว่าวิธีการของผมมันไม่ควร มันรุนแรงไป มันไม่ดี มันน่าเกลียด ผมขอโทษครับ (กล่าวพร้อมยกมือไหว้)”