ข่าว
เสื้อแดงล้อมป.ป.ช. ยกระดับ เข้าไปตรวจสอบการทำงาน

วันที่ 28 ก.พ. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มกวป. และนปช.นนทบุรี ที่ชุมนุมปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห้งชาติ(ป.ป.ช.) สนามบินน้ำ จ.นนทบุรี เป็นวันที่ 3 แล้วว่าในวันเดียวกันนี้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้ทำตามข้อเจรจาที่มีกับทางป.ป.ช. ตำรวจและผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรีที่ได้ยกเลิกการเทปูนปิดกั้นหน้าประตูทางเข้าออกป.ป.ช.บริเวณประตู3 ซึ่งอยู่ติดกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยยืนยันที่จะชุมนุมขัดขวางการทำงานของกรรมการป.ป.ช.ต่อไป จะให้เพียงเจ้าหน้าที่ป.ป.ช.บางส่วนที่เข้าทำงานได้เท่านั้น

ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้เจรจาขอส่งตัวแทนที่เป็นผู้หญ้งจำนวน 20 คน เข้าไปตรวจสอบการทำงานของป.ป.ช. และตามหาตัวนายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. ภายในอาคารสำนักงานคณะกรรมการป.ป.ช. แต่ทางป.ป.ช.ไม่อนุญาต ทำให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมเกิดความไม่พอใจและจึงให้สมาชิกผู้หญิงประมาณ 5 กว่าคนปีนรั้วที่ประตู1 ที่อยู่ด้านหน้าเวทีกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าไปในเขตสำนักงานป.ป.ช. โดยขณะปีนข้ามไปนั้นได้เปิดเสื้อขึ้นเพื่อโชว์เสื้อชั้นในให้เจ้าหน้าที่ดูด้วยเพื่อเป็นการยั่วยุ ในขณะที่ด้านในมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 และกองร้อยน้ำหวานประจำการอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อกลุ่มผู้ชุมนุมหญิงได้ปีนข้ามรั้วไปแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวไว้ ทำให้ทางแกนนำประกาศขอให้ปล่อยตัวคืนกลับมา เพราะประชาชนคนธรรมดาไม่ได้ไปสร้างความเดือดร้อนใดๆ เพียงแค่ต้องการไปติดตามดูการทำงานของป.ป.ช.เท่านั้น แต่ถ้าไม่ยอมปล่อยตัวออกมา ก็จะยกระดับโดยการนำรถกะบะกระจายเสียงของนปช.นนฯวิ่งชนเพื่อพังประตูเข้าไปช่วยเหลือคนออกมา หรือไม่เช่นนั้น อีกมาตรการหนึ่งที่จะดำเนินการคือตัดน้ำตัดไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวผู้ชุมนุมที่ปีนรั้วเข้าไปนั้นไปยังสภ.นนทบุรี ก่อนที่แกนนำจะไปดำเนินการรับตัวกลับมาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการชุมนุมวันเดียวกันนี้ทางแกนนำกวป.-นปช.นนฯ ได้แจกเอกสารให้กับผู้ชุมนุมเพื่อแจ้งให้ทราบถึงคำสั่งศาลแพ่งทั้ง 9 ข้อ ที่ระบุห้ามจำเลย(รัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจ) กรพทำการใดๆต่อกลุ่มผู้ชุมนุม เช่น ห้ามสลายการชุมนุม ห้ามตรวจค้น รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของผู้ชุมนุม ห้ามสั่งไม่ให้มีการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป

ปูลั่นยอมตาย ในสนามปชต.

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 28 ก.พ. ที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อ.เมือง จ.เชียงใหม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ระบุว่ารัฐบาลไม่มีความจริงใจในการเจรจาการแก้ไขปัญหาของประเทศ พร้อมแสดงจุดยืนในการเจรจาต้องให้มีการถ่ายทอดสด ว่า ที่ตนพูดคำนี้ในการเปิดเวทีการเจรจาตลอดเวลาว่าเราอย่ามาตั้งเงื่อนไขกันเลย เพราะข้อเท็จจริงในส่วนของกติกาต่างๆ เราก็รู้ว่าในเรื่องการชุมนุมเราไม่ต้องการให้เกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น

"และสิ่งที่ดิฉันจะต้องถามกลับไปคือถ้าเราได้มีการพูดคุยกันโดยในฐานะที่ดิฉันเป็นผู้รักษากติกาก็ต้องพูดคุยกันในกรอบของกติกา กรอบของกฏหมายและรัฐธรรมนูญ ถ้าคุณสุเทพเห็นด้วยกับกรอบนี้ก็จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้ แต่ถ้าบอกว่าไม่เห็นด้วยกับกรอบนี้แล้วจะไม่ให้มีการเลือกตั้ง ไม่ให้รักษากติกาใดๆ เลยแล้วเราจะคุยกันได้อย่างไร จึงเป็นที่มาว่าทำไมจะต้องหาผู้ที่มาร่วมกันคิดและแก้ไขว่าจะทำกันได้อย่างไร เพราะถ้าต่างคนต่างตั้งเงื่อนไข ทุกอย่างจะเดินไปได้ยากขณะเดียวกันดิฉันเองที่จะจำเป็นต้องพูดคำนี้ในการรักษากติกา เพราะมีหลายคนถามว่าทำไมจึงพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ต้องบอกว่าเราเป็นผู้รักษากติกา รักษาประชาธิปไตย ถ้าในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหรือเป็นทหารก็ต้องบออกว่าทหารต้องทำหน้าที่ของตนเองจนนาทีสุดท้าย ทหารต้องรักษาพื้นที่ ต้องตายในสนามรบ วันนี้ดิฉันก็ต้องตายในสนามประชาธิปไตย"

เมื่อถามว่าเหตุผลใดที่ทำให้พูดว่ายอมตายคาสนามประชาธิปไตยน.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ประชาธิปไตย คือหน้าที่ และการที่ประเทศจะเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นจากต่างชาติได้เราต้องเดินตามกรอบของประชาธิปไตย ตนในฐานะที่เป็นผู้นำรัฐบาลก็ไม่สามารถบอกประเทศอื่นว่าตนจะไม่รักษาประชาธิปไตย จะให้คนอื่นมาฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นใครที่อยู่ในหน้าที่ปฏิบัติก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองเช่นเดียวกับทหารที่ต้องทำหน้าที่ของตนเองในสนามรบจนนาทีสุดท้ายเช่นเดียวกัน

เมื่อถามว่าวันนี้จำเป็นต้องมีคนกลางเข้ามาช่วยประสานในการแก้ไขปัญหาหรือไม่น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ตนก็หวังว่านายสุเทพจะมาหาวิธีการพูดคุยกัน ก็น่าจะมีโอกาสและสามารถแก้ไขปัญหาได้ ไม่ใช่เป็นการดีเบทตั้งเงื่อนไขหรือท้าทายกัน มันก็ไม่จบ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนกลางเข้ามาช่วย ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตามตนไม่สามารถที่จะบอกว่าเป็นพูดรักษากติกา รักษาประชาธิปไตย แล้วจะมาบอกว่าเราจะเจรจาบนเงื่อนไขที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น) มาเป็นคนกลางการเจรจาและแก้ไขปัญหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อย่างที่ตนเคยพูดว่าการรับฟังความคิดดีๆ และแนวคิดต่างๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดี แล้วสหประชาชาติก็เคยช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทั้งหมด และทุกอย่างเราจะต้องหันหน้ามาพูดคุยกัน ถือเป็นเรื่องหลักมากกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนที่จะมีการเจรจาได้ถามไปยังศูนย์รักษาความสงบ(ศรส.) หรือไม่เพราะร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในฐานะผอ.ศรส.ระบุว่านายสุเทพมีข้อหากบฎอยู่ แล้วรัฐบาลจะเจรจาด้วยได้อย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ก็อย่างที่พูดไปว่าต้องมีหลายๆ ฝ่ายมาร่วมกันและคุยกันว่าทุกอย่างในกติกาเราจะไปด้วยกันอย่างไร ไม่ใช่ต่างคนต่างไม่ได้คุยถึงกรอบโครงอะไรเลย แล้วมาเจอกันคงเป็นไปได้ยาก ดังนั้นจึงต้องเริ่มโดยมีผู้คนมาพูดคุยกันว่าวิธีการในการเข้าหากันจะเป็นอย่างไร ถ้าเรามีความจริงใจต่อกันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาท้าทายหน้าสื่อแบบนี้

เมื่อถามว่ามองอย่างไรที่นายสุเทพพยายามที่จะขอดีเบทและกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า "ดิฉันไม่ใช่นักโต้วาที และดิฉันไม่มีความชำนาญที่จะมาโต้และดีเบทกับคุณสุเทพ แต่ดิฉันมีความจริงใจที่จะให้ประเทศเดินหน้าได้เราหันมาหาวิธีการในการหาทางแก้กันดีกว่า วันนี้เราต่างคนต่างเจ็บปวด ประเทศเองก็เจ็บปวด ผู้ชุมนุมเองก็เจ็บปวด และไม่อยากเห็นความรุนแรงต่างๆ ก็ขอร้องเถอะค่ะ และที่คุณสุเทพบอกว่าดิฉันตัดสินใจอะไรไม่ได้ ก็ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ที่จะตัดสินใจในฐานะยิ่งลักษณ์คนเดียว"

"น้องไบรท์" สุดทน สวน "สลิ่ม" วิจารณ์

น้องไบรท์ ผู้ประกาศข่าวช่อง 3 แห่งเรื่องเล่าเช้านี้ โพสต์ข้อความชี้แจงการรายงานข่าวหลังถูกวิจารณ์การรายงานข่าว

น้องไบรท์ พิชญทัฬห์ จันทร์พุฒ ผู้ประกาศข่าวชื่อดังแห่งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตราแกรมชี้แจงการรายงานข่าวหลังถูกวิจารณ์จากเฟซบุ๊ค เตชะ ทับทอง หนึ่งร้อยตัวแทนทำดีเพื่อ พ่อ โดยข้อความของ น้องไบรท์ มีดังนี้

การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานสามารถทำได้ แต่อย่าบิดเบือน และข่มขู่ ข้อเท็จจริงของข่าวที่รายงานเมื่อเช้าคือ

1. เหตุการณ์ที่จ.ตราดมีเด็กเสียชีวิต 2 คน คนที่รายงานเมื่อเช้าคือ "ด.ญ.ณัฐชยา รอสูงเนิน หรือน้องขิม" ซึ่ง "เป็นคนละคน" กับ "ด.ญ.ฬิฬาวัลย์ พรหมช่วย" (ไม่ทราบชื่อเล่น) ที่วิ่งเล่นอยู่ในวันเกิดเหตุขณะแม่กำลังล้างจานแล้วถูกยิงเสียชีวิต

2.นางละมัย รอสูงเนิน ย่าของน้องขิมเล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุว่า ตนพร้อมนายมานะ รอสูงเนิน ผู้เป็นปู่ ได้พาน้องขิมพร้อมหลานๆ ไปฟังการปราศรัยของกลุ่มกปปส.ที่ตลาดยิ่งเจริญ ก่อนกลับพาหลานไปนั่งทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านเกิดเหตุ / เช่นเดียวกับนายวัชระ พูนทอง ลุงของน้องขิมที่เล่าว่า น้องขิมติดตามปู่และย่า ไปฟังการปราศัยของกลุ่มกปปส.ที่ต.แสนตุ้ง เนื่องจากนายมานะและนางละมัยชอบกปปส. จนมาเกิดเหตุน้องขิมถูกยิงแล้วเสียชีวิตในเวลาต่อมา

การโพสต์ข้อความลงใน FB ของ"เตชะ ทับทอง หนึ่งร้อยตัวแทนทำดีเพื่อพ่อ" จึงเป็นการบิดเบือนและกล่าวหา โดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง และไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลอย่างถูกต้อง / การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานสามารถทำได้ และยินดีเปิดรับฟังทุกฝ่ายนะคะ แต่ต้องไม่มีอคติ หรือมีวัตถุประสงค์เพื่อข่มขู่ และสร้างความเกลียดชัง

มีหลายคนเข้ามาให้กำลังใจน้องไบรท์เป็นจำนวนมาก