ข่าว
"ซูจี" ลั่นทำหน้าที่ "เหนือประธานาธิบดี" ถ้า"เอ็นแอลดี" ชนะเลือกตั้ง

(5 พ.ย.58) สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นางออง ซาน ซูจี หัวหน้าพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย หรือเอ็นแอลดี พรรคฝ่ายค้านเมียนมาร์และเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ได้ประกาศว่า เธอจะทำหน้าที่ “เหนือประธานาธิบดี” หากพรรคเอ็นแอลดีของเธอได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้

นางซูจีย้ำถึงการทำหน้าที่เหนือประธานาธิบดีหากพรรคของเธอชนะนั้น ไม่มีมาตราใดในรัฐธรรมนูญที่ป้องกันการกระทำนี้ ส่วนตัวแทนพรรคเอ็นแอลดีที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีตามที่นางซูจีเลือกนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด

ส่วนสาเหตุที่นางซูจีไม่สามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้นั้น เนื่องมาจากรัฐธรรมนูญเมียนมาร์ได้กีดกันผู้เข้าชิงที่มีคู่สมรสเป็นชาวต่างชาติหรือมีบุตรธิดาต่างชาติ ซึ่งนางซูจีมีบุตรชาย 2 คนที่ถือสัญชาติอังกฤษ และการคัดเลือกประธานาธิบดีนั้น ตามรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐสภาจะเป็นผู้เสนอชื่อตัวแทน โดยใครก็ตามที่รับเสียงสนับสนุนมากที่สุดจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และผู้ที่มีคะแนนเสียงน้อยลงมา 2 คน จะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

อย่างไรก็ตาม ในมาตรา 58 ของรัฐธรรมนูญเมียนมาร์ระบุว่า ประธานาธิบดีมีลำดับเหนือกว่าประชาชนทุกคนในเมียนมาร์

ทั้งนี้ การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 8 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ นับเป็นการเลือกตั้งที่เปิดให้มีการแข่งขันอย่างกว้างขวางเป็นครั้งแรกในรอบ 25 ปี

'เต้น'เอือมรถทหารเฝ้าหน้าบ้านตลอด 2 เดือน

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว พร้อมโชว์รูปรถทหารที่จอดบริเวณหน้าบ้าน โดยระบุว่า “ร่วม 2 เดือนแล้วที่รถทหารแบบนี้มาที่บ้านผมทุกวัน บางวันมาจอด บางวันขับช้า ๆ หน้าบ้าน แล้ววนกลับมาใหม่ เข้าใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ แต่ไม่เข้าใจคนออกคำสั่งว่าต้องการอะไร ผมคิดว่าการเคารพในตัวตนของกันและกันเป็นเรื่องสำคัญ ผมเป็นผมแบบนี้ ไม่เคยรู้สึกว่าเป็นปฏิปักษ์กับใครหรือหน่วยงานใด เพียงแต่ผมไม่ยอมรับการรัฐประหาร และไม่เชื่อว่าเผด็จการจะสร้างประชาธิปไตย”


สุดช็อก หนุ่มโรคจิตก่อเหตุสุดเขย่าขวัญ"ตัดอวัยวะเพศหญิง"แช่แข็งตู้เย็นกว่า 20 ชิ้น!

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ศาลแอฟริกาใต้ ได้เรียกตัวชายชาวเดนมาร์กเพื่อรับฟังการพิจารณาคดีหลังจากที่เขาถูกจับกุมเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีการพบชิ้นส่วนอวัยวะเพศหญิงจำนวน 21 ชิ้นในช่องแช่แข็งของตู้เย็นภายในบ้านของเขาที่ประเทศแอฟริกาใต้โดยชะตากรรมของหญิงเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนาว่ามีชีวิตหรือเสียชีวิตไปแล้ว

รายงานระบุว่านายปีเตอร์เฟรเดอร์ริคเซนชายชาวเดนมาร์กและเจ้าของร้านขายปืนซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศแอฟริกาใต้ได้เดินทางเพื่อรับฟังการพิจารณาคดีหลังจากที่ศาลได้มีการเรียกตัวโดยก่อนหน้านี้เขาถูกจับกุมได้โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาซึ่งเขาถูกกล่าวหาว่ามีการพบชิ้นส่วนอวัยวะเพศหญิงจำนวน21ชิ้นอยู่ในถุงพลาสติกแช่อยู่ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นที่บ้านพักในประเทศแอฟริกาใต้

โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบอุปกรณ์ผ่าตัดหลายอย่างรวมทั้งยาสลบในที่เกิดเหตุอีกด้วยโดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่าเหยื่อส่วนใหญ่คือผู้หญิงที่มาจากพื้นที่ประเทศเลโซโทโดยเขาจะกระทำการหลอกล่อเหยื่อเข้ามาภายในบ้านและวางยาเหยื่อให้สลบจากนั้นจึงกระทำการผ่าตัดเอาอวัยวะเพศออกมาอย่างไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเหยื่อที่ถูกผ่าตัดอวัยวะเพศออกมานั้นมีชะตากรรมอย่างไรและพวกเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อว่านางสาวแอนนาแมตเซลิโซโมลิเซวัย28ปี ภรรยาของนายปีเตอร์ ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่านายปีเตอร์ได้วางยาเธอและตัดส่วนที่เป็นของสงวนของเธอออกจากร่างกายขณะที่เธอไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แต่เนื่องจากเธอคือพยานจึงทำให้เธอถูกยิงและเสียชีวิตขณะกำลังอยู่ในบ้านเมื่อเดือนที่ผ่านมา

ด้านนางสาวเมซิเลียแลงกาโฆษกของสำนักงานตำรวจกล่าวว่านายปีเตอร์ได้ทำการจัดเก็บบันทึกไว้อย่างชัดเจนและมีการจัดระเบียบชิ้นส่วนอวัยวะทุกชิ้นที่เขาผ่าตัดออกมาตั้งแต่เหยื่อคนแรกที่เขาได้ลงมือทำเมื่อปี2010

ทั้งนี้นายปีเตอร์กำลังเผชิญกับข้อหาทำร้ายร่างกายล่วงละเมิดทางเพศข่มขู่และละเมิดกฎหมายทางการแพทย์ของแอฟริกาใต้โดยการพิจารณาคดียังอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบต่อไปซึ่งการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะช่วยให้ทีมพิสูจน์หลักฐานหาข้อเท็จจริงได้มากขึ้น


อุตสาหกรรมรองเท้าอาเซียน เวียดนามเติบโตสูงอันดับ 1 แซงหน้าไทย 8 เท่า

ชนินทร์ จิตต์โกมุท นายกสมาคมรองเท้าไทย เปิดเผย อุตสาหกรรมรองเท้าเวียดนามเติบโตสูงสุดในอาเซียน ถือเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคทั้งด้านการผลิตและส่งออกเนื่องจากมีปัจจัยการผลิตที่ดี ค่าแรงไม่สูง มีแรงงานจำนวนมาก และมีวัตถุดิบครบตอนนี้ได้แซงหน้าไทยไปแล้ว

สามารถแย่งลูกค้าจากไทยทั้งกลุ่มของรองเท้ากีฬาและรองเท้าสตรี มีโรงงานผลิตรองเท้าแบรนด์ดังจากจีนและยุโรปย้ายมาผลิตในเวียดนาม การเติบโตสูงเช่นนี้ได้แรงหนุนจากรัฐบาลที่กำหนดให้รองเท้าอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศ ที่ส่งเสริมการลงทุนทั้งส่วนของท้องถิ่นและทุนต่างชาติ

ปัจจุบัน มูลค่าส่งออกรองเท้าเวียดนามสูงกว่าไทย 8 เท่า ไทยส่งออกรองเท้ารวมชิ้นส่วนประกอบมูลคู่เฉลี่ยประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาทต่อปี เวียดนามมีข้อได้เปรียบหลายอย่าง แม้ค่าแรงไม่ถูกที่สุดแต่การขึ้นค่าแรงช้า รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้จริงจังและชัดเจน แม้เวียดนามจะมีวัตถุดิบผลิตรองเท้าครบทุกอย่างแต่ยังต้องนำเข้าวัตถุดิบบางชนิดจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่จากจีนและไทย ดังนั้น ไทยสามารถชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้และเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมรองเท้าของเวียดนาม อินโดนีเซียมีฝีมือการผลิตใกล้เคียงกับไทยและอยู่ระดับเดียวกับไทย เป็นคู่แข่งที่หายใจรดต้นคอ ขณะที่มาเลเซียก้าวไปสู่ระดับการสร้างแบรนด์ โดยมีการตลาดที่แข็งแกร่งสนับสนุน แต่ปัจจัยพื้นฐานในการผลิตไม่เอื้ออำนวย


สื่อนอกเทียบ นโยบายรัฐบาล คสช. กับ"ประชานิยม"ยุค ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

รอยเตอร์ส รายงานว่า รัฐบาลคสช.ได้อนุมัติงบประมาณกว่า 1,300 ล้านดอลลาร์ (ราว 45,550 ล้านบาท ) ในนโยบายประชานิยม คล้ายกับรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ถูกโค่นอำนาจ เพื่อหวังเอาใจและผ่อนคลายปัญหาของกลุ่มเกษตรกร ที่ถือเป็นกลุ่มฐานการเมืองที่ทรงอำนาจ ที่กำลังประสบปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งปัญหาการส่งออกที่อ่อนตัว

รอยเตอร์สรายงานอีกว่า ปัจจุบัน พื้นที่ชนบทซึ่งถือเป็นฐานเสียงสำคัญของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตสองนายกรัฐมนตรี กำลังได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช. ส่งผลให้เกิดกระแสความขัดแย้งและภัยเสี่ยงต่อการถูกคนกลุ่มนี้ลุกฮือประท้วง

โดยที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.ได้เคยรับปากกลุ่มเกษตรกรว่าจะแยกพวกเขาออกจากนโยบายประชานิยมของรัฐบาลเก่า แต่ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลคสช.ได้อนุมัติมาตรการราว 1 พันล้านดอลลาร์ (35,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรปลูกข้าว และเมื่อวันอังคาร ก็เพิ่งอนุมัติเงินช่วยเหลือจำนวน 365 ล้านดอลลาร์ ( 12,775 ล้านบาท )ให้แก่เกษตรกรปลูกยาง ซึ่งขู่จะชุมนุมประท้วงรัฐบาล โดยไม่สนต่อคำสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมือง

ขณะที่นายโคทม อารียา ที่ปรึกษาของสถาบันศึกษาสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ แห่งมหาวิทยาลัยมหิดล ชี้ว่า แม้ว่า มาตรการที่รัฐบาลคสช.นำมาใช้จะเหมือนกับรัฐบาลสองชุดก่อนหน้านี้ แต่รัฐบาลนี้ก็อ้างว่ามาตรการนี้จะไม่รั่วไหลเหมือนรัฐบาลที่แล้ว

รอยเตอร์ส ระบุว่า มาตรการเหล่านี้ถือสิ่งที่ไม่คาดฝันมาก่อนหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารได้ช่วยหนุนต่อคำอ้างของรัฐบาลคสช.ว่าจะ"ล้างระบบ"เมืองไทยและขับเคลื่อนประเทศไทยให้พ้นจากการคอร์รัปชั่นของนักการเมืองและนโยบายประชานิยมของพวกนักการเมืองและหลังจากช่วงเวลาผ่านมา17เดือนแล้วปรากฏว่า รายได้ของชาวชนบท ซึ่งมีจำนวนกว่า 34 ล้านคนในเมืองไทย ต้องทรุดลง และทำให้เกษตรกรไทย ที่ถือเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และเป็นผู้ส่งออกยางระดับแถวหน้าของโลก ได้เรียกร้องให้มีการนำนโยบายประกันราคาข้าวและราคายางแก่พวกเขา

มาตรการประกันราคาสินค้าเกษตรล่าสุดนี้ ยังถือเป็นมาตรการประชานิยมล่าสุด ที่รวมทั้งการออกเงินกู้กองทุนหมู่บ้านแก่เกษตรกร ที่ผลักดันโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รัฐบาลคสช. ที่เคยเป็นอดีตผู้สร้างนโยบายนี้ขึ้นมาเองสมัยเป็นรัฐมนตรีในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อกระตุ้นรายได้ของเกษตรกรและเศรษฐกิจ

แต่ขณะที่ความช่วยเหลือดังกล่าวได้เพิ่มมากขึ้น เกษตรกรไทยก็ยังคงวิจารณ์ต่อรัฐบาลคสช. ว่า มาตรการประกันสินค้าเกษตรนี้ยังห่างไกลจากของยุคอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์อย่างมาก โดยนโยบายประกันข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้ประกันราคาข้าวเฉลี่ยสูงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของราคาตลาดโลก ราว 14,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 4.9 แสนล้านบาท ) ซึ่งส่งผลให้เกิดกระแสวิจารณ์ว่าเป็นการซื้อเสียง รวมทั้งมาตรการประกันราคายางมูลค่า 620 ล้านดอลลาร์ด้วย (21,700 ล้านบาท)

ขณะเดียวกัน ในขณะที่รัฐบาลคสช.นำนโยบายประชานิยมนี้มาใช้ แต่ก่อนหน้านี้ รัฐบาลนี้ก็ได้ถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ออกจากตำแหน่ง ในข้อหาละเลยต่อโครงการจำนำราคาข้าวที่บิดเบือนราคาตลาด และทำให้ข้าวจำนวนมากค้างอยู่ในสต็อกและโกดังจำนวนมาก


'โอบามา'เตรียมเยือนลาว ประชุมร่วมกลุ่มอาเซียนปี59

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผุ้นำสหรัฐอเมริกา มีแผนเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในปีหน้า เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเศรษฐกิจของภูมิภาค ซึ่งจะทำให้โอบามากลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐ ที่เดินทางเยือนลาว

นายเบน เจ. โรดส์ รองที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ ฝ่ายการสื่อสารยุทธศาสตร์ของประธานาธิบดีโอบามา เผยในกรุงวอชิงตันเมื่อวันพุธ ว่า โอบามาจะสร้างประวัติศาสตร์ เมื่อเข้าร่วมการประชุมกลุ่มอาเซียนที่ลาว ประเทศยากจนแต่เศรษฐกิจกำลังเติบโต ซึ่งถูกเครื่องบินกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดอย่างหนัก ในช่วงสงครามเวียดนาม โรดส์กล่าวอีกว่า การเยือนลาวของเขาเมื่อไม่นานมานี้ ได้ช่วยปูพื้นฐานเตรียมการสำหรับสปป.ลาว ที่จะเป็นชาติประธานหมุนเวียนของอาเซียนในปี 2559

ประธานาธิบดีโอบามาจะเดินทางไปมาเลเซีย ในปลายเดือนนี้ เพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน ประจำปี 2558 โดยเขากล่าวถึงจุดประสงค์ของการเข้าร่วมว่า รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของเขา ต้องการส่งเสริมจุดยืนของอาเซียน รวมทั้งเน้นย้ำความจริงจังของการประกาศนโยบาย "ปักหมุด" ในเอเชียและแปซิฟิก

ต่อคำถามเกี่ยวกับอดีตที่ขมขื่นระหว่างลาวกับสหรัฐ โรดส์กล่าวว่า วอชิงตันจะดำเนินการเพิ่ม ในการเก็บกู้ระเบิดที่ไม่ทำงาน ที่ฝังอยู่เกลื่อนกลาดและเป็นอันตราย ตามทุ่งต่างๆ ในลาว ตั้งแต่สงครามเวียดนาม

เครื่องบินกองทัพสหรัฐทิ้งระเบิดในลาว รวมน้ำหนักมากกว่า 2 ล้านตัน ระหว่างปี 2507 - 2516 ในการออกปฏิบัติภารกิจราว 580,000 เที่ยว เพื่อตัดเส้นทางลำเลียงอาวุธและเสบียง ผ่านประเทศเพื่อนบ้านของทหารเวียดนามเหนือ และจากกาประเมินเชื่อว่า ประมาณร้อยละ 30 ของระเบิดที่ทิ้งจากเครื่องบิน ไม่ทำงานเมื่อตกถึงพื้น

ความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับสหรัฐ ดีขึ้นระหว่างการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโอบามา ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับเวียดนามและเมียนมาก็กระชับขึ้นเช่นกัน ในปี 2555 นางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งปัจจุบันเป็นตัวเต็งที่จะได้เป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต เพื่อลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในเดือน พ.ย. ปีหน้า กลายเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรกของสหรัฐอเมริกา ที่เดินทางเยือนลาวในรอบกว่าครึ่งศตวรรษ

กุมชะตาโลก! ฟอร์บส์"ยก"ปูติน"ผงาด"ผู้นำทรงอิทธิพลมากสุดในโลก ติดต่อเป็น"ปีที่3"

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า "ฟอร์บส์"ได้ยกให้ประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซีย เป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกติดต่อกัน 3 ปีซ้อนตามมาด้วยนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีในอันดับที่ 2 ขณะที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯถูกจัดให้ร่วงลงมาอยู่อันดับที่ 3

รายงานระบุว่า นิตยสารฟอร์บส์ นิตยสารเชิงธุรกิจของสหรัฐฯ ได้จัดอันดับให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกอันดับ 1 ส่วนอันดับ 2 เป็นของนายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีในขณะที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ กลับร่วงลงมาอยู่อันดับ 3 ซึ่งถือว่าเป็นปีแรกที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯตกมาอยู่ในอันดับนี้

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลผู้ทรงอิทธิพลของโลกคนอื่นอีกที่ติดอยู่ใน 10 อันดับจากการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์บส์ซึ่งประกอบไปด้วย สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสที่คงอยู่อันดับที่ 4 ขณะที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนตกมาอยู่อันดับที่ 5 ตามมาด้วยบิลล์ เกตส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ขึ้นมาอยู่อันดับที่ 6 แทน เจเน็ต เยลเลน ประธานธนาคารกลางซึ่งตกไปอยู่อันดับที่ 7 นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน แห่งอังกฤษอยู่อันดับที่ 8

ส่วนนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งอินเดียขยับขึ้นมา 6 อันดับอยู่ในอันดับที่ 9 ซึ่งถือว่าเป็นปีแรกที่ติดอยู่ใน 10 อันดับและแลร์รี เพจ ซีอีโอของอัลฟาเบทและผู้ร่วมก่อตั้งกูเกิลตกมาอยู่อันดับที่ 10

ทั้งนี้ ทางนิตยสารฟอร์บส์กล่าวว่า การจัดอันดับผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น จำนวนของเม็ดเงินที่พวกเขาครอบครอง จำนวนของผู้คนที่พวกเขาส่งผลกระทบและมีอิทธิพล และวิธีการใช้อำนาจอย่างแข็งขัน