ข่าว
ตะลึง เผยแผนปลิดชีพ” คิม จอง นัม” ทีมสังหารใช้เวลาลงมือไม่เกิน 5 วินาที

สื่อนอกรายงานแผนสังหาร คิม จอง นัม พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือ ชี้ภาพจากกล้องวงจรปิด เผยให้เห็นช่วงเวลาทีมสังหารลงมือปลิดชีพระหว่างยืนรอเช็กอินที่สนามบิน ตั้งแต่ต้นจนจบ ใช้เวลาไม่เกิน 5 วินาที ขณะที่ตำรวจมาเลเซียยังเร่งติดตามคลี่คลายคดี

เมื่อ 17 ก.พ. 60 สื่อต่างประเทศรายงานว่า เผยวิธีการสังหาร นายคิม จอง นัม วัย 46 ปี พี่ชายต่างมารดาของคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ที่สนามบินในกรุงกัวลาลัมเปอร์ เมื่อช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 13 ก.พ. โดยได้ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ภายในอาคารผู้โดยสารของสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ แสดงให้เห็นช่วงเวลาขณะคิม จอง นัม ต้องพบจุดจบว่า เหตุการณ์ลอบสังหารเกิดขึ้นขณะคิม จอง นัม อยู่ระหว่างยืนรอเช็กอิน และเขาไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยติดตามอารักขา จึงเป็นโอกาสให้ทีมสังหารลงมือลอบสังหาร คิม จอง นัม และใช้เวลาลงมือไม่เกิน 5 วินาทีเท่านั้น

เว็บไซต์มิร์เรอร์ เผยว่า ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นเหตุการณ์ที่คิม จอง นัม โดนลอบสังหารตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มจากขณะที่คิม จอง นัม ยืนรออยู่ที่เครื่องเช็กอิน และมีกลุ่มทีมสังหารยืนล้อมหน้าล้อมหลังเขาไว้ โดยหญิงสาวที่สวมกระโปรงสั้น กางเกงผ้ายืดแนบเนื้อสีชมพู และสวมเสื้อแขนยาวสีขาว หน้าอกเสื้อพิมพ์คำว่า ‘LOL’ ได้ยืนอยู่ด้านหน้าเขา เพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ

จากนั้น มือสังหารแท้จริงแล้วเป็นผู้ชาย แต่ได้ปลอมตัวเป็นผู้หญิง ได้ล็อกตัวคิม จอง นัม จากทางด้านหลัง และใช้สารพิษสังหารเขา เพียงแต่ยังไม่แน่ชัดว่าสารพิษซึ่งมีฤทธิ์ร้ายแรงและรวดเร็วมากนั้น เข้าสู่ร่างกายคิม จอง นัม ด้วยวิธีใด ซึ่งก่อนหน้านี้มีข้อสันนิษฐานที่คาดว่า มีความเป็นไปได้มากคือการใช้ผ้าชุบสารพิษอุดปากอุดจมูกของคิม จอง นัม และคาดกันว่าสารพิษดังกล่าวน่าจะเป็น สารไรซิน เนื่องจากผลการชันสูตรศพคิม จอง นัม ของเจ้าหน้าที่นิติเวชมาเลเซียไม่พบร่องรอยเข็มอาบยาพิษปักบนร่างกายของเขา ตามที่สื่อต่างประเทศบางแห่งรายงานก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

มิร์เรอร์ยังรายงานด้วยว่า ตำรวจมาเลเซียได้จับกุมผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันลงมือก่อเหตุลอบสังหารนายคิม จอง นัม ได้แล้ว 4 คน รายแรกคือ หญิงสาวที่ใช้ชื่อว่า ดวน ถิ เฮือง อายุ 28 ปี ถือพาสปอร์ตเวียดนาม ส่วนรายที่ 2 ถือพาสปอร์ตอินโดนีเซีย ชื่อ สิติ อิสยาห์ และรายที่ 3 เป็นผู้ชาย ซึ่งเป็นแฟนของผู้ต้องสงสัยรายที่ 2 และรายที่ 4 คือ คนขับรถแท็กซี่ โดยตำรวจมาเลเซียยังคาดว่า ยังมีผู้ต้องสงสัยอีกหลายคนที่ร่วมกันก่อเหตุลอบสังหารคิม จอง นัม

ยุติค้นวัดพระธรรมกาย ไร้เงา”พระธัมมชโย” ดีเอสไออายัดอาคารดาวดึงส์

(17 ก.พ.) เวลา 17.45 น. ที่ ศูนย์ปฏิบัติการร่วมในคดีพิเศษที่ 27/2559 พ.ต.อ.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงสรุปผลการปฏิบัติการภายหลังเข้าตรวจค้นภายในวัดพระธรรมกาย วันที่สอง ว่า ในวันนี้ได้มีการตรวจค้นในพื้นที่โซน A B และ C ทุกอาคาร ทุกห้องแล้ว แต่ไม่พบ พระเทพญาณมหามุนี หรือ พระธัมมชโย บุคคลตามหมายจับ

แต่ได้มีการอายัดอาคารไว้บางส่วน โดยเฉพาะอาคารดาวดึงส์ ที่อยู่ในบริเวณโซน A ไว้ เนื่องจากมีข้อสังเกตเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะเครื่อง “Hyperbaric Chamber” เพื่อตรวจสอบว่ามีความสอดคล้องกับอาการอาพาธของพระธัมมชโยหรือไม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการเรียกผู้เชี่ยวชาญอุปกรณ์ชนิดนี้เข้าตรวจสอบ ส่วนข้อสงสัยที่พระธัมมชโย มีอาการอาพาธหนัก จนไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ แต่จากการตรวจค้นห้องนี้ก็เป็นที่ยืนยันได้ว่า พระธัมมชโยสามารถเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ได้ แต่จะอาพาธจริงหรือไม่ ยังไม่สามารถยืนยันได้เช่นกัน

ส่วนจะมีผู้เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือปิดบังซ่อนเร้นหรือไม่ ต้องดูที่เจตนา ที่จะต้องนำเรื่องนี้มาพูดคุยอีกครั้ง แต่ในการปฏิบัติภารกิจตลอดสองวันที่ผ่านมา ไม่พบว่า จะเข้าข่ายดังกล่าว และเจ้าหน้าที่ยังได้รับความร่วมมือจากทางวัดเป็นอย่างดี

ขณะที่ข้อสงสัยเกี่ยวกับอุโมงค์ลับภายใต้น้ำตก อาคารภาวนา 60 ปี ที่สามารถเชื่อมไปยังด้านนอกได้นั้น ในวันนี้ได้นำสื่อมวลชนเข้าไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว เป็นเพียงบ่อกักเก็บน้ำที่จะเวียนขึ้นไปใช้ยังน้ำตก และทางเข้าออกมีทางเดียว ไม่มีทางเชื่อมต่ออื่น

ทั้งนี้ ในส่วนของการค้นภายในวัด เจ้าหน้าที่สามารถค้นได้ทุกจุดตามหมายค้น ซึ่งก็ไม่พบบุคคลตามหมายจับ จึงยุติการค้นหาภายในวัด แต่ยังคงวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจไว้โดยรอบ พร้อมกับประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อกำหนดแนวทางต่อไป อีกทั้งได้มีการพูดคุยกับทางวัดเพื่อขอผ่อนปรนกำลังในการเฝ้าตามจุดต่างๆ เนื่องจากไม่มีความจำเป็นเข้าไปในบริเวณวัด และจะมีการประกาศอีกครั้ง ว่า จะให้ศิษยานุศิษย์เข้าออกได้ประตูด้านใด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า การตรวจค้นในวัดจะยุติ แต่การข่าวยังคงหาความเคลื่อนไหวทั้งในและนอกประเทศ แต่หากการข่าวมีการพบว่า พระธัมมชโย กลับเข้ามาที่วัด ก็สามารถใช้อำนาจพิเศษในการกลับเข้าไปตรวจค้นได้ทุกเมื่อ ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเบาะแสความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหาตามหมายจับ ขอให้แจ้งข้อมูลมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทางสายด่วน 1202 โทร.ฟรีทั่วประเทศ


'น้องโบว์' ขอแคร์ความรู้สึกแม่คนเดียว หลังมีดราม่าหอมแก้ม 'เต็มถังแลกจุ๊ฟ'

เปิดใจน้องโบว์ สาวดังจากคลิป 'เติมเต็มถังแลกจุ๊ฟ' ชาวเน็ตชมหน้าคล้ายใหม่ดาวิกา เจ้าตัวเผยไม่ใช่พริตตี้ ไม่ใช่เด็กปั๊ม เป็นแค่นักศึกษาบัญชี ส่วนดราม่าที่เกิดขึ้น ขอแคร์ความรู้สึกแม่แค่คนเดียว...

จากกรณีสังคมออนไลน์แห่แชร์คลิปวิดีโอพนักงานหญิงสาวปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง แจกโปรโมชั่นวันวาเลนไทน์ด้วยการเติมน้ำมันเต็มถังแลกจุ๊ฟ จนหนุ่มหลายๆ คนแห่ตามหาพิกัดอยากไปเติมน้ำมัน ตามข่าวที่นำเสนอไปก่อนหน้า

ล่าสุดเมื่อเวลา 19.30 น. ทีมข่าวสายตรวจโซเชียล ไทยรัฐออนไลน์ ได้เปิดใจพูดคุยกับ น.ส.ภคพร ศรีนครเขต หรือน้องโบว์ อายุ 21 ปี นักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ถึงที่มาที่ไปทราบว่า คลิปที่ถูกถ่ายเป็นกิจกรรมวันวาเลนไทน์ 'เติมน้ำมันแลกจุ๊ฟ' โดยช่วงเช้าเป็นการแจกลูกอม ส่วนช่วงเย็นเป็นการทำกิจกรรมสนุกๆ ซึ่งไม่ได้จุ๊ฟจริงจัง เป็นการเอาปลายจมูกไปชนเท่านั้น ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่ออยากให้ทุกคนยิ้มในวันวาเลนไทน์

น.ส.ภคพร ยืนยันว่า ตนไม่ใช่พริตตี้ แต่ปกติแล้วจะเดินสายรับงานประกวด และที่ได้มาทำงานนี้เนื่องจากพี่สาวทำงานที่บริษัทแห่งนี้ เลยมาทำกิจกรรมสนุกๆ ซึ่งวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมาได้แจกไปประมาณ 3 จุ๊ฟ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก พร้อมยืนยันว่าไม่รู้จักคนโพสต์เป็นการส่วนตัว เนื่องจากถูกจ้างมาแจกจุ๊ฟเท่านั้น

ทว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นได้มีดราม่า เนื่องจากบางรายมองว่าเป็นผู้หญิงไปหอมแก้มผู้ชายอาจจะดูไม่เหมาะไม่ควร ทาง น.ส.ภคพร ได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องปกติของทางโซเชียล ซึ่งข้อดีก็มี คือการทำให้ทุกคนได้ยิ้มสนุกวันวาเลนไทน์ ส่วนข้อเสียคือบางคนไม่เข้าใจเรื่องการไปหอมแก้มผู้ชาย ส่วนตัวนั้นเป็นห่วงแค่ความรู้สึกแม่เพียงคนเดียว ซึ่งหลังมีคลิปนี้ออกมาตนได้ไปคุยกับแม่ และทางแม่ก็เข้าใจ ไม่ได้โกรธหรือโมโห แต่อย่างใด

สำหรับความใฝ่ฝันหลังเรียนจบ น.ส.ภคพร ระบุว่า อยากรับราชการเพราะปัจจุบันแม่ป่วยเบาหวาน ทางคุณแม่จะได้เบิกค่ารักษาพยาบาลได้ หรืออีกแนวทางอาจเป็นแอร์โฮสเตสเนื่องจากชื่นชอบทางด้านภาษา เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า มองอนาคตทางด้านวงการบันเทิงหรือประกวดนางงามไว้บ้างหรือไม่ สาวหน้าคมรายนี้ระบุว่า อยากเรียนให้จบก่อนเนื่องจากไม่อยากทำทั้ง 2 อย่างไปพร้อมกันเพราะเกรงว่าจะออกมาไม่ดี.


“พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี” ถึงแก่อนิจกรรมด้วยวัย 83 ปี

“พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี” อดีตเลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ถึงแก่อนิจกรรมด้วยวัย 83 ปี ญาติรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ วัดโสมนัสฯ 22 ก.พ.

วันนี้ (17 ก.พ.) มีรายงานว่า พล.อ.อิสระพงศ์ หนุนภักดี อดีตผู้บัญชาการทหารบก อายุ 83 ปี ได้ถึงแก่อนิจกรรมแล้วด้วยโรคประจำตัว เมื่อเวลา 12.00 น. ภายหลังเข้าพักรักษาตัวที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า โดยญาติเตรียมพิธีรับพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ ที่วัดโสมนัสราชวรวิหาร วันที่ 22 ก.พ.นี้

พล.อ.อิสระพงศ์ หรือบิ๊กตุ๋ย เกิดเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 เริ่มรับราชการในตำแหน่งผู้บังคับหมวดปืนเล็ก กองพันที่ 3 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ เคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ในการรัฐประหารเมื่อปี 2534 ก่อนจะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในยุคของนายอานันท์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรี และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกในยุคของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ พล.อ.อิสระพงศ์มีความสนิทสนมกับ พล.อ.สุจินดาอย่างมาก เนื่องจากจบการศึกษาโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 5 ในรุ่นเดียวกัน นอกจากนี้ คุณหญิงวรรณี คราประยูร ภริยาของ พล.อ.สุจินดา ก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของ พล.อ.อิสระพงศ์ด้วย


ชูวิทย์จวกคสช.ใช้กำลังเกินเหตุ ปิดล้อมธรรมกาย ล่าคนๆเดียว

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตส.ส.พรรครักประเทศไทย โพสต์ข้อความทางเฟสบุ๊กแสดงความเห็นกรณีรัฐบาลสั่งควบคุมพื้นที่วัดธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ โดยระบุว่า ล้อมป่าจับหนู วันนี้ DSI ร่วมกับ ทหารและตำรวจ นำกำลังเข้าปิดล้อมวัดธรรมกายกว่า 3 พันนาย และใช้กฎหมายพิเศษ ม.44 เข้าควบคุม คนในให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า ด้วยเหตุผลเพื่อจะจับพระธัมมชโยตามหมายจับเพียงรูปเดียว

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ถือว่าเป็นครั้งที่สามที่ส่งกำลังมากมาย และยังเป็นมาตรการพิเศษที่ใช้ ม.44 อีกทั้งมีคดีที่เกี่ยวข้องกับวัดธรรมกายเพิ่มมากขึ้นถึง 300 คดีไปแล้ว

ผู้คนในสังคมเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า การนำกำลังมามากมายและใช้กฎหมายพิเศษเพื่อจับคนเพียงคนเดียวแบบนี้ เป็นการกระทำที่เหมาะสมหรือไม่? เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่? และเรื่องนี้มีเบื้องหลังหรือไม่ อย่างไร?

วัดธรรมกายนั้นมีผู้สนับสนุนอยู่ไม่ใช่น้อย ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่โตมโหฬาร อาคารจุคนได้เป็นแสน มีสาขาทั่วโลกทั้งยุโรปและอเมริกา แม้ว่าจะมีคนโจมตี แต่ความเชื่อความศรัทธานั้นยังไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป

การใช้กำลังมากมายมาจับคนเพียงคนเดียว สะท้อนให้เห็นถึงนโยบาย “ล้อมป่าเพื่อจับหนู” อันเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ และทำให้ง่ายต่อการกระทบกระทั่งต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน ทั้งๆที่เพิ่งสถาปนาพระสังฆราชองค์ใหม่ ที่ให้ปฐมโอวาททรงขอให้คนไทย “สามัคคี มีศีล สมาธิ ปัญญา”

หลักธรรมเพิ่งได้ยินยังไม่ทันจาง เจ้าหน้าที่รัฐก็นำกำลังล้อมวัดธรรมกายเสียแล้ว อย่างที่ผมบอกล่ะครับ ระวังสะดุดขาตัวเองล้ม เพราะคนไทยไม่ชอบเห็นคนโดนแกล้งเสียเท่าไหร่


“เบนซ์” พบตำรวจยื่นหลักฐานรอบ 2 ไม่รู้ “บอย” ซัดเอี่ยวเครือข่ายไซซะนะ

วันที่ 16 ก.พ. เวลา 18.20 น. นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช หรือเบนซ์ เรซซิ่ง อายุ 30 ปี สามี น.ส.ณปภา ตันตระกูล หรือแพท นางเอกชื่อดัง ให้สัมภาษณ์หลังนำเอกสารหลักฐานเข้าพบพนักงานสอบสวน บช.ปส. เป็นครั้งที่ 2 โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงว่า การเข้าพบครั้งนี้ไม่ได้มีหมายเรียก แต่ต้องการเข้ามาแสดงความบริสุทธิ์ใจที่จะนำเอกสารหลักฐานมาเพิ่มเติม รวมทั้งให้ปากคำเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ โดยนำหลักฐานมามอบให้หลายอย่าง พร้อมชี้แจงกับเจ้าหน้าที่แล้ว หลังจากนี้คงต้องรอให้เจ้าหน้าที่สรุปออกมาอีกที ส่วนเรื่องที่ระบุว่าหลักฐานทางการเงินพบว่าการประกอบธุรกิจขาดทุน แต่นำเงิน 20 กว่าล้านบาทไปซื้อรถลัมโบร์กีนีนั้น เป็นเรื่องที่คนอื่นให้ข่าวมา แต่สรุปจะเป็นอย่างไรคงต้องให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ โดยเงินที่นำมาซื้อมาจากการประกอบอาชีพของเราโดยปกติ

นายอัครกิตติ์ กล่าวต่อว่า ตนยังมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง และที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่มาโดยดีตลอด ทั้งนี้ในวันแรกที่เข้าพบเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เตรียมเอกสารอะไรมามาก เพราะระยะเวลาน้อย แต่หลังจากนั้นได้เข้าไปขอเอกสารสำคัญต่างๆมาประกอบด้วยในวันนี้ ส่วนการให้ปากคำของนายบอย ที่ซัดทอดว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเครือข่ายไซซะนะ เกี่ยวกับการฟอกเงินนั้น ไม่ทราบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่เราก็แสดงหลักฐานของเราอย่างชัดเจน โดยวันนี้ได้มอบหลักฐานเรื่องรถลัมโบร์กินีทุกอย่างให้กับเจ้าหน้าที่แล้ว ทั้งหลักฐานการกู้เงินจากไฟแนนซ์ และเอกสารสำคัญที่มีที่มาที่ไปอย่างชัดเจนทุกอย่าง ส่วนหลักฐานการกู้เงินจากไฟแนนซ์กู้มาเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องทางลึกที่เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบอีกที รวมถึงเรื่องเงิน 3 แสนที่มีการโอนเข้าบัญชีมา ขอเขาไปชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ดีกว่า เบื้องต้นยังไม่มีหมายเรียกอะไรออกมา แต่หากมีหลักฐานเพิ่มเติมก็ยินดีที่จะมาให้เพิ่มเติม และวันนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ หากเจ้าหน้าที่ต้องการได้ข้อมูลเพิ่มเติม ก็ยินดีที่จะมาให้ข้อมูลอยู่แล้ว

สื่อนอกตีตรา “พัทยา”นครแห่งบาป เมืองหลวงSexของโลก ‘คุณตัว’อื้อ

มิร์เรอร์ สื่ออังกฤษ ประโคมข่าว...เจาะลึก เมืองพัทยา รู้จักกันดีในฐานะ เมืองหลวงแห่งเซ็กซ์ของโลก พร้อมตีตราเป็น ‘นครแห่งบาป’ เพราะมีหญิงโสเภณีจำนวนมากที่สุด ระบุมีมากถึง 2.7 หมื่นคน ชี้ ทั้งที่การขายบริการทางเพศเป็นเรื่องผิดกฎหมายในไทย แต่กลับถูกละเลย จนมีสถานให้บริการทางเพศดาษดื่น

เมื่อ 17 ก.พ. 60 เว็บไซต์มิร์เรอร์ รายงานข่าวไปทั่วโลกเจาะลึก พัทยา เมืองท่องเที่ยวชื่อดังทางภาคตะวันออกของไทย ซึ่งถูกยกให้เป็น เมืองหลวงแห่งเซ็กซ์ของโลก พร้อมกับตีตราเป็นเมือง ‘โซดอม และกอมเมอร์ราห์’ หรือ ‘นครแห่งบาป’ ไปแล้ว โดยอ้างว่า มีผู้หญิงหาเงินด้วยการเป็นโสเภณี ขายบริการทางเพศ จำนวนมากถึง 27,000 คน หรือคิดเฉลี่ยคร่าวๆ มีผู้หญิงขายบริการทางเพศ 1 คน ต่อจำนวนประชาชน 5 คน ที่มีถิ่นฐานถาวรอยู่ในพัทยา เมืองชายทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศไทย ขณะที่มีผู้ชายมาเที่ยวเมืองพัทยาถึงปีละมากกว่า 1 ล้านคน

‘Good guys go to heaven, bad guys go to Pattaya’ สโลแกนยอดนิยมที่ปรากฏบนเสื้อยืดที่วางขายในพัทยา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ แล้ว แสดงว่าทุกปีมีผู้ชายแย่ๆ จำนวนมากกว่า 1 ล้านคนที่มาเที่ยวพัทยา

มิร์เรอร์ แฉว่า เมืองพัทยา ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นเมืองหลวงแห่งเซ็กซ์ของโลก เป็นเมืองที่มีย่านโคมแดง ขายบริการทางเพศขนาดใหญ่มากที่สุด ซึ่งย่านโลกีย์เหล่านี้ เต็มไปด้วยคลับ และบาร์ ท่ีมีหญิงให้บริการทางเพศด้วย โดยแสงไฟนีออนเป็นสัญลักษณ์ ให้คำสัญญากับนักเที่ยวว่าจะมีเซ็กซ์โชว์ หญิงเต้นรูดเสา เครื่องดื่มราคาถูกและอื่นๆ อีก

ไม่เพียงเท่านั้น มิร์เรอร์ยังรายงานว่า หญิงไทยในชุดนุ่งน้อยห่มน้อย ตบแป้งพัฟจนหน้าขาวผ่อง จะมีการเรียกเชิญชวนผู้ชายชาวตะวันตกที่กำลังเดินผ่าน อย่างไรก็ตาม สื่ออังกฤษ ระบุว่า หญิงโสเภณีถือเป็นอาชีพผิดกฎหมายในไทย แต่กลับมีการละเลยกฎหมาย จนทำให้มีสถานขายบริการทางเพศมากมายในประเทศไทย โดยมิร์เรอร์ ระบุว่า ที่เมืองพัทยา เพียงเมืองเดียว มีบาร์และร้านนวดที่ขายบริการทางเพศ จำนวนกว่า 1,000 แห่ง เพียงแต่ในอนาคต โฉมหน้าของเมืองพัทยาอาจไม่แน่นอน เพราะเมื่อปีก่อน รมว.หญิงกระทรวงท่องเที่ยวของไทยได้รณรงค์ที่จะขจัดอุตสาหกรรมทางเพศให้หมดไปจากเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้