ข่าว
สาวใจเด็ดถีบ ชกหน้า นอภ. เหตุบอกปัดไม่ได้เงินน้ำท่วม

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ต.ท.สุพิตร โคนพันธ์ สารวัตรเวรสอบสวน(สบ.3) สภ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี ได้รับแจ้งจากนายเฉลิมพล มั่งคั่ง นายอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ว่า ถูกหญิงสาวเข้าทำร้ายร่างกายและดูหมิ่นด้วยคำพูดหยาบคาย เหตุเกิดบริเวณหอประชุม อ.ลาดหลุมแก้ว จึงขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาควบคุมตัวด้วย

ในที่เกิดเหตุเป็นหอประชุมอำเภอ ชาวบ้านจำนวนนับร้อยคนซึ่งเดินทางมาเพื่อรับเงินชดเชยเกี่ยวกับน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 กำลังจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น และพบนายเฉลิมพล มั่งคั่ง นภอ.ลาดหลุมแก้วยืนอยู่โดยมี อส.ลาดหลุมแก้ว และ ผู้ใหญ่บ้านยืนอยู่ด้านข้าง โดยมีหญิงสาวคนหนึ่งยืนจ้องหน้าอยู่ด้วยความโกรธเคืองโดยมีญาติคอยปลอบโยน

นายเฉลิมพล กล่าวว่า ถูกหญิงสาวคนดังกล่าวทำร้ายด้วยการกระโดดถีบและชกที่ใบหน้า เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมาสอบสวนที่โรงพักทันที และในระหว่างที่นำตัวหญิงสาวมานั้นก็ยังได้ตะโกนด่าอีกด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้นำตัวเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องขังทันที

จากการสอบสวนนายเฉลิมพล มั่งคั่ง ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุหลังจากที่ทางจังหวัดปทุมธานี ได้มีคำสั่งให้จ่ายเงินชดเชยค่าน้ำท่วมที่ทางรัฐบาลกำหนดจ่ายมาให้ในรอบที่สอง จึงได้นัดให้ชาวบ้านที่ประสบอุทกภัย ที่มีการตกสำรวจและยื่นร้องขอมานั้นมารับเงินในวันนี้(12 ต.ค.)โดยใช้สถานที่รับเงินบริเวณหอประชุมอำเภอและขณะที่ชาวบ้านนับร้อยคนเดินทางมาเพื่อขอรับเงิน จู่ๆก็มี น.ส.นรมน จันทร์ไพจิตร อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 241/11 ม.8 ต.หน้าไม้ มาบอกว่ามีรายชื่อแต่ทำไมไม่ได้รับเงิน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ ได้บอกว่ามีการโต้แย้งสิทธิ จึงไม่สามารถที่จะจ่ายเงินให้ได้

นายเฉลิมพล กล่าว่า ได้เข้ามาอธิบายให้ น.ส.นรมน ทราบถึงสาเหตุที่ไม่สามารถจะจ่ายเงินให้ได้ถึงแม้ว่า น.ส.นรมน จะเป็นเจ้าของบ้านเพราะผู้ที่จะได้รับนั้นต้องเป็นผู้ที่เช่าอยู่หรือผู้ที่อยู่ในช่วงที่น้ำท่วม และถือว่าเป็นโมฆะไม่มีการจ่ายเงินให้ เมื่อพูดจบก็คิดว่า น.ส.นรมน จะเข้าใจ แต่แล้วจู่ๆ เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น น.ส.นรมน ได้เข้ากระโดดถีบตนพร้อมกับกระโดดชกและตบหน้าตน 2-3 ที พร้อมกับตะโกนด่าหยาบคายแบบเสียๆ หายๆ โดยที่ตนไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่พยายามเอี้ยวตัวหลบ ก่อนที่บรรดาชาวบ้าน และผู้ใหญ่บ้านได้เข้ามาช่วยกันดึงตัวหญิงสาวออกไป จึงได้เข้าแจ้งความเพื่อขอให้ดำเนินคดีกับหญิงสาวคนนี้

ด้าน น.ส.นรมน กล่าวว่า ได้เข้ากระโดดถีบและชกหน้า นอภ.จริง ทำไปด้วยความที่เกิดบันดาลโทสะและไม่รู้ว่าชายที่ตนทำร้ายนั้นเป็นนายอำเภอ โดยตนซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 241/11 และได้ให้คนเช่าเมื่อครั้งที่น้ำท่วม ผู้เช่าก็ได้มารับเงินผู้ประสบภัยไปแล้วจำนวน 5 พันบาท จากนั้นผู้เช่าก็ได้ย้ายออกไป ตนจึงได้ทำการบูรณะบ้านใหม่ จากนั้นทาง อบต.หน้าไม้ ก็ได้มาทำการสำรวจสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับเงินชดเชยความเสียหายรอบสอง จึงได้เข้าทำเรื่องขอรับเงินชดเชย จนกระทั่งได้มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่ามีชื่อผู้ที่มีสิทธิรับเงินจำนวน 18,500 บาท และให้เดินทางมารับเงินในวันนี้

น.ส.นรมน กล่าวว่า เมื่อเดินทางมารับเงิน แต่กลับไม่มีสิทธิ และเมื่อนายอำเภอมาบอกว่าแม้จะเป็นเจ้าของบ้านก็จริง แต่ผู้ที่จะรับเงินต้องเป็นผู้ที่ประสบอุทกภัยช่วงที่น้ำท่วม ดังนั้นจึงถือเป็นโมฆะ เจ้าของบ้านเช่าไม่มีสิทธิ ตนได้พยายามอธิบาย แต่นายอำเภอบอกอย่างเดียวว่าไม่ได้ ถือเป็นโมฆะ จึงเกิดบันดาลโทสะก่อเหตุดังกล่าว

ทางด้าน พ.ต.ท.สุพิตร โคนพันธ์ สารวัตรเวร เจ้าของคดี กล่าวว่า ในเบื้องต้นจากการสอบสวน น.ส.นรมลได้ให้การรับสารภาพ จึงได้แจ้งข้อหา“ทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือได้กระทำการตามหน้าที่” และ ข้อหา“ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน”

ฝรั่งโดนแม่ยายไล่ออกจากบ้าน หลังถลุงเงิน 11 ล้านจนหมด

หนุ่มใหญ่ชาวเยอรมัน สุดดีใจภรรยายอมเซ็นให้ลูกไปอยู่ด้วย ลั่นไม่ลืมบุญคุณคนไทยที่ช่วยเหลือ เผยโดนแม่ยายไล่ออกจากบ้าน หลังเงิน 11 ล้านหมด

จากกรณี นายสเตฟาน วาร์กเนอร์ อายุ 42 ปี ชาวเยอรมัน อุ้มลูกวัย 1 ขวบ ออกตามหาภรรยา เพื่อให้เซ็นชื่ออนุญาตให้นำลูกชายกลับไปอยู่ต่างประเทศด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถติดต่อกับภรรยาของนายสเตฟานได้แล้ว โดยเจ้าตัวยินดีที่จะไปเซ็นชื่อให้ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (12 ต.ค.) ที่สำนักงานตำรวจท่องเที่ยว จ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.ฉัตรามนตรี มหาพชราอรุณใหม่ สว.ทท.พระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย ร.ต.ต.เอกณกร ธารารมย์ รองสว. ได้รับตัวนายสเตฟาน และลูกชายกลับมาจากสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย โดยได้มีการนำข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงนายสเตฟานและลูก ขณะเดียวกันยังมีพระครูเกษมจันทวิมล เจ้าอาวาสวัดป้อมรามัญ ต.สวนพริก อ.พระนครศรีอยุธยา มาทำการปะพรมน้ำมนต์ให้ด้วย

ร.ต.ต.เอกณกร เปิดเผยว่าเมื่อช่วงเช้าได้พานายสเตฟาน และลูก ไปยังสถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย เพื่อทำเรื่องกลับประเทศ โดยมีภรรยาของนายสเตฟาน ที่ได้รับการประสานงานจากตำรวจท่องเที่ยว ไปรอเซ็นชื่อมอบลูกให้นายสเตฟาน โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ แต่ทางสถานทูตแจ้งว่ายังไม่สามารถที่จะนำเด็กกลับไปด้วยได้ เนื่องจากต้องรอให้ศาลมีคำสั่งก่อน ซึ่งระหว่างรอนั้นนายชัช ตลาดไท เจ้าของตลาดนัดในจ.พระนครศรีอยุธยา รับเป็นผู้ดูแลเรื่องที่อยู่อาศัย

นอกจากนี้ตำรวจท่องเที่ยวได้ประสานไปยัง ร.ร.สอนภาษาที่พัทยา เพื่อขอรับหนังสือเดินทาง ซึ่งก่อนหน้านี้นายสเตฟาน อยากที่จะสื่อสารภาษาไทย เพื่อตามหาภรรยา จึงได้ไปเรียนภาษา โดยต้องเสียเงิน 24,000 บาท แต่เงินไม่พอได้นำหนังสือเดินทางไปค้ำเอาไว้ พร้อมกับเงินอีก 10,000 บาท ซึ่งทางตำรวจท่องเที่ยวได้ประสานไปแล้ว เพื่อที่จะนำเงินไปจ่ายขอรับหนังสือเดินทางมาให้นายสเตฟาน แต่ ร.ร.สอนภาษา ได้ยอมที่จะคืนหนังสือเดินทางให้ และไม่คิดเงินที่เหลือ จากนี้ไปก็จะต้องหารือว่าหากศาลมีคำสั่งเรื่องลูกของนายสเตฟานแล้ว จะหาค่าเครื่องบินจากไหนให้กับนายสเตฟาน ได้กลับประเทศ

ด้านนายสเตฟาน กล่าวว่ารู้สึกดีใจที่คนไทยมีน้ำใจ โดยเฉพาะตำรวจท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่ช่วยเหลือเต็มที่ หากกลับไปแล้วก็จะไม่ลืมประเทศไทยและตำรวจไทย

ทั้งนี้สเตฟาน ยังเปิดเผยถึงชีวิตที่ผ่านมาว่า เดินทางเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อปี 2549 เพื่อเยี่ยมคุณตาที่รักษาตัวอยู่ที่รพ.กรุงเทพพัทยา และได้พบกับสาวไทยอายุ 18 ปี และคบหากันจนกระทั่งคุณตาของตนเสียชีวิต ได้มอบเงินที่เป็นมรดกให้ 11 ล้านบาท ตนจึงนำไปปลูกบ้านให้กับแม่ของภรรยา 2 ล้าน ซื้อรถยนต์ 1.5 ล้านบาท และใช้จ่ายอยู่ในพัทยา ต่อมาได้ไปอยู่ที่ จ.อุบลราชธานี กับภรรยา เมื่อภรรยาคลอดลูกได้ 4 เดือนก็หายไป เงินที่มีอยู่ก็หมดลง จึงถูกแม่ยายไล่ออกจากบ้านพร้อมลูก แล้วไปตามหาภรรยาที่พัทยา จนมาอยู่ที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วมาได้รับความช่วยเหลือดังกล่าว ตอนนี้อยากที่จะกลับบ้านที่เยอรมัน เพื่อพบญาติๆและหาเงินเลี้ยงลูกให้ดีที่สุดต่อไป

สาว2เพศผิดปกติตอนอายุ18ปี มีอวัยวะเพศชายงอกขึ้นเห็นชัด

จากกรณีนายกฤตภัคหรือวิว ดวงไชย อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 306 บ้านทราย หมู่ 4 ต.ต้นธงชัย อ.เมือง จ.ลำปาง เข้าร้องขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว อ้างว่าตนมีอวัยวะเพศชายเกิดขึ้นจนทำให้มีสองเพศ ซึ่งแพทย์ได้ตรวจร่างกายและระบุว่า อวัยวะกำกวม จนนำไปสู่การเปลี่ยนคำนำหน้าจากนางสาวเป็นนายไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา โดยนายกฤตภัคต้องการเปลี่ยนอวัยวะเพศหญิงออกและปรับแต่งอวัยวะเพศชายให้สมบูรณ์ ตามเสนอข่าวไปแล้ว

เมื่อวันที่ 12 ต.ค. นพ.บรรเจิด นนทสูติ นพ.ชำนาญการพิเศษด้านเวชกรรม สาขาศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ รักษาการผู้อำนวยการโรงพยาบาลลำปาง กล่าวยืนยันว่ากฤตภัค เป็นผู้หญิงแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะจากการตรวจโครโมโซมปรากฏว่ามีผลเป็น 46 XX ซึ่งเป็นตัวกำหนดเพศที่ชัดเจน โครโมโซม XX คือเพศหญิง XY คือเพศชาย ส่วนตัวกำหนดฮอร์โมนเพศชายคือลูกอัณฑะ ส่วนเพศหญิงคือเนื้อเยื่อรังไข่ แต่กฤตภัคมีรังไข่ มดลูก และมีประจำเดือนได้เหมือนผู้หญิงทั่วไป สิ่งเหล่านี้จึงเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่กำหนดได้ว่านายกฤตภัคเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน แต่ในส่วนของบุคลิกลักษณะภายนอกเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการกำหนดเพศ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ อย่างที่เห็นกันทั่วไป คือ สาวประเภทสอง และทอมบอย

นพ.บรรเจิดกล่าวต่อว่าส่วนที่แพทย์ระบุในใบรับรองแพทย์ว่ามีอวัยวะกำกวมนั้น เป็นศัพท์ทางการแพทย์ สามารถแยกเป็นสองลักษณะคือกำกวมมาแต่กำเนิดและกำกวมภายหลัง กรณีนี้เป็นกำกวมภายหลัง เนื่องจากได้รับสิ่งอื่นเข้าไปกระตุ้น คือ การกินฮอร์โมนเพศชายติดต่อกันเป็นเวลานาน ซึ่งก็จะทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง

ด้านนายกฤตภัค กล่าวว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของตนนั้น สังเกตเห็นได้ชัดเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น ขณะนั้นอายุประมาณ 18 ปี เมื่อสังเกตเห็นว่ามีอวัยวะเพศชายยื่นออกมา แต่ไม่มีลูกอัณฑะ ทั้งยังมีประจำเดือนเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่จะแปลกตรงที่มีประจำเดือนเพียงแค่เดือนละ 2 วันเท่านั้น จึงงงและสับสนในตัวเองอยู่ จึงไม่กล้าไปปรึกษาใครและไม่กล้าไปหาหมอ จนตอนอายุ 20 ปี จึงไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง โดยหมอได้วินิจฉัยว่าตนเป็นเพศกำกวมจึงให้ฮอร์โมนเพศชายมากิน โดยฮอร์โมนดังกล่าวช่วยให้เสียงของตนใหญ่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลังกินฮอร์โมนดังกล่าวประมาณ 3-4 ปี ก็เลิกกินเนื่องจากไม่ได้ช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพราะก่อนหน้านี้ร่างกายตนก็มีทั้งหนวด ขนหน้าเเข้ง และลูกกระเดือกอยู่เเล้ว อีกทั้งเมื่อกินเเล้วยังทำให้สิวขึ้นหน้าทำให้ตนไม่หล่อ จึงเลิกกินไป

นายกฤตภัค กล่าวต่อว่า หลังจากที่ตนรู้ว่าตัวเองสับสนทางเพศทำให้การใช้ชีวิตยากลำบาก เพราะตอนนั้นตนสามารถยืนฉี่ได้เและส่วนมากตนก็มักจะเข้าไปยืนฉี่ในห้องน้ำผู้ชายทั้งที่ยังใส่กระโปรงไปเรียนอยู่ จึงถูกเพื่อนล้อมาโดยตลอด ทำให้บางครั้งต้องอั้นฉี่จนฉี่ราดกระโปรงก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

"หลังจากมีอวัยวะเพศชายยื่นออกมาตนจึงหันไปคบผู้หญิงและเคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนสาวมาเเล้วด้วย แต่ด้วยขนาดอวัยวะเพศที่เล็กทำให้บางครั้งต้องใช้อวัยวะเพศเทียมช่วยในการมีเพศสัมพันธ์กัน โดยการออกมาร้องเรียนในครั้งนี้เพียงต้องการให้ผู้ใจบุญบริจาคเงินช่วยเหลือตนในการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชายให้ใหญ่ขึ้นเหมือนชายไทยทั่วไป โดยสามารถบริจาคเงินได้ที่บัญชีธนาคารกรุงเทพ บัญชีออมทรัพย์ สาขาลำปาง หมายเลขบัญชี 2544-690-270 ชื่อบัญชีนายกฤตภัค ดวงไชย" นายกฤตภัค กล่าว