ข่าว
ศาลชั้นต้นสหรัฐฯ ชี้ชะตาเณรคำ หลังไทยขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

คืบหน้าล่าสุด คดีหลวงปู่เณรคำ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ เผย ศาลชั้นต้นในสหรัฐฯ ตัดสินแล้วให้ส่งตัวมาไทย แต่ต้องรอลุ้นคำตอบว่าเณรคำจะอุทธรณ์หรือไม่ คาดจะรู้คำตอบสัปดาห์หน้า

เมื่อวันที่ 14 ก.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดี “หลวงปู่เณรคำ” หรือ นายวิรพล สุขผล ผู้ต้องหาตามหมายจับคดี พรากผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 15 ปี, กระทำชำเราเด็กหญิง, ฉ้อโกงประชาชน, ความผิดฐานฟอกเงิน และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ซึ่งต่อมาได้หลบหนีไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา และถูกจับได้ในที่สุด เมื่อกลางปี 2559 หลังจากนั้น ทางการไทยได้ทำเรื่องส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

ล่าสุด วันนี้ นายอำนาจ โชติชัย อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ เปิดเผยกับ “ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์” ว่า ศาลชั้นต้นของแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้กับไทยแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการอุทธรณ์ ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวเณรคำเอง ว่าจะอุทธรณ์หรือไม่ คาดว่าอีกประมาณ 1-2 วันนี้ก็จะทราบชัดเจน

“หากเขาไม่อุทธรณ์เราก็จะรับตัวมาทันที โดยจะส่งตัวให้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการต่อ เพราะทาง ดีเอสไอ เป็นผู้ทำคำร้องส่งเรื่องมายังอัยการต่างประเทศฯ คาดว่าภายในสัปดาห์หน้า น่าจะได้รับคำตอบ”

อเมริกาเริ่มสแกนใบหน้า ผู้เดินทางออกนอกประเทศ

กระทรวง Homeland Security หรือ DHS เดินหน้าโครงการสแกนใบหน้าของนักเดินทางก่อนจะออกนอกประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยท่าอากาศยาน 6 แห่งของสหรัฐอเมริกาเตรียมนำระบบสแกนใบหน้าเข้าทดสอบการให้บริการ และมีแผนจะขยายไปยังท่าอากาศยานแห่งอื่น ๆ ต่อไปในปี 2018 ด้วย

สำหรับท่าอากาศยาน 6 แห่งที่เริ่มใช้งานระบบสแกนใบหน้าได้แก่ ท่าอากาศยานในเมืองบอสตัน, ชิคาโก, ฮุสตัน, แอตแลนต้า, ท่าอากาศยาน JFK ในนิวยอร์กซิตี้ และวอชิงตันดีซี

จากความเคลื่อนไหวดังกล่าว เป็นไปได้ว่า อเมริกันชนจะหลีกหนีจากการถูกเก็บข้อมูลไบโอเมทริกซ์ไม่ได้อีกแล้ว เว้นเสียแต่พวกเขาจะตัดสินใจไม่เดินทางออกนอกประเทศอีกเลย แต่ถ้ายังต้องเดินทาง ก็จะถูกบันทึกข้อมูลไบโอเมทริกซ์เหล่านี้ไว้ ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่งอย่างแน่นอน

โดยก่อนหน้านี้ การเก็บข้อมูลไบโอเมทริกซ์เคยเกิดขึ้นเฉพาะลายนิ้วมือและภาพถ่ายของผู้เดินทาง และในระยะแรกเป็นการทำเพื่อตรวจสอบชาวต่างชาติเป็นหลักว่าใครอยู่นานเกินวีซ่า ซึ่งการที่สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้มีการสแกนใบหน้าของชาวต่างชาติได้นั้น ก็ทำให้ทาง DHS ตัดสินใจว่า ถ้าเช่นนั้นจะสแกนใบหน้าของทุกคนที่จะเดินทางออกนอกประเทศจึงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

นอกจากนี้ การศึกษาของจอร์จทาวน์เซนเตอร์ (the Georgetown center) ก็ระบุว่า ปัจจุบันมีข้อมูลของชาวอเมริกันอย่างน้อย 130 ล้านคนถูกเก็บเอาไว้ในดาต้าเบสด้านไบโอเมทริกซ์แล้ว

"เมื่อชาวอเมริกันต้องเดินทางออกนอกประเทศ พวกเขาต้องทำใจไว้เลยว่า สัมภาระของเขานั้นอาจถูกเปิดเพื่อตรวจสอบ" แฮริสัน รูดอล์ฟ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของเมืองจอร์จทาวน์กล่าว "แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดมาก่อนก็คือใบหน้าของพวกเขาจะถูกสแกนด้วย และตอนนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว"

เจ้าหน้าที่ จอห์น แวกเนอร์ (John Wagner) ซึ่งดูแลด้านตรวจคนเข้าเมืองของโครงการดังกล่าวเผยว่า เจ้าหน้าที่จะลบข้อมูลการสแกนภายใน 14 วัน แต่ก็มีโอกาสที่จะเก็บข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้นานกว่าที่กำหนดเช่นกัน นอกจากนี้ การปรับใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลเรื่องการถูกเจาะฐานข้อมูลและทำให้ข้อมูลไบโอเมทริกซ์รั่วไหลเกิดขึ้นตามมาด้วย


ชี้กม.อาญานักการเมือง ไม่ได้เล็งเป้าที่ 'ทักษิณ'

นายวิรัตน์ กัลยาศิริ หัวหน้าทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ผ่านร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ... ที่ให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยได้ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าจะสามารถฟื้นคดีของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกจำหน่ายคดี เนื่องจากจำเลยหนีคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ ว่า ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว ใช้เฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคนไม่ว่าจะชื่ออะไร ไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าต้องชื่อนั้นชื่อนี้ และไม่เกี่ยวกับประชาชนทั่วไป เป็นเรื่องการทุจริตหรือการปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบ ซึ่งบุคคลธรรมดาทั่วไปยังใช้กฎหมายทั่วไปอยู่ ทั้งนี้การเรียกร้องให้คดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่มีอายุความคือหลบหนีก็ไม่มีผล พิพากษาแล้วหลบหนี จับได้เมื่อไหร่ก็ยังมีผลทันทีคือไม่ขาดอายุความ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักการเมืองเรียกร้องมาหลายปีแล้ว

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนการพิจารณาคดีลับหลังจำเลยนั้นปกติก็ใช้สำหรับคดีอาญาทั่วไปที่โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เป็นเรื่องที่ศาลอนุญาตให้พิจารณาลับหลังได้อยู่แล้ว แต่กระบวนการก่อนที่จะถึงจุดนี้คือจะต้องผ่านการทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ เช่น ปปท. ป.ป.ช.และสตง หากองค์กรเหล่านี้เห็นว่ามีมูลก็จะส่งเรื่องมายังอัยการสูงสุด (อสส.) ให้กลั่นกรองอีกชั้นหนึ่ง และถ้าหากหากอสส.เห็นว่าไม่ควรฟ้องเรื่องก็จบ แต่หากเห็นว่าควรฟ้องก็ส่งเรื่องมายังศาล และเมื่อเรื่องถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ศาลประทับรับฟ้องแล้วก็เปิดโอกาสให้จำเลยได้มอบตัวภายใน 3 เดือน หากไม่มอบตัวในระยะเวลา 3 เดือน ศาลจึงจะมีอำนาจพิจารณาลับหลัง

“เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของจำเลย และเพื่อเปิดโอกาสให้จำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ก็ให้จำเลยสามารถแต่งตั้งทนายความเข้ามาทำหน้าที่ซักค้านแทนจำเลยได้ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ทุกกรณี ไม่เหมือนกับรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งจะอุทธรณ์ได้เฉพาะมีข้อเท็จจริงใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก ดังนั้นนักการเมืองทุกคนจึงต้องสำเหนียกว่าต้องไม่กระทำผิด ต้องไม่ทุจริต ต้องไม่คอร์รัปชั่น เพราะหากทุจริตหรือคอร์รัปชั่นแล้วเพื่อรักษาสิทธิของตนก็ต้องอยู่สู้คดีอย่าหลบหนีคดี” นายวิรัตน์ กล่าว


พี่ฉอด มาแล้ว! สุดทนโดนยำ #ป้าซุ่มทุ่มไม่อั้น ตอกกลับนิ่มๆ

อยู่ๆ โดนดราม่า #ป้าซุ่มทุ่มไม่อั้น สำหรับ ดีเจพี่ฉอด สายทิพย์ มนตรีกุล ณ อยุธยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจ จีเอ็มเอ็ม มีเดีย หลังมีดราม่า #ต่ำตมไม่หยุด ของ พิชญ์ กาไชย กับ โฟร์ ศกลรัตน์

แต่อยู่ๆ กระแสชาวโซเชียลก็กลับมาพุ่งเป้าที่ ดีเจพี่ฉอด กรณีข่าวกับ เอส วรฤทธิ์ ไวยเจียรนัย นักแสดงหนุ่มที่ผันตัวเองมานั่งแท่นผู้อำนวยการสายงานการผลิตละคร ของช่อง จีเอ็มเอ็ม 25

ซึ่งที่ผ่านมาแม้กระแสชาวเน็ตจะถาโถมกรณี #ป้าซุ่มทุ่มไม่อั้น แต่ดีเจพี่ฉอด ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหว มีเพียงทวิตเตอร์ปลอมออกมาโพสต์ดราม่าไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น

แต่ล่าสุดพี่ฉอด ได้ออกโรงโพสต์ถึงเรื่องราวดังกล่าวในไอจีส่วนตัว @djpchod โดยโพสต์ภาพดอกไม้ที่ดีเจอ้อย นภาพร และดีเจอ้อม สุนิสา ส่งมาให้กำลังใจพร้อมเปิดใจผ่านแคปชั่นว่า

"ถ้าเป็นคนชั่วคนเลวจริงๆ คนที่จะเห็นก่อนก้อคือคนแถวๆนี้แหละ เพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานและตลอดเวลา รู้จักกันดีซะยิ่งกว่าดี ถ้าเลวจริงต่อให้เป็นหัวหน้าก้อคงสบตาใครไม่ได้ ..... ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ!!!"

อีกข้อความก็โพสต์ว่าจะมาเปิดใจผ่านรายการ คลับ ฟรายเดย์ โชว์ พร้อมโพสต์เปิดใจว่า "รู้ค่ะ ว่าพูดก้อโดนด่า (ถ้าตั้งใจจะด่าอยู่แล้ว) ไม่พูดก้อคงด่าอีก .... ขออภัยสำหรับพี่น้องนักข่าวที่โทรตาม แต่ยุ่งมากจนไม่สะดวกคุย (อาทิตย์นี้ทุกคนก้อทราบนะคะว่าทำคอนเสิร์ต)

ขออนุญาตพูดตรงนี้ที่เดียวนะคะ เพราะเรื่องเกิดจากรายการนี้ ก้อขอตอบในรายการนี้ละกัน พูดแล้วก้อจบค่ะ คงไม่มีอะไรต้องพูดอีก ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ พยายามเข้าไปขอบคุณทุกคน แต่คงไม่ครบ ขออนุญาตขอบคุณตรงนี้ .... ขอบคุณค่ะ"

จากนั้นเมื่อมีข่าวว่า พี่ฉอด สายทิพย์ จะเปิดใจก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์ว่า รอตั้งนานเพิ่งออกมาพูดเพราะรอสคริปต์ แล้วที่พูดในรายการตัวเองก็เพื่อเอาค่าโฆษณา และวิจารณ์ว่ายังไงก็ต้องพูดให้ตัวเองดูดี

ซึ่งพี่ฉอดก็จัดเต็มโต้ตอบ โพสต์นี้ว่า "แปลกมั้ยคะ !! เหมือนไม่ชอบกัน แต่ติดตามฟังกรีนเวฟ และตั้งประเด็นไว้ก่อนแล้ว พอพี่อ้อยพูดปุ๊บสิ่งนี้ก้อเกิดขึ้นเลย ไม่ได้ตั้งใจจะอะไรกับใครจริงๆนะคะ

แต่ขออนุญาตตอบว่า....ที่ออกมาพูดช้าก้อเพราะอยากเข้าใจประเด็นก่อนว่าปัญหาคืออะไรแน่ และทุกคนก้อคงทราบว่างานยุ่งแค่ไหน ....ส่วนสาเหตุที่เลือกตอบในรายการนี้ ก้อเพราะเหตุเกิดที่นี่ ไม่มีอะไรซับซ้อนค่ะ และก้อแน่นอนค่ะ คงไม่มีใครออกมาพูดให้ตัวเองดูแย่ มันถูกต้องอยู่แล้วใช่มั้ยคะ ......จริงๆไม่ชอบกันก้อไม่ฟังก้อได้นะ !!!!! เริ่มขำแล้วล่ะ ที่ไม่อยากพูดก็เพราะอย่างนี้นี่แหละค่ะ"

3 โพสต์รวดจบไม่จ้ะเด็กๆ.


รู้ยังตังค์ไปไหน? กสิกรไทยออกโรงแจง หลังรู้สาวแบงก์ ย่องคืนเงินหนุ่ม 4 หมื่น

จากกรณีที่นางสายสุนีย์ อู๋เพชร อายุ 55 ปี เจ้าของร้านขายอาหารสัตว์ ตั้งอยู่ที่ถนนสายวัดสิงห์-หนองมะโมง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สุทัศน์ นาคพงศ์ รอง ผกก.สส. สภ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2560 ในข้อหาลักทรัพย์ในกรณีที่ให้นายวชิระ อริยะพงศ์กรณ์ อายุ 41 ปี ลูกจ้างในร้านนำเงินสด จำนวน 80,000 บาท มาเข้าบัญชีที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาวัดสิงห์ โดยมีนางสาวจุฑารัตน์ เอี่ยมจุ้ย อายุ 30 ปี พนักงานสาวเป็นผู้รับฝาก ตั้งแต่วันที่ 27 เม.ย.2560 แต่เงินเข้าบัญชีเพียง 40,000 บาท จนกลายเป็นเรื่องราวดราม่าในโลกออนไลน์ และอยากรู้คำตอบว่า ใครกันแน่ที่โกหก เพราะทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์

วันนี้ (13 ก.ค.60) พ.ต.อ.เชษฐชัย เชษฐศิริ ผู้กำกับการ สภ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐออนไลน์ว่า เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ธนาคาร และหัวหน้าฝ่ายของธนาคารดังกล่าว ได้เดินทางไปหานายวชิระ ลูกจ้าง และนางสายสุนีย์ เจ้าของร้าน พร้อมกับเงินจำนวน 40,000 บาท ซึ่งระบุว่า เงินดังกล่าว เป็นเงินเยียวยาให้แก่ลูกค้า

นอกจากนี้ ทางธนาคารยังนำเอกสารฉบับหนึ่งมาให้ทางหนุ่มลูกจ้างและเจ้าของร้านได้อ่านรายละเอียด พร้อมกับเซ็นยินยอม โดยเนื้อหาใจความในเอกสารฉบับนั้น ระบุคร่าวๆ ว่า ทางหนุ่มลูกจ้างและเจ้าของร้าน ต้องงดให้ข่าวกับสื่อมวลชน และต้องถอนแจ้งความ ซึ่งต่อมา ทราบภายหลังว่า ทางเจ้าของร้านไม่สบายใจในเงื่อนไขที่ทางธนาคารกำหนดมา จึงติดต่อไปยังธนาคารดังกล่าว เพื่อขอยกเลิกสัญญา แต่ทางธนาคารไม่ยินยอม จากนั้น เจ้าของร้านจึงปรึกษาทนายความ ซึ่งทนายความได้ให้คำแนะนำว่า ให้นำเงินไปคืนกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ล่าสุด ยังไม่มีผู้ใดนำเงิน 4 หมื่น มาฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเรื่องของธนาคาร ลูกจ้าง และเจ้าของร้านที่นำเงิน 4 หมื่นมาเยียวยา หรือเซ็นเอกสารกันนั้น เป็นเรื่องที่เขาไปคุยกันเอง ส่วนในแง่ของคดีความนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป เพราะคดีลักทรัพย์นั้น เป็นคดีความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ถึงแม้ทางผู้เสียหายจะไม่ติดใจเอาความ คดีก็ยังไม่ยุติ ต้องดำเนินคดีฟ้องร้องผู้กระทำผิดจนถึงที่สุด” พ.ต.อ.เชษฐชัย กล่าว

โดยล่าสุด ทาง สภ.วัดสิงห์ ยังรอผลการตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากกองพิสูจน์หลักฐานอยู่ โดยล่าสุด ได้สรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยยึดตามคำให้การของผู้เสียหายที่ยืนยันว่านำเงินไปฝาก 8 หมื่นบาทจริงๆ เพราะถ้ารอผลจากกองพิสูจน์หลักฐาน เกรงว่าจะไม่ทันส่งตัวผู้ต้องหาภายในกำหนดขอผัดฟ้องฝากขัง

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยังเจ้าของร้านขายอาหารสัตว์ เพื่อสอบถามถึงเรื่องเงินเยียวยาจำนวน 4 หมื่นบาท ปรากฏว่า ทางเจ้าของร้านไม่รับโทรศัพท์ และตัดสายโทรศัพท์ของผู้สื่อข่าว

อย่างไรก็ตาม ทางทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้สอบถามไปยังธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ธนาคารและหัวหน้าฝ่าย นำเงิน 4 หมื่นไปเยียวยา พร้อมกับให้หนุ่มลูกจ้างและเจ้าของร้านเซ็นเอกสารนั้น ทางธนาคารกสิกรไทย ชี้แจงว่า กรณีดังกล่าว อยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยยินดีให้ความร่วมมือ พร้อมนำส่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ให้แก่พนักงานสอบสวน แต่เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ธนาคารคนดังกล่าว ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่เช่นเดิม ส่วนข้อซักถามที่ว่า ทางธนาคารได้เรียกเจ้าหน้าที่ท่านนี้มาว่ากล่าวตักเตือนและออกมาตรการลงโทษหรือไม่นั้น เบื้องต้นทางธนาคารกสิกรไทย สาขาที่ปรากฏเป็นข่าว ได้มีการดำเนินการภายในกันมาก่อนหน้านี้แล้ว.

สื่อนอกตีข่าว "คิงพาวเวอร์" ถูกฟ้องโกง 1.4 หมื่นล้าน

บริษัท คิง พาวเวอร์ จำกัด ที่บริหารงานโดย วิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสโมสร เลสเตอร์ ซิตี แชมป์ลูกหนัง พรีเมียร์ ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2015/16 ร่วมกับนาย อัยยวัฒน์ ลูกชาย ตกเป็นผู้ต้องหาจากการจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้แก่รัฐบาลไทย จากธุรกิจร้านค้าปลอดภาษีชื่อดัง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

รายงานระบุถึง นาย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ รองประธานคณะอนุกรรมการปราบปรามการทุจริต ผู้ซึ่งออกมาชี้แจงรายละเอียดว่าทาง คิง พาวเวอร์ ได้สมคบคิดกับพนักงานประจำสนามบิน จ่ายเงินรายได้จากร้านค้าปลอดภาษีให้แก่รัฐบาลเพียงแค่ 3 เปอร์เซนต์เท่านั้น ผิดจากข้อตกลงที่กำหนดไว้ว่าต้องจ่าย 15 เปอร์เซนต์

ทั้งนี้ เดอะ การ์เดียน วิเคราะห์ว่าจำนวนเงินดังกล่าวนั้น มีมูลค่าถึง 327 ล้านปอนด์ (ประมาณ 14,345 ล้านบาท) โดย นาย ชาญชัย ที่ยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลไปแล้ว เรียกร้องให้มีการลงโทษ บริษัท คิง พาวเวอร์ ข้อหากระทำความผิด และพิจารณาริบทรัพย์กลับสู่รัฐบาล

นาย ชาญชัย ยังระบุต่ออีกว่านอกจากเรื่องคดีข้างต้นแล้วยังเตรียมที่จะดำเนินคดีกับกลุ่มบริษัท คิง พาวเวอร์ อีก 4 คดีด้วยกัน โดยคาดว่าจะมีการส่งฟ้องศาลภายในระยะเวลา 2 เดือน และศาลจะตัดสินพิจารณารับคำฟ้อง วันที่ 25 กรกฏาคม ต่อไป

สุดท้าย แม้ยังไม่มีการยืนยันว่าคดีดังกล่าวจะส่งผลอย่างไรต่อสโมสร "จิ้งจอก" ที่กำลังโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุด แต่ตามกฏของ พรีเมียร์ ลีก มีการระบุว่าห้ามบุคคลหรือนักธุรกิจที่ถูกพิพากษาว่ามีความผิดทางอาญา ถือหุ้น 30 เปอร์เซนต์หรือเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอล และหากผิดจริงพวกเขาก็จะหมดสิทธิ์บริหารทีม เลสเตอร์ แน่นอน