ข่าว
"ณเดชน์"เสริมบารมีช่วยเต่าข้างทาง

หล่อแล้วยังใจบุญ "ณเดชน์ คูกิมิยะ"ช่วยเต่าข้างทางพลัดหลงนำปล่อยพงหญ้าอย่างปลอดภัย เผยขับรถผ่านเห็นเดินอยู่กลางถนนรีบจอดลงมาช่วยทันที

หลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่ในวัดเพื่อปฏิบัติธรรมมะ ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมานี้ พระเอกหนุ่มหล่อ "ณเดชน์ คูกิมิยะ" คงจะได้รับบุญบารมีเสริมชีวิตมากมาย เพราะทั้งกิน ทั้งนอนใช้เวลาอยู่แต่กับวัดไม่ได้ไปเที่ยวไหนแต่อย่างใด ความคืบหน้าล่าสุด วันที่ 7 ม.ค.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่ของพระเอกหนุ่มได้โพสต์รูปภาพในอินสตาแกรมส่วนตัว @keaw_jung ว่าช่วงเช้าที่ผ่านมา "ณเดชน์" ระหว่างเดินทางไปทำงานเห็นเต่าใหญ่ตัวหนึ่งกำลังข้ามมาได้ครึ่งทางก็เลยจอดรถเพื่อจะนำไปไว้ในที่ที่เขาควรอยู่อย่างปลอดภัย

"@ทุกคนFC เมื่อตอนตีห้ากว่าๆน้องณเดชน์เดินทางออกไปทำงาน ระหว่างทางเห็นเต่าใหญ่ตัวหนึ่งกำลังข้ามมาได้ช่วงครึ่งทาง ก็เลยจอดรถเพื่อจะนำไปไว้ในที่ที่เขาควรอยู่ วันนี้ก็ได้เดินทางไปทำงานพร้อมเต่าครับ ขออนุโมทนานะครับพ่อ"

"@ทุกคนFC น้องเต่า️ได้อยู่ในที่ปลอดภัยแล้วนะครับ ตอนแรกกะว่าจะเอาไปปล่อยที่หนองน้ำ พี่กู้ก็เลยดูให้ว่าเป็นเต่าบกหรือเต่าน้ำ ปรากฎว่าเป็นเต่าบกก็เลยเอาไปปล่อยในพงหญ้าอย่างปลอดภัย แม่ก็ขออนุโมทนาบุญนี้กับลูกด้วยนะครับ ขอให้เมตตาบารมีพร้อมด้วยสติอยู่ครองใจครองกายลูกณเดชน์เสมอนะครับ สาธุ".

โจ๋กรุงเก่ามอบตัว!คอตกสำนึกผิด

จากกรณีกลุ่มวัยรุ่นหลายรายบุกเข้าไปในร้านอาหารคอฟฟี่เฮ้าส์ ริมถนนนเรศวร ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ก่อนจะชักปืนยิงนายจตุพล พันธ์จันทร์ อายุ 26 ปี จนได้รับบาดเจ็บ ทั้งยังยิงปืนขึ้นฟ้าหลายนัดอย่างไม่เกรงกลัวกฏหมาย ท่ามกลางความตื่นตกใจกลัวของประชาชนที่มาใช้บริการในร้าน โดยตำรวจสามารถเก็บปลอกกระสุนได้ถึง 59 นัด จนเป็นที่มาของการออกหมายจับผู้ต้องหา 7 ราย ซึ่งต่อมาได้จับกุม นายกิติชัย หรือเบ็น พรหมาด อายุ 22 ปี ที่อยู่ในกลุ่มไว้ได้ โดยเจ้าตัวอ้างว่าแค่ติดตามนายสนธยา วงษ์เอี่ยม ฉายา "ต้อมหัวโต" ไปด้วยเท่านั้น ไม่ได้ทำร้ายคู่อริ รวมทั้งยิงปืนด้วย

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ที่ สภ.พระนครศรีอยุธยา นายสนธยา อายุ 27 ปี นายภูเบศ กนกนาค อายุ 27 ปี นายคุณากร กนกนาค อายุ 23 ปี และนายชัยพร กนกนาค อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาอีก 4 ราย ที่ถูกออกหมายจับได้เดินทางเข้ามอบตัวกับ พล.ต.ต.เสริมคิด สิทธิชัยกานต์ ผบก.พระนครศรีอยุธยา เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยนายสนธยาให้การรับสารภาพว่า เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับกลุ่มผู้บาดเจ็บมาก่อนจนถึงขั้นยิงปืนข่มขู่กัน ซึ่งวันเกิดเหตุมีการโทรศัพท์นัดมาเคลียร์ปัญหากัน เมื่อมาถึงก็เกิดการโต้เถียงชกต่อยกันขึ้น ก่อนลุกลามไปถึงใช้อาวุธปืนยิง ตอนนี้รู้สึกผิดกับการกระทำของตัวเอง

ด้านนางสุวารี กนกนาคอายุ 52 ปี แม่ของนายสนธยา ที่มานั่งฟังการแถลงข่าวด้วยกล่าวทั้งน้ำตาว่า อยากให้ลูกรับรู้ว่าหัวอกคนเป็นแม่มันทรมานแค่ไหน เมื่อเห็นลูกออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น ทำลายทั้งตัวเอง ทำลายทั้งครอบครัว แถมยังชื่อเสียงของจังหวัดอีก ทุกคืนเวลานอนไม่เคยหลับสนิทซักครั้ง ตนอยากขอโทษกับสังคมในสิ่งที่ลูกได้ทำลงไปด้วย.


เคลียร์ปัญหาไม่จบ!ขู่ปิดเขาคิฌชกูฏไม่ให้จัดงานบุญ

อธิบดีกรมอุทยานฯ ขู่ปิดเขาคิฌชกูฏไม่ให้จัดงาน หากปัญหาชิงพื้นที่นมัสการรอยพระบาทฯไม่จบ ระบุคนขึ้นเขาปีละล้านฟรี ร่วมทำบุญมาตลอด รอจังหวัด-ทหารชงเรื่องเสนอทส.

เมื่อเวลา 15.30 น.วันที่ 7 ม.ค.นายนิพนธ์ โชติบาล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุพืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งเรื่องการจัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง ในเขตอุทยานฯ เขาคิฌชกูฏ อ.เขาคิฌชกูฏ จ.จันทบุรีว่า เรื่องนี้ทางจังหวัด และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าไปดูแลอยู่ร่วมกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ซึ่งทางกรมได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดูแลอย่างใกล้ชิดซึ่งปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นหน่วยงานในพื้นที่ต้องพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไร

“ทางกรมอุทยานฯ ดูอยู่ว่าถ้ามีปัญหามาก เราก็จะไม่อนุญาตให้จัดงานในพื้นที่อุทยานฯเขาคิฌชกูฎ เพราะที่ผ่านมามีคนขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทปีละเป็นล้านคน ซึ่งทางกรมอุทยานฯ ยกเว้นค่าธรรมเนียมให้มาโดยตลอด กรมอุทยานฯไม่ได้อะไร เพราะถือว่าเป็นการทำบุญ เป็นงานเทศกาลประจำปี และเป็นประเพณีของจังหวัด แต่ก็มีในเรื่องพื้นที่ธรรมชาติที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันดูแล อย่างไรก็ตามเวลานี้ต้องให้ทางจังหวัดกับทหารเป็นหลักในการพูดคุยกับคณะผู้ จัดงานแต่ละฝ่ายให้รู้เรื่อง แต่หากคุยไม่รู้เรื่องทางจังหวัดคงเสนอเรื่องมาที่กรมอุทยานฯ ให้เราพิจารณาต่อไป กรณีที่เกิดขึ้นเราไม่อยากยุ่ง แต่บังเอิญว่าพื้นที่จัดงานอยู่ในเขตอุทยานฯ”

โดยก่อนหน้าที่ช่วงเช้าวันเดียวกัน ที่บริเวณวัดพลวง อ.เขาคิฌชกูฏ จ.จันทบุรี พระปลัด ฐาวะโร เจ้าคณะตำบลวัดทุ่งขนานและเจ้าอาวาสวัดทรัพย์ตาพุต พร้อมคณะสงฆ์ จาก 8 วัด ซึ่งเป็นกรรมการจัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง ประจำปี 58 นำชาวบ้านในพื้นที่ตลอดจนประชาชนผู้มีจิตศรัทธาที่จะเข้าร่วมบวชชีพราหมณ์ รักษาศีล ช่วงเทศกาลรอยพระพุทธบาทกว่า 1,000 คนจากทั่วสารทิศชุมนุมคัดค้านสมาคมแห่งหนึ่ง และวัดกระทิงที่ขึ้นไปจัดงานบวชชีพราหมณ์ และจัดเตรียมสถานที่จัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทพลวง โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำให้คณะสงฆ์ซึ่งเป็นคณะกรรมการจัดงานที่ได้รับสิทธิการอนุญาตจากกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ซึ่งเป็นผู้จัดงานนมัสการรอยพระพุทธบาทประจำปี 58 ไม่สามารถนำคณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ขึ้นไปดำเนินการจัดเตรียมสถานที่ได้

ขณะเดียวกัน น.ท.วิชณุ จันศิริรัตน์หัวหน้าชุดควบคุมทหารเรือที่ 7 พร้อม นายนุกูลกิจ วิชกูล อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองลงพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจพร้อมขอร้องให้ลงจากยอดเขา เนื่องจากเลยกำหนดเวลาที่ได้ขออนุญาตไว้กับอุทยานฯแล้ว ซึ่งหากเจ้าหน้าที่อนุญาตให้อยู่ต่อจนถึงวันที่ 9 ม.ค. จะนำไปสู่การร้องขอขึ้นมาปฏิบัติธรรมของวัดพลวงเช่นกัน จึงไม่อยากให้เกิดการปะทะของทั้ง 2 ฝ่าย แต่จากการพูดคุย ผู้ปฏิบัติธรรมยืนยันที่จะอยู่ปฏิบัติธรรมบนยอดเขาต่อไป ทางเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้อยู่ต่อจนครบกำหนด โดยตั้งเงื่อนไขว่าต้องยอมให้อีกฝ่ายขึ้นมาปฏิบัติธรรมบนยอดเขาด้วย และต้องอยู่ร่วมกันอย่างสงบในความควบคุมดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการเผชิญหน้าของทั้ง 2 ฝ่าย

จากนั้น น.ท.วิชณุ และนายนุกูลกิจ จึงลงมาชี้แจงทำความเข้าใจกับคณะเจ้าหน้าที่ของวัดพลวง พร้อมทั้งอนุญาตให้คณะสงฆ์ และเจ้าหน้าที่ตลอดจนประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาที่จะเข้าร่วมบวชชีพราหมณ์ขึ้นไปดำเนินงาน และปฏิบัติธรรมบนยอดเขาพระบาทได้ โดยเน้นย้ำให้เป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อสืบทอดประเพณีที่สืบต่อกันมาอย่างแท้จริง ส่วนการตกลงเจรจาเพื่อยุติธรรมหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นของทั้งสองฝ่ายในเรื่องการจัดงานนมัสการรอยพระบาทพลวงที่เขาคิชฌกูฏ ที่กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19 ม.ค.- 19 มี.ค. อยู่ในช่วงเจรจาหาข้อสรุปว่า ควรเป็นไปในทิศทางใดและใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเพื่อความตรึงเครียดของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกันนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารร่วมกับเจ้าหน้าที่ป่าไม้และ อส. ได้ตรวจเข้มค้นอาวุธในรถทุกคันตลอดจนเจ้าหน้าที่และประชาชนที่จะขึ้นไปบนยอดเข้าพระบาท เพื่อป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้.


เคลียร์ลงตัว "อาหลอง-ลูกชาย" รักไม่เปลี่ยนแปลง

กอล์ฟ-กัญจน์ ภักดีวิจิตร"โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ขอบคุณ "อาฉลอง" ผู้เป็นพ่อ ระบุไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะรักพ่อไม่เปลี่ยนแปลง

จากกระแสข่าวงานวิวาห์สายฟ้าแลบของผู้กำกับชื่อดัง "ฉลอง ภักดีวิจิตร" วัย 83 ปี กับหญิงนอกวงการ "เล็ก-พิมพ์สุภัคอินทรีย์" วัย 38 ปี เมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ท่ามกลางความฮือฮาของกระแสสังคม ทั้งนี้ลูกชายของอาฉลอง "กอล์ฟ-กัญจน์ ภักดีวิจิตร"ได้โพสต์ข้อความผ่านอินสตาแกรมดูท่าจะไม่ปลื้มการแต่งงานใหม่ของพ่อมากนัก ทั้งนี้เมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา อาฉลองก็ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนถึงเรื่องนี้ และยอมรับว่าต้องปรับความเข้าใจกับลูก ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหมือนปัญหาทุกอย่างของครอบครัว 'ภักดีวิจิตร' จะจบลงได้ด้วยดี เมื่อ 'กอล์ฟ-กัญจน์ ภักดีวิจิตร' ลูกชายของอาฉลอง ได้โพสต์ภาพผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว @gun.pakdeevijit เป็นภาพที่ตัวเองกำลังหอมคุณพ่อ พร้อมขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อทำให้กับลูกทั้ง 3 ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็จะรักไม่เปลี่ยนแปลง "พ่อคือเหตุผลที่ทำให้ลูกมาอยู่ตรงนี้ และทำให้ลูกเป็นลูกในวันนี้ ขอบคุณทุก ๆ สิ่งที่พ่อทำเพื่อลูกทั้ง 3 เสมอมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นลูกก็ยังรักพ่อเทิดทูนพ่อเหนือกว่าสิ่งใดไม่เคยเปลี่ยนแปลง".


น้ำมันเถื่อนพ่นพิษรถพังเข้าอู่เพียบ

เห็นแก่ของถูก!รถเล็ก-รถใหญ่ในสงขลา สังเวยเติมน้ำมันเถื่อนเจ๊งเป็นแถว เผยหัวฉีดอุดตัน-วาล์วพัง-ไส้กรองดำเหนียว แห่เข้าอู่แก้อาการเพียบ ช่างเตือนถูกไม่กี่บาท แต่ซ่อมหลักหมื่น ผู้ค้าเผยส่วนใหญ่ผสมสารละลายเพิ่มกำไร

จากกรณีที่ จ.สงขลา มีการลักลอบซื้อขายน้ำมันเถื่อนตามริมถนนสายหลักสายรองเต็มไปหมด ซึ่งพ่อค้าแม่ค้าได้นำน้ำมันเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านมาบรรจุใส่แกลลอนขนาด 5, 10 และ 20 ลิตร มาวางจำหน่ายทั้งดีเซลและเบนซิน โดยรถยนต์ที่ผ่านสัญจรไปมาก็แห่กันเข้าไปซื้อ เนื่องจากน้ำมันเบนซินปรับลดราคาลงมาเหลือลิตรละ 28 บาท ดีเซลลิตรละ 25 บาท หลังรัฐบาลปรับราคาเบนซินลงมาเหลือลิตรละ 29 บาทเศษ และดีเซล 26 บาท พ่อค้าแม่ค้าน้ำมันเถื่อนจึงต้องปรับราคาลงบ้างเช่นกัน เพื่อหวังสู้ราคากับของรัฐอย่างเปิดเผย ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วน้ัน

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 7 ม.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีข่าวปรากฎทำให้ทั้งรถเล็กรถใหญ่ต่างทยอยกันไปเติมหรือซื้อหาน้ำมันเถื่อนตลอดทั้งวันจนกลายเป็นที่นิยมไปแล้ว เพราะราคาถูกกว่าน้ำมันถูกกฎหมายอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามถึงแม้จะราคาถูก แต่ก็ส่งผลเสียหายมากตามไปด้วย โดยนายวรเชษฐ์โดนทิง เจ้าของอู่รุ่งเรืองเซอร์วิส อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เปิดเผยว่า ตอนนี้มีรถยนต์ที่เติมน้ำมันเถื่อนเข้ามาให้ซ่อมจำนวนมาก ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องระบบหัวฉีดอุดตันน้ำมันในถัง และไส้กรองดีเซลก็กลายเป็นสีดำเหนียว เหมือนเวลาถ่ายน้ำมันเครื่องที่ใช้มานานๆ ยืนยันว่าน้ำมันเถื่อนทำลายสภาพรถแน่นอน เพราะมันมีสารปลอมปน แม้จะถูกกว่าแต่ไม่คุ้มแน่ ซื้อเติมไม่กี่บาท แต่เวลาซ่อมถึงขั้นแตะหลักหมื่น สังเกตุง่ายๆก่อนที่หัวฉีดจะพัง ควันรถจะดำมาก เพราะระบบไม่จ่ายน้ำมันเป็นละอองและเผาไม่หมด โดยเฉพาะรถรุ่นใหม่ ๆ เสี่ยงวาล์วพังง่ายด้วย

ขณะดียวกันผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายหนึ่ง กล่าวว่า น้ำมันเถื่อนส่วนใหญ่ที่นำมาวางขายตามริมถนนจะมีการผสมสารโซเวนท์ (สารละลายหรือตัวทำละลาย) เข้าไปทำให้ได้กำไรมากขึ้น สังเกตได้ว่าน้ำมันเถื่อนที่วางขายแต่ละเจ้า สีของน้ำมันจะอ่อนและแก่ไม่เท่ากัน ซึ่งหมายถึงการผสมสารโซเวนท์มากน้อยแค่ไหนซึ่งหากผสมสารโซเวนท์มากก็จะยิ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อเครื่องยนต์แน่นอน.

“โน้ต อุดม” เปิดตัวลูกบุญธรรม แชร์ภาพรับส่งถึงโรงเรียน

หัวใจเขาช่างหล่อจริง ๆ"โน้ต-อุดม" ดาราตลกชั้นแนวหน้าเปิดตัว “น้องพรีม” เด็กพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่รับไว้ในอุปการะ โพสต์ภาพรับ-ส่งถึงโรงเรียนทางโซเชียลฯ

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. ผู้สื่อข่าว “เดลินิวส์ออนไลน์” รายงานว่า นายเตชะ ทับทอง ประธานเครือข่ายรักดี (องค์การสาธารณะประโยชน์)ได้โพสต์ภาพ “โน้ต อุดม แต้พานิช” ดารานักแสดงตลกชื่อดังของไทย ซึ่งได้เปิดตัว “น้องพรีม” เด็กที่รับไว้ในอุปการะ ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมแชร์ภาพสุดประทับใจขณะ "โน๊ต" ขับรถไปรับ-ส่งหน้าโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง

นายเตชะยังระบุว่า ปัจจุบันโน้ตรับอุปการะเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงจากพื้นที่ภาคใต้เกือบ 20 คน โดยช่วงหนึ่งระบุว่า“เมื่อกว่า 2 ปีก่อน โน๊ต-อุดม แต้พานิช ได้ลงพื้นที่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ"บ้านลูกเหรียง" หรือ "สมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้" ของพี่เป๊าะ xxxxxxxxx ผมเฝ้าหวังว่า พี่โน๊ตจะเป็นแสงสว่างให้กับองค์กรได้ แล้วเวลาก็ได้พิสูจน์ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ดีงาม สวยงามมากจนเกินบรรยาย การทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจที่มากกว่าแรงทรัพย์ของ "พี่โน๊ต" สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย น้องๆ หลายสิบคนที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อันไม่สงบ หลายคนกำพร้าพ่อแม่และเดือดร้อนที่อยู่อาศัย "พี่โน๊ต" เข้าไปหยิบยื่นโอกาสทั้งเรื่องของการศึกษาชีวิต และอนาคต ให้ได้อย่างลงตัวและที่สำคัญคือ "อย่างมีความเข้าใจในบริบทของคนทำงานภาคสังคม" พี่โน๊ต ยังคงลงพื้นที่อย่างต่อเนื่องและเป็นหนึ่งในบุคคลที่ลงทำงานในพื้นที่แบบ Low Profile จริงๆ ผมเองติดตามมานาน ก็ไม่ได้นำภาพหลายภาพออกมาเผยแพร่ให้ชมกันมากนัก เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นช่วงระหว่างทำงาน แต่ตอนนี้ไม่บอกให้สาธารณชนทราบก็ไม่ได้แล้วครับ ว่าผู้ชายคนนี้กำลังเริ่มที่จะชวนให้คนไทยหันมาใส่ใจพี่น้องปลายด้ามขวานกันมากขึ้น.... ด้วยหัวใจครับ”.